ตอนที่ 61 - 3 เสน่ห์ล้นเหลือ

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

จิ่งเหิงปัวกะพริบดวงตาปริบๆ กล่าวว่า “เช่นนั้นข้าฉวยโอกาสชิงราชบัลลังก์ได้หรือไม่?” 

 

 

“เจ้าเป็นฝ่าบาทอยู่แล้ว” 

 

 

“เจ้าเตือนสติข้าเรื่องหนึ่ง” จิ่งเหิงปัวปรบมือครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ยามนี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้สภาพของเจ้า หากข้าสังหารเจ้า ข้าย่อมได้จัดการมหาขุนนางกังฉินที่ช่วงชิงอำนาจของกษัตริย์เช่นเจ้าผู้นี้ นับแต่นี้อำนาจอยู่ในมือข้า กลายเป็นราชินีที่แท้จริงแล้วไม่ใช่หรือ?” 

 

 

“เจ้าจะลองดูย่อมได้” แววตาของกงอิ้นสงบเงียบ นัยน์ตาดำขลับมองอารมณ์ไม่ออก 

 

 

“จากนั้นสิ่งที่รอข้าอยู่คือสิ่งใด?” จิ่งเหิงปัวกลับไปกลับมาบนเตียงใต้เตียงมั่วซั่วระลอกหนึ่ง กล่าวว่า “กลไก? ไอพิษ? หรือไข่มุกเปลี่ยนแปลงได้มากมายบนคอเสื้อเจ้า?” 

 

 

มุมปากของกงอิ้นมีรอยยิ้มเจือจางผืนหนึ่ง 

 

 

“เอาเถิด ปล่อยเจ้าไปสักครั้ง” จิ่งเหิงปัวปรบมือ กล่าวว่า “ข้าไปช่วยเจ้าบอกกล่าวเหมิงหู่ บอกเขาว่าเจ้าป่วยไข้ต้องการพักผ่อนวันหนึ่ง” 

 

 

“ไม่ได้” 

 

 

“ด้วยเหตุใด?” 

 

 

“เช่นนี้เท่ากับบอกกล่าวพวกเหยียลี่ว์ฉีว่าข้าเกิดความผิดปกติ หากพวกเหยียลี่ว์ฉีลงมือ เหมิงหู่ไร้อำนาจโยกย้ายอวี้จ้าวหลงฉีและทหารคั่งหลง มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะก่อให้เกิดความวุ่นวาย” 

 

 

“กงอิ้น” 

 

 

“อืม” 

 

 

“เจ้ารู้สึกบ้างหรือไม่ว่าการที่คนผู้หนึ่งคว้ามหาอำนาจไว้ในมือของตนเองทั้งสิ้น ไม่ใช่การแสดงออกที่ฉลาดเฉลียว? หากเกิดปัญหาใดกับตนขึ้นมา เจ้าไม่มีแม้แต่ผู้ที่สามารถลงมือทำหน้าที่แทนเจ้าได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าตัวเจ้าเองจะเหน็ดเหนื่อยสิ้นชีพทั้งเป็น” 

 

 

“อืม” กงอิ้นแสดงความเห็นชอบกับความเห็นของนางอย่างหาได้ยาก ค่อยๆ เอ่ยว่า “ฉะนั้นข้ากำลังคิดว่าควรจะฝึกฝนคนผู้หนึ่งมาทำหน้าที่แทนแล้วหรือไม่” 

 

 

“ผู้ใด? เหมิงหู่หรือ? เขาเป็นหัวหน้าองครักษ์ข้างกายของเจ้า จิตใจจงรักภักดีเพียงพอแล้ว แต่ข้ารู้สึกว่าเขาไม่เพียบพร้อมด้วยความรู้สึกเฉียบไวทางการเมือง ไม่ใช่บุคคลที่รับผิดชอบงานเฉพาะทางเพียงผู้เดียวได้ อวี่ชุนก็ไม่ไหว อุปนิสัยของเขามีความเ**้ยมโหดซ่อนอยู่ ยามสำคัญอาจจะไม่อาจควบคุมตนเองให้ดีได้ อาซั่นมีฝีมือดี ทว่ารักสันโดษและเอาแต่ใจตนเองเกินไป เจ้าควรเลือกจากขุนนางในราชสำนักที่อ่อนวัยเพิ่งทำงาน สร้างบุญคุณด้วยตนเอง บ่มเพาะโดยใช้ทั้งบุญคุณทั้งบารมี…” จิ่งเหิงปัวดีดเล็บ กล่าวอย่างไม่สนใจใยดีแต่คล่องแคล่วอย่างยิ่ง คล้ายไม่ต้องครุ่นคิด 

 

 

กงอิ้นมองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่งด้วยสายตาเจือรอยยิ้มจาง 

 

 

นางรู้หรือไม่ว่าทุกครั้งยามนางเอ่ยถึงสถานการณ์ใหญ่โตเหล่านี้ อุปนิสัยไม่ไร้ระเบียบวินัยทำตามใจชอบเช่นยามปกติโดยสิ้นเชิง นัยน์ตาแพรวพราว สติปัญญาไหลเวียน มีเกียรติศักดิ์ที่ทำให้คนหวาดเกรง 

 

 

นางมีพรสวรรค์ทางการเมือง 

 

 

นางมีความรู้สึกเฉียบไวที่ซุกซ่อนไว้ 

 

 

ขอเพียงนางยอมสงบใจครุ่นคิดให้ถี่ถ้วน ขุนนางอ่อนวัยผู้ใดล้วนเทียบมิได้ 

 

 

“เจ้าทำร้ายข้า เจ้าต้องรับผิดชอบ” เขาเอ่ยโดยพลัน 

 

 

จิ่งเหิงปัวตื่นตะลึงจนนัยน์ตาเบิกกว้าง อาไร้? รับผิดชอบเหรอ? 

 

 

คำกล่าวที่ช็อคโลกขนาดนี้ ควรอยู่ในละครโรแมนติกน้ำเน่าที่ผู้เขียนบทพวกนั้นให้ผู้ชายหน่อมแน้มพูดกับผู้หญิงอันธพาลเพื่อความฮาไม่ใช่เหรอ? จักรพรรดิสูงส่งเย็นชาเอามาใช้ด้วยตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย? 

 

 

เข้ากันได้เหรอ? 

 

 

นางพบว่าบางครั้งกงอิ้นเอ่ยวาจาแปลกประหลาดมหัศจรรย์กำเนิดพลันกลางอากาศทุกรูปแบบ เขาราศีอะไรกันแน่? 

 

 

กงอิ้นคล้ายไม่รู้สึกเลยแม้แต่น้อยว่าวาจานี้มีสิ่งใดผิดปกติ มือขยับเพียงครั้งหลุดพ้นจากเชือกผ้าหลวมโพรกนั้นแล้ว ตบตรงขอบเตียงเอ่ยว่า “นั่งลง” 

 

 

“ไยข้าจึงต้องนั่ง?” จิ่งเหิงปัวนอนลงไปทันที 

 

 

ริมฝีปากกงอิ้นโค้งเพียงครั้ง อืม ถูกแล้ว เป็นเช่นนั้นแล 

 

 

สองคนนอนหงายราบ ต่างคนต่างแหงนหน้ามองหลังคาตำหนัก รู้สึกโดยพลันว่าตั้งแต่รู้จักกันมา สองคนทะเลาะเบาะแว้งกันทุกสิ่ง คล้ายศัตรูแต่ไม่ใช่ศัตรู คล้ายสหายแต่ไม่ใช่สหาย ทะเลาะกันไม่จบไม่สิ้น ทว่าช่วงเวลาที่นอนอยู่ด้วยกันอย่างสงบเงียบปานนี้คล้ายจะเป็นครั้งแรก 

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงว่าหัวใจค่อยๆ สงบนิ่ง ไม่มีความร้อนรนว้าวุ่นไม่หยุดหย่อนและไม่มีอาการใจเต้นหน้าแดงเมื่อมองร่างกายใต้ชุดผ้าโปร่งโปร่งแสงของเขาเมื่อครู่ ลมหายใจของเขายังคงล่องลอยเชื่องช้าชิดใกล้ แต่ไม่ได้ทำให้นางร้อนรนไม่สบายใจอีกแล้ว บรรยากาศรอบด้านคล้ายค่อยๆ เงียบสงบ เพียงเพื่อรอคอยการสื่อสารอ่อนโยนที่หาได้ยากฉากหนึ่ง 

 

 

หลังคาตำหนักมีลวดลายหินอ่อน มองไม่ออกว่าเป็นรูปร่างอะไร นางรู้สึกว่าลายเส้นงดงามอย่างยิ่ง คล้ายสุกรตัวหนึ่ง 

 

 

เฮ้อ ความรู้สึกที่เลิกผ้าห่มคุยกันอย่างบริสุทธิ์ใจก็ไม่เลวแฮะ 

 

 

“ก่อนฟ้าสางยังมีเวลาอยู่บ้าง มีเรื่องบางอย่างจะมอบหมายให้เจ้าพอดี” 

 

 

“อื้ม” นางตอบโพล่งออกมา ไม่ได้คิดว่าทำไมตนเองต้องยอมรับการมอบหมายงานด้วย 

 

 

“ถามเจ้าก่อนคำถามหนึ่ง การอภิปรายงานราชการที่จิ้งถิงเมื่อวาน เจ้าแอบมองอยู่ข้างกำแพง ยามออกมาเจ้าได้พบขุนนางสำคัญและบุคคลผู้มีอำนาจในราชวงศ์ปัจจุบันเกือบทุกคน เจ้าคิดว่าคนเหล่านี้รู้สึกอย่างไรต่อเจ้า? คนจำพวกใดเจ้าเข้าใกล้ได้ คนจำพวกใดใช้สอยได้ แลคนจำพวกใดต้องเป็นศัตรูแน่? อย่านำการแสดงออกในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จวันนั้นของทุกคนมาตัดสิน ข้าต้องการเพียงข้อสรุปที่เจ้าอาศัยเรื่องราวที่จิ้งถิงวันนั้นเพียงด้านเดียวสรุปออกมา” 

 

 

คำถามโหดร้ายเล็กน้อย ตอนนั้นนางอยู่บนสันกำแพง มองเหล่าขุนนางสำคัญบนลานบ้านห่างไกลแวบเดียว ยังไม่ได้ทักทายด้วยซ้ำจะเอาข้อสรุปแล้ว ฟังดูเป็นหัวข้อที่ค่อนข้างเหลวไหล 

 

 

นางกลับตอบโดยไม่ได้คิดด้วยซ้ำ 

 

 

“เชื่อถือมหาปราชญ์ฉังฟังได้ ยามจำเป็นไปหาเขาให้เขาช่วยเหลือได้ ขุนนางใหญ่ผู้อื่นที่ข้ายังไม่รู้จักชื่อด้วยซ้ำที่เหลือ พวกเขาคือฝ่ายเป็นกลาง ยามนี้สำหรับพวกเขาแล้ว ข้าคือราชินีที่มีหรือไม่มีย่อมได้ หากหวังได้รับการสนับสนุนจากพวกเขา ข้าต้องแสดงความสามารถมากยิ่งกว่านี้ ภายใต้สถานการณ์ปกติ พวกเขาจะไม่ทำอันตรายต่อข้าก่อน เฟยหลัวนับเป็นศัตรูได้เพียงครึ่งร่าง นางให้ความสนใจกับผลประโยชน์ของตนเองและแคว้นเซียงมากกว่า ศัตรูที่แท้จริงคือซังต้ง” 

 

 

“ข้าจำได้ว่าวันนั้นฉังฟังถวายคำนับให้เจ้า เหล่าขุนนางสำคัญแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเจ้า เฟยหลัวถลึงตาใส่เจ้าปราดหนึ่ง ซังต้งกลับยิ้มแย้มให้เจ้า การอนุมานนี้ของเจ้าคล้ายจะแปลกประหลาดเล็กน้อย” 

 

 

สิ่งที่ทำให้จิ่งเหิงปัวแปลกใจคือเจ้าคนนี้ตอนนั้นไม่ใช่อยู่ในห้องหนังสือเหรอ ทำไมแม้แต่ท่าทางที่เหล่าผู้อาวุโสมีต่อนางตอนออกมายังอยู่ในสายตาทุกย่างก้าว? 

 

 

“ฉังฟังซาบซึ้งใจต่อข้า เคยตั้งปณิธานจะเป็นข้ารับใช้ของข้า เขาให้ความเคารพยกย่องต่อข้าไม่ว่ายามใด จะไม่เปลี่ยนไปด้วยเพราะท่าทางของผู้อื่นเปลี่ยนแปลง เขาพึ่งพาได้” 

 

 

“ผู้อาวุโสที่เหลือไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของข้า ทว่ายังไม่อยากยุ่มย่ามในยามนี้จึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เรื่องนี้มากน้อยเพียงใดย่อมนับว่าเป็นความเคารพและกังวลที่มีต่อราชินีเช่นข้านี้ ฉะนั้นพวกเขาจะไม่ช่วยเหลือทว่าพยายามใช้สอยได้ ขึ้นอยู่กับว่าข้าเพิ่มส่วนแบ่งของตนเองได้หรือไม่” 

 

 

“เฟยหลัวมีเจตนาร้ายชัดแจ้ง ทว่าท่าทางต่อต้านชัดเจน โดยปกติแล้วคนที่แสดงเจตนาร้ายไว้บนใบหน้าผู้หนึ่งจะไม่ลงมือลับหลัง สุนัขกัดไม่เห่า” 

 

 

“แท้จริงแล้วผู้ที่เหยียดหยามข้าที่สุดคือซังต้ง ไม่หลบหลีกแลไม่ร่นถอยให้ราชินีเช่นข้านี้ มองเห็นแล้วเพียงพยักหน้า ไม่ได้ถือว่าข้าเป็นราชินีที่สูงส่งเลิศล้ำด้วยซ้ำ ถึงขนาดเจือด้วยความคิดมองว่าตนสูงกว่า การยิ้มแย้มของนางแท้จริงแล้วคือท่าทางเหยียดหยามรูปแบบหนึ่ง” 

 

 

“แปะๆๆ” กงอิ้นกำลังปรบมือแผ่วเบา เอ่ยว่า “หรือควรให้พวกเขาได้ฟังวาจาท่อนนี้ของเจ้า” 

 

 

“เจ้ายอมหรือ?” นางหันนางยิ้มแย้มครั้งหนึ่ง เจือด้วยการเหน็บแนมเล็กน้อย 

 

 

ช่วงเวลาอ่อนโยนนี้เอง นางไม่กล้าหลงลืมการปะทะอำนาจในระดับใดระดับหนึ่งของสองคน เสียเปรียบไปมากมายขนาดนั้น ตั้งแต่ก้าวเข้าตำหนักอวี้จ้าวครู่หนึ่งนั้น นางได้เริ่มเรียนรู้การระแวดระวังแล้ว 

 

 

กงอิ้นไม่ตอบรับ เปลี่ยนหัวข้อสนทนา 

 

 

“เจ้าอยากรู้การจัดวางกำลังป้องกันขององครักษ์ในวังหรือไม่?” 

 

 

“หา?” นางนึกไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยถึงเรื่องนี้กะทันหัน 

 

 

“แบ่งเป็นการจัดวางกำลังป้องกันภายในกับการจัดวางกำลังป้องกันภายนอก รวมทั้งเขาวงกตอวี้จ้าว…” เขาล้วงกระดานพับแผ่นหนึ่งออกมาจากใต้เตียง นำม้วนหนังสือฉบับหนึ่งออกมา 

 

 

นางยื่นหน้าเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น 

 

 

“อวี้จ้าวกับคั่งหลงต่างมีการจัดวางลับส่วนหนึ่ง…” 

 

 

“ขุนนางสำคัญในราชสำนักส่วนมากอาศัยอยู่ที่ตรอกซั่นเต๋อ สามารถเข้าวังอย่างรวดเร็วได้จากเส้นทางลับแคบๆ สายหนึ่งในวัง…” 

 

 

“ใต้ตรอกซั่นเต๋อมีการจัดวางบางส่วน…” 

 

 

“การจัดวางโดยละเอียดของขุนนางในราชสำนักแต่ละกอง…” 

 

 

“ตำแหน่งของด่านใหญ่เจ็ดแห่งบนกำแพงวังกับปราการหยก…” 

 

 

“รูปแบบกระจัดกระจายแบบแน่นหนาชั้นแล้วชั้นเล่าของต้าฮวงมีข้อดีแลมีข้อเสีย องค์ปฐมจักรพรรดิทรงเคยหลงเหลือแผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหมไว้ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะหาเจอหรือไม่…” 

 

 

ไอเหน็บหนาวในตำหนักใหญ่ค่อยๆ สูญสลายไป แสงนภาแจ่มแจ้งทีละชุ่น จิ่งเหิงปัวไร้ซึ่งความง่วงนอนแม้ไม่ได้นอนทั้งคืน หมอบอยู่บนเตียงสองตาเปล่งประกายใส่แบบแปลนกองใหญ่กองหนึ่ง 

 

 

“เหลือเวลาอีกครึ่งเค่อ เหล่าขุนนางสำคัญจะเดินทางมาอภิปรายงานราชการที่จิ้งถิง” กงอิ้นพลันเงียบไปชั่วครู่ เอ่ยสืบต่อว่า “เจ้าไปเถิด” 

 

 

จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมามองเขา ในเนตรดอกท้อที่เชิดขึ้นเพียงน้อยมีประกายแสงโชติช่วง 

 

 

“เหตุใดจึงบอกเรื่องเหล่านี้กับข้า” 

 

 

การสนทนากันคืนหนึ่งนี้ ยิ่งฟังยิ่งตกใจ ทุกวาจาที่กงอิ้นเอ่ยถึงล้วนเป็นความลับที่สำคัญที่สุดของพระราชวังแห่งนี้ แม้กระทั่งราชสำนักนี้ นางเกิดความสงสัยอยู่บ้าง ไม่รู้ว่านี่คือเรื่องที่ราชินีทุกสมัยในอดีตควรรู้หรือเป็นข้อยกเว้นสำหรับตนเองเพียงคนเดียว 

 

 

ในตำนานราชินีเพียงเสพสุขตำแหน่งสูงศักดิ์แต่ไร้อำนาจที่แท้จริง กล่าวตามหลักแล้ว นางไม่จำเป็นต้องรู้ความลับที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันทางทหาร เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางการเมืองเหล่านี้ 

 

 

“ในสมองเจ้ามีเรื่องสับสนวุ่นวายมากเกินไป บางครั้วควรเติมเรื่องที่มีประโยชน์เข้าไปบ้าง” กงอิ้นเอ่ยวาจาทำให้คนโกรธแค้นขนาดนั้นได้ตลอด 

 

 

“ยามข้าออกไปควรจะจัดการอย่างไร?” 

 

 

“อยากจัดการอย่างไรก็จัดการอย่างนั้น” 

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม นัยน์ตาหรี่ลง แสงธารซัดสาดรอบหนึ่ง 

 

 

“คำถามสุดท้าย” ก่อนก้าวผ่านประตู นางหันหน้ากลับมาถามทันทีว่า “ยามกลางวันเจ้าหลีกเลี่ยงละเว้นซุ่มเงียบขนาดนั้น กลางคืนยามนอนหลับเหตุใดจึงสวมอาภรณ์คลุมเครือยั่วยวนขนาดนี้? หรือว่าเจ้าเป็นฝ่ายรับหน้าสวยใจร้ายใจดำที่ภายนอกสูงส่งเย็นชาหลีกเลี่ยงละเว้นทว่าแท้จริงแล้วหลงระเริงแพรวพราวผู้หนึ่ง…ไอ้หยา!” 

 

 

กงอิ้นเพียงดีดนิ้วมือ บนพื้นพลันมีธรณีประตูบานหนึ่งเพิ่มขึ้นมา จิ่งเหิงปัวพาตนเองหายตัวออกไปได้ทันเวลาก่อนจะสะดุดล้มท่าสุนัขกินอุจจาระ