ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ Facebook Fanpage กดเลย
••••••••••••••••••••
นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล
••••••••••••••••••••
บทที่****279: โจมตีด้วยความโกรธแค้น
ความจริงนั้นอดไม่ได้ที่จะกล่าวเช่นนี้ แม้ว่าตาเฒ่าเฟิงนั้นไร้ความสามารถในการต่อสู้เพราะปราศจากสมบัติวิเศษ แต่ทักษะการหลบหนีของเขานั้นซับซ้อนอย่างมาก แม้ซ่งจงและผู้ฝึกตนระดับจินตันทั้งสี่จะเตรียมตัวมาอย่างดี แต่ก็ไม่อาจป้องกันไม่ให้ตาเฒ่าเฟิงหลบหนีไปได้ แม้ว่าซ่งจงจะใช้ทั้งสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้าและดาบบินของตน สิ่งที่เขาทำได้คือการไล่จับเงาของตาเฒ่าเฟิงเท่านั้น ตาเฒ่าเฟิงหยิบแม่มดเปลือยกายด้วยความเร็วแสง จากนั้นทั้งสองหลบหนีไปได้อย่างรวดเร็ว
“อะ!” เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ซ่งจงและผู้ฝึกตนระดับจินตันทั้งสี่งุนงงทันที ทั้งหมดไม่คิดว่าตาเฒ่าเฟิงจะมีการหลบหนีที่บ้าคลั่งเช่นนี้
เมื่อเห็นใบหน้าที่ตกตะลึง ตาเฒ่าเฟิงเร่งรีบเพิ่มความเร็ว อาการหดหู่เมื่อครู่ของเขาหายไปเป็นปลิดทิ้งพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง “ไอ้สารเลว ตอนนี้เจ้าคงรู้ถึงพลังของบิดาผู้นี้แล้วสินะ? ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ในขณะที่ตาเฒ่าเฟิงกำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น แม่มดเปลือยกายที่อยู่ในอ้อมแขนของเขากำลังร้องไห้ออกมาอย่างดีใจ จากนั้นใบหน้าของนางได้แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มือของนางยกกริชสีดำขึ้นมาพร้อมกับแทงไปที่ตันเถียนของตาเฒ่าเฟิงอย่างชั่วร้าย
สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ตาเฒ่าเฟิงนั้นไม่ได้เตรียมใจว่าบุคคลที่เขาเพิ่งช่วยชีวิตเมื่อครู่นี้จะแว้งกัดเขาเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ระมัดระวังตัวกับนางโดยสมบูรณ์ ในขณะที่ถูกแทงเขาก็หัวเราะออกมาอย่างร่าเริง
โดยปกติแล้วร่างกายของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินนั้นจะมีปราณจิตวิญญาณปกป้องไว้อีกหนึ่งชั้น กริชของแม่มดเปลือยกายนั้นไม่ใช่อุปกรณ์ทั่วไป แต่มันเป็นสมบัติวิเศษขั้นห้าซึ่งก็คือกริชวิญญาณเหมันต์ซึ่งมีความสามารถให้การฉีกเกราะป้องกันของผู้ฝึกตนเพื่อทะลวงเข้าสู่ร่างกายของศัตรูอย่างง่ายดาย
ดังนั้นในตอนนี้มันจึงกลายเป็นโศกนาฏกรรมของตาเฒ่าเฟิง ภายใต้การควบคุมทุกอย่างของแม่มดเปลือยกาย กริชวิญญาณเหมันต์ได้ผ่านร่างกายของเขาเข้าไปสู่ด้านในอย่างง่ายดายโดยไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวางได้
ตันเถียนถือบริเวณที่เก็บสะสมทุกสิ่งอย่างที่ฝึกฝนมาจนถึงระดับหยวนหยิน ในตอนนี้มันถูกโจมตีโดยแม่มดเปลือยกายแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่ตาเฒ่าเฟิงฝึกฝนมายาวนานกว่าร้อยปีได้ถูกทำลายจนหมดสิ้น
ช่วงเวลาที่ตันเถียนของเขาถูกทำลาย ตาเฒ่าเฟิงเจ็บปวดอย่างมาก เขาโบกมือเพื่อปล่อยคลื่นพลังสังหารแม่มดเปลือยกายด้วยพลังเฮือกสุดท้าย “นังเพศยา เจ้ากล้าที่จะทรยศข้า!”
แม่มดเปลือยกายนั้นไม่ได้มีทักษะป้องกันตัวที่แปลกเหมือนกับซ่งจง แน่นอนว่าร่างกายของนางแหลกสลายเป็นผุยผงกลางอากาศทันที
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ศพของนางกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ มีเงาดำแยกออกมาจากร่างกายของนางปรากฏเป็นหญิงสาวผู้งดงาม
ด้วยความจำของตาเฒ่าเฟิง เขารู้ได้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร จากนั้นเขากรีดร้องออกมาอย่างโศกเศร้า “แม่มดเทวะงั้นหรือ? บัดซบ การกระทำของแกมันน่ารังเกียจยิ่งนัก แกใช้ร่างกายของนังเพศยาผู้นี้เพื่อหลอกลวงข้า!”
“ฮ่าฮ่า เจ้าโง่ เจ้าไม่รู้งั้นหรือว่าผู้ชนะคือผู้ที่ได้เขียนประวัติศาสตร์? เจ้ากล้าพูดได้อย่างไรว่าข้ากระทำการน่าเกลียด มันเป็นเพียงเจ้าที่โง่เขลาเท่านั้น!” ซ่งจงอุทานออกมาอย่างสบายใจ “แล้วยังไงต่อ? ความรู้สึกที่ถูกแทงยอดเยี่ยมหรือไม่? กริชนี้เจ้ามอบให้กับนางเป็นการส่วนตัวด้วยสินะ มันคือรางวัลสำหรับการทรยศข้า ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะกระแทกเจ้ากลับด้วยกริชเล่มนี้เช่นกัน ผลลัพธ์มันก็ประมานนี้แหละ!”
Old Devil Feng was already heavily injured; hearing SongZhong add insult to injury, his face turned green while his body trembled uncontrollably. Before he could speak, he vomited a mouthful of blood before speaking in a faltering tone, “Darned Fatty, you’re too sly. This old man has suffered an injustice!”
ในตอนนี้ตาเฒ่าเฟิงได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อได้ยินเจ้าอ้วนกล่าวออกมาเช่นกัน อาการบาดเจ็บของเขาทรุดมากไปอีก ใบหน้าของเขากลายเป็นสีเขียว ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ ก่อนที่เขาจะกล่าวอะไรออกมาได้ เขาอ้วกออกมาเป็นเลือดคำใหญ่ก่อนที่จะพูดอย่างติดขัด “ไอ้อ้วนบัดซบ เจ้ามันคนกลับกลอก ชายชราผู้นี้ไม่ได้รับความยุติธรรม!”
“แล้วยังไง? เจ้ากำลังจะตาย!” เจ้าอ้วนเผยยิ้มออกมา “เจ้าสามารถบอกกล่าวเรื่องราวที่คับข้องใจให้กับยมบาลเมื่อเจ้าไปถึงยมโลก!”
“เหอะ!” ตาเฒ่าเฟิงสบถออกมาเสียงเย็นเฉียบ พร้อมกล่าวอย่างอัดอั้นตันใจ “ถ้าหากไม่ใช่เพราะแม่มดเมฆาและวายุไม่คิดจะเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ แผนของเจ้าไม่มีวันสำเร็จ แม้ว่าจะต้องตาย ข้าก็คงไม่มีวันตายตาหลับ!”
จากนั้นเขาส่ายหัวพร้อมกับกรีดร้องออกมา “อ๊า!! แม่มดเมฆาและวายุ อีตัวทั้งสอง ข้าจะไม่ยกโทษให้กับเจ้าทั้งสองคนแม้ว่าข้าจะต้องตาย!”
ในขณะที่เขากล่าวจบ เขากระแทกฝ่ามือที่รุนแรงลงบนหน้าผากของตนเองอย่างไร้ปราณี นั่นคือการฆ่าตัวตายด้วยการทุบศีรษะของตนเองอย่างโหดเหี้ยม เขารู้ว่าเขาไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อได้นาน เพราะหลังจากถูกแทงแล้ว คำสาปที่อยู่ในกริชจะเริ่มทำงานทันที การฝึกฝนระดับหยวนหยินของเขาจะถูกทำลายโดยสมบูรณ์ การทำเช่นนี้เป็นการไม่ต้องตกไปอยู่ในสภาพของมนุษย์ผู้อ่อนแอ ซึ่งมีค่าเพียงถังขยะ การฆ่าตัวตายนั้นดีกว่าทุกสิ่งในตัวเลือกตอนนี้ เขาจะไม่ถูกข่มเหงให้ไร้ค่าไปมากกว่านี้
ซ่งจงรู้สึกดีขึ้นมากเมื่อเห็นว่าคนที่สังหารครอบครัวของตนฆ่าตัวตาย ความเสียใจเพียงนิดเดียวที่เขามีคือเขาไม่ได้ทำมันด้วยตนเอง แต่อย่างไรก็ตามมันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ประเด็นก็คือตาเฒ่าเฟิงนั้นถูกบังคับให้ฆ่าตัวตาย ดังนั้นแน่นอนว่ามันไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเขา ซ่งจงกวาดมือของตนเองเพื่อรวบรวมศพ เขาตั้งใจจะใช้มันเพื่อไปเคารพศพของบิดามารดาของตนเอง
หลังจากนั้น เขายืนมองเหล่าสาวกของสำนักพันปีศาจที่ห่างออกไปเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าใครเป็นศิษย์ของตาเฒ่าเฟิงที่สมรู้ร่วมคิดสังหารครอบครัวของเขา แต่มันจะสำคัญอะไรอีก? ถ้าหากซ่งจงฆ่าพวกเขาทั้งหมด ก็นับได้ว่าการแก้แค้นได้ถูกชำระล้างเรียบร้อยแล้ว!
ในจุดนั้น ซ่งจงปรายตามองสาวกเหล่านั้นด้วยจิตสังหารแรงกล้า เขาหยิบสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้าออกมาพร้อมกับจิตสังหารที่ท่วมท้นภายในหัวใจ
เมื่อเห็นท่าทีของซ่งจง เหล่าสาวกเกรงกลัวจนแตกตื่นไปคนละทิศทาง
ช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ ปรากฏเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “ซ่งจง เจ้าคิดจริงๆงั้นหรือว่าสำนักพันปีศาจจะไม่มีผู้ใดที่สามารถหยุดเจ้าได้?”
เสียงดังขึ้นพร้อมกับปรากฏสตรีสองนางสวมใส่ชุดคลุมสีแดง ทั้งคู่อยู่ในวัยราวสามสิบ มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ร่างกายของทั้งสองนั้นโค้งเว้าอย่างเย้ายวนใจ สีผิวของพวกนางนั้นขาวราวกับนม ออร่าที่เปล่งประกายออกมานั้นดูแข็งแกร่งและสง่างาม ทั่วทั้งร่างกายประดับด้วยไข่มุกและหยกทำให้ดูล้ำค่า แสดงให้เห็นถึงฐานะที่มั่งคั่ง
เพียงแค่มองจากภายนอกก็รับรู้ได้ว่าทั้งสองนั้นร่ำรวยอย่างมาก แต่เมื่อมองดูใกล้ๆจะพบว่าพวกนางทั้งคู่เต็มไปด้วยพลังอันชั่วร้าย ผิวของพวกนางส่องเป็นประกายยิบยับ แสดงให้เห็นว่าทั้งสองนั้นฝึกฝนจนเข้าถึงแก่นของมันแล้ว
ซ่งจงนั้นตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เพียงมองผ่านๆเขารู้ได้ทันทีว่าทั้งสองคนนี้นั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าตาเฒ่าเฟิงอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินถึงสองคน ซ่งจงจึงแน่ใจได้ว่าทั้งสองนั้นคือแม่มดเมฆาและวายุ
เมื่อซ่งจงเห็นทั้งสอง เขาประหลาดใจในช่วงแรก แต่ในไม่ช้ามันกลายเป็นรอยยิ้มที่แสนเย็นชาพร้อมกล่าวออกมาว่า “ฮ่าฮ่า ผู้นี้คือใครกัน? คงจะเป็นแม่มดเมฆาและวายุสินะ! พวกเจ้าทั้งสองยืนดูตาเฒ่าเฟิงฆ่าตัวตายอย่างสบายใจ แต่กลับแอบดูอยู่ในมุมมืด แล้วเจ้าทั้งสองจะพยายามหยุดโศกนาฏกรรมนี้อย่างไรล่ะ?”
“เหอะ!” แม่มดทั้งสองสบถออกมาก่อนจะตอบกลับ “เด็กน้อย อย่าพยายามหยุดเรา ความตายของตาเฒ่าเฟิงนั้นเป็นเพียงความโง่ของเขาเองและข้าไม่เคยวางแผนไว้ล่วงหน้า สิ่งนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเราทั้งสิ้น! สาเหตุที่เราเลือกจะแสดงตนออกมาในตอนนี้ แน่นอนว่ามันเพราะเราต้องการแสดงให้เจ้าเห็นพลังของสำนัก!”
เมื่อได้ยินพวกนางโกหก ซ่งจงกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น “พลังของสำนักพันปีศาจงั้นหรือ? ทำไมข้าถึงมองไม่เห็นเลย? หนุ่มน้อยผู้นี้เดินเข้ามาเพียงลำพัง สังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันและหยวนหยินราวกับผักปลา แต่ข้ายังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ นี่แสดงให้เห็นว่าพลังของพวกเจ้าเป็นเพียงพยัคฆ์แก่เท่านั้น!”
“เหอะ!” แม่มดทั้งสองเริ่มขุ่นเคือง “เจ้าบัดซบ อย่าคิดว่าเจ้าเพียงใช้ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าเพื่อแทรกซึมเข้ามาในสำนักของเราและจัดการกับค่ายกลป้องกัน เจ้าจะสามารถอาละวาดได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใด! พวกเราสองพี่น้องนั้นไม่เหมือนกับไอ้โง่เฟิง! สำหรับมือใหม่อย่างเจ้า แม้ว่าจะครอบครองภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า ยังไงก็ต้องตายอยู่ดี!”
เมื่อกล่าวจบ ทั้งสองเหยียดมือออกมาเพื่อเรียกดาบบินสีแดง ก่อนที่จะยิ้มให้ซ่งจง แน่นอนว่าทั้งสองยังดูถูกเขาและเห็นเขาเป็นเพียงแกะน้อยเท่านั้น
ความจริงแล้วทั้งสองนั้นสามารถดูถูกซ่งจงได้ เพราะการที่ซ่งจงไล่ล่าตาเฒ่าเฟิงให้เหมือนหมาจนตรอกได้เป็นเพราะตาเฒ่าเฟิงนั้นบาดเจ็บสาหัสและยังไม่ฟื้นฟู อีกทั้งสมบัติทั้งหมดยังถูกทำลาย ดังนั้นความแข็งแกร่งของเขาจึงลดลงไปอย่างมาก ถ้าหากเขาถูกทำร้ายในช่วงเวลาที่จ้าวสำนักอยู่ที่นี่ แม้ว่าตาเฒ่าเฟิงจะไม่สามารถเอาชนะซ่งจงได้ แต่แน่นอนว่าเวลาตายของเขาคงจะยังมาไม่ถึง!
สำหรับแม่มดทั้งสองนั้นแข็งแกร่งกว่าตาเฒ่าเฟิงเล็กน้อย เรียกได้ว่าทั้งสองนั้นอยู่ในจุดสูงสุดของระดับหยวนหยิน เมื่อรวมกับสมบัติวิเศษที่มากมายของพวกนางและความจริงที่ว่าทั้งสองนั้นร่วมมือกัน ถ้าหากโจมตีพร้อมกัน ทั้งสองสามารถเผชิญหน้ากับตาเฒ่าเฟิงถึงสี่คนได้! เช่นนี้การจัดการกับซ่งจงนั้นไม่ได้ยากเย็นเลย
แม้ว่าซ่งจงจะหยิ่งผยองและกล่าวเหมือนไม่เกรงกลัว แต่แน่นอนว่าซ่งจงจะไม่ยอมเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง การต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญถึงสองคนนั้นเป็นเรื่องที่หนักหนาเกินไป ทำเช่นนี้ราวกับว่าเขานั้นเบื่อชีวิตนี้เต็มที!
หลังจากที่สตรีทั้งสองนำดาบสีแดงออกมา ซ่งจงไม่ได้เร่งรีบ เขาเผยยิ้มพร้อมกับนำเรือมังกรทองคำออกมา
เรือยักษ์ขนาดสามพันฟุตลอยอยู่เหนือศีรษะของซ่งจงอย่างเงียบๆ หัวมังกรนับสิบกำลังเผชิญหน้ากับแม่มดเมฆาและวายุ ดวงตาสีม่วงของพวกมันกระพริบยิบยับด้วยลำแสงสีม่วง เมื่อทั้งสองต้องเผชิญหน้ากับสิ่งขนาดยักษ์เช่นนี้ แน่นอนว่าความรู้สึกกดดันถาโถมเข้ามาราวกับถูกภูเขากดทับ
ซ่งจงใช้โอกาสนี้หายตัวไปจากที่ตรงนั้นทันที เขาปรากฏตัวขึ้นบนดาดฟ้าของเรืออย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นซ่งจงยืนอยู่บนอาวุธที่มีพลังทำลายล้างพร้อมกับรอยยิ้มเย็นชาที่ฉาบอยู่บนใบหน้าของเขา แม่มดทั้งสองหน้าซีดและเริ่มที่จะทำอะไรไม่ถูก “ซ่งจง เจ้ามันไร้ยางอาย!”
“ฮี่ฮี่ พวกเจ้ามากกว่าที่ไร้ยางอาย คิดจะสองต่อหนึ่งกับข้า! เหตุใดจึงยังมีหน้ามากล่าวว่าข้านั้นไร้ยางอาย ทั้งๆที่พวกเจ้าทำมันก่อน!” ซ่งจงกล่าวออกมาอย่างสบายๆ “มันไม่สำคัญ แม้ว่าพวกเจ้าต้องการที่จะทำเรื่องหน้าอับอาย นายน้อยผู้นี้ก็ไม่เกรงกลัวอะไร ข้าจะทำลายทั้งหมดให้ราบเป็นหน้ากอง จงระวัง!”