ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล

สารบัญ ARK

สารบัญ อาณาจักรวิญญาณ

••••••••••••••••••••

**บทที่****278:**ทุบตีอย่างโหดร้าย

ในตอนนี้ตาเฒ่าเฟิงนั้นไม่มีนิสัยเย่อหยิ่งเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ในตอนนี้เขาแก่ขึ้นอย่างมาก ผมของเขาทั้งหมดขาวโพลนและใบหน้ามีแต่รอยเหี่ยวย่น สิ่งสำคัญคืออารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก จากผู้เชี่ยวชาญที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญ เขากลายเป็นบุรุษชราผู้ห่อเหี่ยว เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ในครั้งก่อนกับซ่งจงนั้นส่งผลกระทบต่อเขามากเพียงใด

“ไอ้แก่เจ้ายังไม่ตายอีกงั้นหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้ารู้รึเปล่าเมื่อตอนที่ข้ายังอยู่ในทะเลตะวันออก ข้านั้นอ้อนวอนต่อสวรรค์ให้เจ้ามีชีวิตที่ยืนยาวเพื่อที่เราจะได้พบเจอกันอีกครั้ง!” ซ่งจงกล่าวออกมาอย่างเย้ยหยัน แม้ว่าคำพูดนั้นจะดูสุภาพอย่างยิ่ง แต่ใบหน้าของซ่งจงเต็มไปด้วยความเกลียดชังและโกรธแค้น เพราะสิ่งที่เขาพูดนั้นหมายความว่าเขาขอให้ตาเฒ่าเฟิงมีชีวิตอยู่เพื่อรอเขากลับมาชำระหนี้แค้นเป็นการส่วนตัว!

สิ่งที่น่าสนใจก็คือคำพูดเหล่านี้ ตาเฒ่าเฟิงเคยกล่าวกับซ่งจงมาก่อน ในตอนนี้ตำแหน่งของพวกเขาได้สลับกันอย่างสมบูรณ์ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘วนเวียนไปเรื่อยๆ’

หลังจากได้ยินซ่งจงกล่าวเช่นนั้น ตาเฒ่าเฟิงโกรธจัดพร้อมตะคอกออกมา “ไขมันบัดซบ เจ้าอย่าอวดดีให้มากนัก หลังจากที่เจ้าเข้ามาในสำนักพันปีศาจของข้า การที่เจ้าจะสามารถหลบหนีออกไปได้เป็นเพียงความฝันเท่านั้น! ทุกคนเปิดใช้งานค่ายกลป้องกัน!”

เมื่อเผชิญหน้ากับเสียงคำรามของตาเฒ่าเฟิง ซ่งจงไม่ได้กลัวแต่อย่างใด เขาเผยยิ้มออกมาพร้อมตอบกลับ “ตะโกนออกมา ตะโกนออกมาด้วยพลังทั้งหมดของเจ้าได้เลย แม้ว่าเจ้าจะตะโกนจนคอแตก ก็ไม่มีใครสนใจเจ้าหรอก!”

เมื่อตาเฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจทันที ในตอนนี้สำนักพันปีศาจได้เปิดการแจ้งเตือนอันตรายระดับสูงสุดเพราะซ่งจง ทุกสิ่งอย่างล้วนแต่อยู่ในความกลัวแม้ว่าทุกคนจะเตรียมพร้อม แต่หลังจากเห็นซ่งจงสังหารหมู่อย่างง่ายดาย เหล่าสาวกระดับจินตันควรจะเปิดการใช้งานค่ายกลของสำนักได้แล้วหลังจากได้รับข่าว แต่ในตอนนี้ก็ยังคงไม่มีวี่แววว่าค่ายกลของสำนักจะถูกเปิดใช้งานแต่อย่างใด แน่นอนว่าจะต้องมีบางสิ่งอย่างที่ผิดปกติ

เมื่อคิดเช่นนี้ ตาเฒ่าเฟิงหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบออกมาพร้อมกับรีบสั่งการอย่างรวดเร็ว “รีบส่งคนไปดูให้เร็วที่สุดว่าทำไมค่ายกลจึงไม่เปิดใช้งาน พวกมันกำลังทำอะไรกันอยู่!”

“ขอรับ!” ผู้ฝึกตนระดับจินตันรับทราบและบินออกไปทันที

หลังจากสาวกบินออกไป ตาเฒ่าเฟิงสงบสติอารมทันที สำหรับเขาในตอนนี้สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือการถ่วงเวลา ดังนั้นเขาจึงกล่าวกับซ่งจงว่า “เด็กน้อย อย่าคิดว่าเหตุการณ์เพียงแค่นี้จะทำให้เจ้ารอดพ้นไปได้ ผู้เชี่ยวชาญภายในสำนักพันปีศาจนั้นมีมากมายราวกับเมฆที่ลอยอยู่บนฟ้า แม้ว่าเราจะไม่สามารถเปิดการใช้งานค่ายกลได้ เจ้าก็จะไม่สามารถหลบหนีไปได้เหมือนเดิม!”

“อ่า แล้วใครบอกว่าข้าจะหนี?” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ทำไมข้าจะต้องหลบหนี ในเมื่อข้ามาที่นี่เพื่อสังหารเจ้า!”

“เหอะ ด้วยตัวเจ้าคนเดียวงั้นหรือ?” ตาเฒ่าเฟิงเยาะเย้ย “ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่มีพลังมากพอที่จะสังหารชายชราคนนี้!”

“เราจะรู้ก็ต่อเมื่อเราลองทำมัน!” ซ่งจงกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น จากนั้นเขาตะโกนออกมาดังลั่นฟ้า “เจ้าปีศาจเฒ่า แกสังหารครอบครัวของข้า!”

ซ่งจงโบกมือของตนเองและปรากฏสายฟ้าสิบลูกออกมาทันที ภายใต้การควบคุมของเขาทั้งหมดพุ่งเข้าหาตาเฒ่าเฟิงอย่างรวดเร็ว

ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน ตาเฒ่าเฟิงคงจะยิ้มเยาะและรังเกียจการโจมตีขยะเช่นนี้ แต่ในตอนนี้เวลาได้เปลี่ยนทุกสิ่งไปแล้ว ในขณะที่ซ่งจงแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก ความแข็งแกร่งของตาเฒ่าเฟิงก็ลดลงไปอย่างมากเช่นกัน ดังนั้นตาเฒ่าเฟิงถูกบังคับให้ใช้ทุกอย่างที่ตนเองมีเพื่อป้องกันการโจมตีของซ่งจง!

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะว่าเขานั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างหนักในการต่อสู้ครั้งที่แล้ว อีกทั้งสมบัติของเขายังถูกทำลายจนหมดสิ้นและการปรับแต่งสมบัติวิเศษขั้นแปดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากที่ตาเฒ่าเฟิงถูกจับก่อนหน้านี้เขาก็ได้สูญเสียทุกสิ่งอย่างไปโดยสมบูรณ์ แม้กระทั่งสมบัติวิเศษขั้นแปดที่นักบวชเซือหมัวมอบให้

อย่างไรก็ตามวิญญาณอสรพิษของเขานั้นได้ตายไปแล้วเมื่อเขาเปิดการใช้งานปีศาจเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นสมบัติวิเศษขั้นแปดนั้นไร้ความหมายโดยสมบูรณ์ ในระยะเวลาสั้นๆเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาจะไม่สามารถปรับแต่งสมบัติวิเศษขั้นแปดขึ้นมาได้ ความร่ำรวยของนักบวชเซือหมัวนั้นมีจำกัด ดังนั้นตาเฒ่าเฟิงจึงสามารถใช้ได้เพียงสมบัติวิเศษขั้นหก ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาใช้ป้องกันสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของซ่งจงในก่อนหน้านี้

แน่นอนว่าตาเฒ่าเฟิงนั้นคุ้นเคยกับสมบัติวิเศษของตนอย่างดี ในเวลาที่เขาป้องกันสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้าก่อนหน้านี้ สมบัติวิเศษของเขาได้รับความเสียหายเช่นกัน เห็นได้ชัดว่ามันไม่สามารถรับการโจมตีอีกครั้งได้ เว้นแต่ว่าตาเฒ่าเฟิงจะไม่ต้องการสมบัติชิ้นนี้อีกแล้ว

เช่นนี้ เขาจึงไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้และเลือกที่จะหลบเท่านั้น ด้วยสถานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเวทมนตร์ธาตุลม แน่นอนว่าเขาสามารถหลบหลีกสายฟ้าทั้งหมดได้อย่างง่ายดายราวกับสายลม

แต่ในขณะที่ตาเฒ่าเฟิงหลบหลีกสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ เหล่าสาวกทั้งซ้ายและขวาพบเจอกับปัญหา สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ระเบิดออกมาทำให้พื้นที่ทั่วบริเวณถูกเผาไหม้อย่างรวดเร็ว เหล่าสาวกที่เห็นฉากเช่นนี้ แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ชื่นชมความสวยงามของมัน ก่อนที่ทั้งหมดจะรับรู้อะไรได้ พวกเขาได้ถูกเผากลายเป็นเถ่าถ่านไปเสียแล้ว

เมื่อเห็นหลุมขนาดใหญ่จากการระเบิดและซากศพของผู้ฝึกตนนับร้อยคน เหล่าสาวกทั้งหมดของสำนักพันปีศาจรู้สึกกลัวจนสันหลังเย็นเฉียบ ทั้งหมดถอยห่างจากซ่งจงอย่างรวดเร็วและทิ้งตาเฒ่าเฟิงยืนอยู่เพียงผู้เดียว

เมื่อซ่งจงเห็นว่าตาเฒ่าเฟิงถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว เขาจะแสดงความเมตตาได้อย่างไร? จากนั้นเขาเริ่มใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่เน้นเป้าหมายคือตาเฒ่าเฟิง

แน่นอนว่าตาเฒ่าเฟิงไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้และเลือกที่จะหลบหนี เช่นนั้นจึงเกิดเป็นเหตุการณ์แมวไล่จับหนูภายในสำนักพันปีศาจ ซึ่งซ่งจงเป็นแมวและตาเฒ่าเฟิงเป็นหนู!

ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินที่มีชื่อเสียงดั่งเช่นตาเฒ่าเฟิงนั้นถูกบังคับให้หนีตายราวกับหมาจนตรอก! แม้ว่าจะมีเหล่าสาวกมากกว่าหนึ่งหมื่นภายในสำนักแห่งนี้ แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าที่จะแทรกแซงการต่อสู้ในครั้งนี้ พวกเขาทำได้เพียงยืนดูและร่วมเป็นพยานในเหตุการณ์เหล่านี้เท่านั้น ตาเฒ่าเฟิงนั้นหดหู่ใจอย่างมากจนแทบจะกระอักเลือดออกมาในจุดนี้

ในตอนแรกซ่งจงนั้นร่าเริงอย่างมาก แต่สุดท้ายเขารู้สึกหงุดหงิดอย่างรวดเร็ว ตาเฒ่าเฟิงนั้นฉลาดและด้วยความช่วยเหลือจากเวทมนตร์ธาตุลมทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ราวกับปลาที่กำลังว่ายน้ำและไม่สามารถจับได้โดยง่าย! ไม่ว่าซ่งจงจะพยายามไล่ล่าเขายังไง ความพยายามเหล่านั้นช่างไร้ประโยชน์ แม้ว่าเขาจะโยนสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ออกมา แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ในขณะที่มีสาวกของสำนักพันปีศาจที่ได้รับบาดเจ็บมากมายจากการโยนสายฟ้าของซ่งจง แต่เป้าหมายที่แท้จริงกลับไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

สำหรับซ่งจงที่เห็นเช่นนั้น เขาตะโกนออกมา “ตาเฒ่าเฟิง ไม่ว่ายังไงเจ้านั้นมีชีวิตมาเนิ่นนานและเจ้ารู้เพียงแต่วิธีหลบหนีงั้นหรือ? คนอย่างเจ้านั้นไม่สามารถที่จะต่อสู้กับข้าดั่งเช่นบุรุษได้เลยใช่ไหม!?”

ใบหน้าของตาเฒ่าเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวเนื่องจากความอับอาย ในขณะที่เขากำลังโกรธจัด แต่ซ่งจงก็ไม่ได้กล่าวอะไรผิด ดังนั้นเขาจึงไม่ตอบและยอมรับมันอย่างเงียบๆ

เมื่อซ่งจงเห็นเช่นนั้น เขาเหยียดหยามออกมาทันที “ตาเฒ่าเฟิง ถ้าหากเจ้าเกรงกลัวบุรุษลัทธิเต๋าเช่นข้าจริงๆ เช่นนั้นข้าจะยอมใช้เพียงมือข้างเดียว เจ้าคิดอย่างไร? บิดาผู้นี้จะต่อสู้กับเจ้าด้วยมือข้างเดียว เจ้ากล้าหรือไม่?”

แม้แต่คนธรรมดาก็ยังไม่อาจอดกลั้นไว้ได้ แน่นอนว่าตาเฒ่าเฟิงไม่อาจอับอายได้มากไปกว่านี้แล้ว ดังนั้นเขาหันหลังและตะโกนออกมา “ไอ้สารเลว เจ้าภูมิใจอะไรนักหนา? ถ้าหากไม่ใช่เพราะข้านั้นบาดเจ็บ เจ้าคิดจริงๆหรือว่าบุรุษผู้นี้จะเกรงกลัวเจ้า? ผู้เชี่ยวชาญมากมายภายในสำนักพันปีศาจกำลังมาที่นี่ น่าเสียดายที่จ้าวสำนักของเรานั้นไม่ได้อยู่ที่นี่และแม่มดเมฆาวายุก็รอให้ข้าตายตกไปอยู่แล้ว ด้วยเหตุเช่นนี้เจ้าจึงเย่อหยิ่งได้ ถ้าหากศิษย์พี่ของข้าอยู่ตรงนี้ แน่นอนว่าเจ้าจะต้องตายเป็นหมื่นครั้ง!”

“ฮ่า!” สำหรับซ่งจงที่ได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะเยือกเย็น “ข้าเห็นแล้วตาเฒ่าเฟิง! ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นศิษย์พี่อาวุโสอยู่ในระดับหยวนหยิน! ที่กล้าจะหลบซ่อนอยู่ด้านหลังกางเกงของผู้อื่นเท่านั้น! เจ้ามันไม่มีแม้แต่ความสามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้!”

ใบหน้าของตาเฒ่าเฟิงเปลี่ยนเป็นสีเขียวเนื่องจากความโกรธ ในตอนนี้เขาต้องการคิดบัญชีและต่อสู้กับซ่งจงด้วยชีวิตของตน แต่ในขณะนั้นเกิดเสียงดังขึ้นจากระยะไกล

“อาจารย์ลุงได้โปรดช่วยข้าด้วย เจ้าสารเลวซ่งจงใช้ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าเพื่อแทรกซึมเข้ามาในสำนัก เขาควบคุมสาวกที่ดูแลค่ายกลของเราทั้งหมด สาวกพวกนั้นถูกจับไว้หมดแล้ว!” เสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลตะโกนมาอย่างเหน็ดเหนื่อย

 

 

เมื่อตาเฒ่าเฟิงได้เห็นเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่าแม่มดเปลือยกายและผู้ฝึกตนระดับจินตันทั้งสี่ถูกควบคุมโดยแม่มดเทวะ ร่างกายของนางเต็มไปด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส เห็นได้ชัดว่านางได้ผ่านการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่มา ใบหน้าของนางซีดขาวเนื่องจากเสียเลือดมาก ผู้ฝึกตนระดับจินตันทั้งสี่ใช้ดาบเพื่อบังคับให้นางเดินไปราวกับเชลย

เมื่อได้ยินสิ่งที่แม่มดเปลือยกายกล่าวเช่นนั้น ตาเฒ่าเฟิงเข้าใจทันทีว่าเหตุใดค่ายกลของสำนักจึงไม่ถูกเปิดใช้งาน ในเวลานั้นเขากังวลขึ้นอย่างมาก ซึ่งในตอนนี้สำนักพันปีศาจนั้นตกอยู่ในมือของซ่งจงแล้ว และเขาไม่อาจสู้กับซ่งจงเพียงลำพังโดยปราศจากการช่วยเหลือของแม่มดเมฆาและวายุได้

ในขณะนั้นซ่งจงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “แม่มดเปลือยกาย ข้านั้นรอคอยวันนี้มาอย่างเนิ่นนาน เจ้าใช่ไหมที่ทรยศข้า? เจ้าคิดว่าตาเฒ่าเฟิงนี่จะสามารถปกป้องเจ้าได้อย่างงั้นหรือ? ข้าจะลอกผิวหนังของเจ้าต่อหน้าไอ้หมาแก่ตัวนี้และทำให้เจ้ากลายเป็นแม่มดเปลือยกายที่แท้จริง!”

“อะ! ไม่นะ!!!” แม่มดเปลือยกายกรีดร้องออกมา

ซ่งจงไม่สนใจเสียงกรีดร้องของนางพร้อมกับสั่งให้ผู้ฝึกตนระดับจินตันทั้งสี่ที่ถูกควบคุมโดยแม่มดเทวะอย่างรวดเร็ว “ถลกหนังมัน!”

“ขอรับ!” ทั้งสี่ตอบรับพร้อมกับใช้ดาบบินค่อยๆเฉือนผิวหนังของนางอย่างช้าๆในขณะที่นางยังมีชีวิตอยู่

แม่มดเปลือยกายเริ่มสูญเสียผิวหนังไปอย่างช้าๆด้วยดาบเหล่านั้น

นางตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด “ท่านอาจารย์ลุงช่วยข้าได้!!! ข้ายินดีที่จะเป็นทาสตอบแทนท่านทุกอย่าง!”

เมื่อตาเฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาหรี่ลงพร้อมตะโกนออกมาว่า “ซ่งจงทำเกินไปจริงๆ! ข้าจะช่วยเจ้าเดี๋ยวนี้!” เมื่อเขากล่าวจบ ตาเฒ่าเฟิงเคลื่อนไหวราวกับสายลมพุ่งเข้าไปหาผู้ฝึกตนระดับจินตันทั้งสี่อย่างรวดเร็ว

แท้จริงแล้วตาเฒ่าเฟิงนั้นไม่ได้สนใจแม่มดเปลือยกาย แต่หลังจากที่ได้ยินนางกล่าวว่านางจะยอมทุกสิ่งอย่างให้กับเขา จิตใจเขาจึงเปลี่ยนไป ประการแรกคือเขาต้องการมีทาสที่มีฝีมือเช่นนาง สองเป็นเพราะความเชื่อมั่นของเขาว่าจะสามารถหลบหนีซ่งจงได้ด้วยเวทมนตร์วายุที่เขาเชี่ยวชาญแม้ว่าจะแบกนางไปด้วยก็ตาม!