ตอนที่ 61 - 4 เสน่ห์ล้นเหลือ

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

นางหมอบอยู่ในลานบ้านนอกวังบรรทมดัง “พลั่ก” เสียงหนึ่ง รองเท้าหุ้มข้อกองใหญ่กองหนึ่งเบื้องหน้ากระโดดออกไปอย่างหวาดผวา 

 

 

มองรูปแบบรองเท้าหุ้มข้อก็รู้ว่าเป็นองครักษ์ของทางจิ้งถิงนี้ 

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิๆ เสียงหนึ่ง หมอบอยู่บนพื้นเท้าคางกำลังคิดว่าจะอธิบายว่าปรากฏกายนอกประตูห้องบรรทมกงอิ้นกะทันหันได้อย่างไร รองเท้าหุ้มข้อกองหนึ่งนั้นเดินออกไปทันที 

 

 

“วันนี้อากาศดีนะเหอะๆ” 

 

 

“นั่นสิเหอะๆ” 

 

 

“สหายจังหน้าตาเจ้าแจ่มใสดีนะเหอะๆ” 

 

 

“สหายหวังหน้าตาเจ้าแจ่มใสเช่นกันเหอะๆ” 

 

 

“ประตูข้างเปิดอยู่ พวกเราต้องไปจัดวางกำลังป้องกันกันหรือไม่” 

 

 

“ยังเช้าอยู่เลย เปิดไว้ก่อนเถิด” 

 

 

คนกลุ่มหนึ่งเหลียวซ้ายแลขวา เดินไปประดุจมองไม่เห็นสิ่งใดทั้งนั้น จิ่งเหิงปัวยืนขึ้นมาปัดฝุ่นบนหัวเข่า 

 

 

“วันไหนกงอิ้นถูกคนลักหลับยังไม่รู้เลย!” พึมพำเสียงหนึ่ง เดินผ่านทางประตูข้างที่ไม่มีใครเฝ้าอยู่กลับสู่พระราชอุทยานของตนเอง 

 

 

พอเข้าประตูมาก็มองเห็นจื่อหรุ่ย นางมาเช้ายิ่งกว่าปกติ ซ้ำยังขวางอยู่ตรงประตูข้างพอดิบพอดี จิ่งเหิงปัวพึมพำเสียงหนึ่งว่า “ซวยล่ะ” 

 

 

พอจื่อหรุ่ยมองเห็นนาง พลันก้าวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ผ่านไปคืนเดียว อารมณ์ของนางสงบนิ่งลงไปมาก ซ้ำยังฟื้นคืนความสง่าผ่าเผยละเอียดรอบคอบก่อนหน้านี้ เสื้อผ้าแลดูเรียบร้อยเรียบง่ายยิ่งกว่ายามปกติ ไม่รู้ว่าทำไม จิ่งเหิงปัวมองเห็นนางที่เป็นแบบนี้แล้วกลับมีจิตใจเคารพเลื่อมใสเพิ่มขึ้น 

 

 

สตรีนางนี้ ก่อนเกิดภัยพิบัติไม่ได้ลืมตัวเสียกริยามากเกินไป หลังเกิดภัยพิบัติฟื้นคืนได้อย่างรวดเร็ว คู่ควรที่จะเป็นบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถที่ใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังหลายปี ถูกคัดเลือกออกมาชั้นแล้วชั้นเล่าโดยแท้ 

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่คิดว่าบุคคลที่มีความสามารถแบบนี้จะถอดใจทอดทิ้งภาระหน้าที่และหลักการส่วนตัวของนางโดยสิ้นเชิงด้วยเพราะบุญคุณที่ช่วยชีวิตเมื่อวานนี้ 

 

 

จื่อหรุ่ยถวายคำนับให้นางแล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ไม่รู้ว่าเมื่อคืนฝ่าบาทเสด็จไปที่แห่งใดเพคะ?” 

 

 

“สนทนาชีวิตสนทนาอุดมการณ์สนทนาผลกระทบของคุณธรรมจริยธรรมที่มีต่อจิตใจมนุษย์กับท่านราชครู” จิ่งเหิงปัวจัดแต่งจอนผม ยิ้มหยาดเยิ้มอย่างไร้ซึ่งสีหน้าละอายแม้เล็กน้อยครั้งหนึ่ง 

 

 

“โอ้” ลมแปดทิศพัดไม่สะท้านผิวหน้าของจื่อหรุ่ย เอ่ยอย่างสุขุมว่า “แม้เอ่ยว่าองค์ราชินีกับราชครูสามารถใกล้ชิดกันได้มากหน่อยเพื่อปรึกษาหารือเรื่องแคว้น ทว่าคล้ายยิ่งควรเป็นองค์ราชินีที่ทรงเรียกราชครูเข้าพบ แลมิใช่ทรงเสด็จไปด้วยพระองค์เอง หากถูกผู้คนพบเข้า เกรงว่าคงจะมีปัญหาอย่างยากหลีกเลี่ยงเพคะ” 

 

 

แม้ว่านางกำลังตักเตือนถึงกฎเกณฑ์ ทว่ากลับไม่เอ่ยถึงเรื่องบุกวังบรรทมของผู้อื่นยามราตรีสักประโยคเดียว อีกทั้งคำว่า “พบเข้า” ประโยคนั้น จิ่งเหิงปัวได้ยินแล้วรู้สึกว่าใช้คำได้มหัศจรรย์ ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ราชครูยุ่งเกินไป เจิ้นเข้าใจในความรู้สึกของเขาจึงเดินทางไปด้วยตนเอง จื่อหรุ่ยเจ้าดูสิ กระทำอย่างไรถึงทั้งสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ทั้งบรรลุจุดประสงค์ที่ข้ากับราชครูได้สนทนาชีวิตสนทนาอุดมการณ์สนทนาผลกระทบของคุณธรรมจริยธรรมที่มีต่อจิตใจมนุษย์ด้วยกันบ่อยครั้งเล่า?” 

 

 

“โอ้” ขุนนางหญิงผู้สง่าผ่าเผยละเอียดรอบคอบเอ่ยว่า “ภาระหน้าที่ของหม่อมฉันคือการตักเตือนกฎเกณฑ์แลขจัดความกลัดกลุ้มแก้ไขปัญหาเพื่อราชินี หากวันหน้าฝ่าบาทยังทรงต้องการจะสนทนาชีวิตและอุดมการณ์กับราชครู ขอทรงบอกกล่าวกระหม่อมแลให้กระหม่อมเฝ้ารับใช้อยู่รอบกายพระองค์ย่อมได้ หากมีหม่อมฉันอยู่ด้วย ต่อให้เป็นท่านเสนาพิธีการยังไร้หนทางตำหนิพระองค์ ด้วยเพราะหากเอ่ยถึงการสั่งสอนและการควบคุมกฎของพระราชวัง มีเพียงหม่อมฉันถึงเป็นผู้รับผิดชอบลำดับหนึ่งเพคะ” 

 

 

วาจานี้หมายถึงจะขันอาสาจะดูต้นทางให้นางเหรอ? 

 

 

ซ้ำยังเอ่ยได้จริงจังเปี่ยมเหตุผล กฎของพระราชวังเต็มปากอย่างหาได้ยาก 

 

 

ยอดอัจฉริยะโดยแท้ 

 

 

“เช่นนี้เป็นการดีที่สุดแล้ว!” จิ่งเหิงปัวปรบมือครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ทว่าให้เจ้ายืนเฝ้าทั้งคืนรู้สึกไม่ค่อยดีนิดหน่อยแฮะ” 

 

 

“ฝ่าบาททรงมีพระเมตตา” จื่อหรุ่ยเอ่ยว่า “หากพระองค์ทรงให้หม่อมฉันพักผ่อน หม่อมฉันย่อมไปพักผ่อนเพคะ” 

 

 

“หากข้าให้เจ้าพักผ่อนที่ห้องนอกที่สุดข้างลานบ้านห้องนั้นเล่า?” 

 

 

“ย่อมรับราชโองการ ดวงใจของหม่อมฉันอยู่กับพระวรกายของฝ่าบาท แม้ไกลจากฝ่าบาทสักหน่อย ทว่าคงจะไม่ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติภาระหน้าที่อย่างหูไวตาไวของหม่อมฉันเพคะ” 

 

 

ไกลไปหน่อย ห่างกันตั้งสองลานบ้าน จิ่งเหิงปัวเชื่อว่าต่อให้นางข่มขืนกงอิ้น เขาดิ้นรนร้องขอความช่วยเหลือ จื่อหรุ่ยคงจะไม่ได้ยินหรอก 

 

 

นางยิ้มแย้มดีใจมากยิ่งขึ้น 

 

 

“เช่นนี้ วันหน้าหวังว่าเจ้าจะตักเตือนข้าเกี่ยวกับกฎของพระราชวังให้เต็มที่ ช่วยเหลือข้าให้อยู่รอดในวังได้ดียิ่งขึ้น” 

 

 

“หม่อมฉันน้อมรับพระราชโองการของราชินีเพคะ” จื่อหรุ่ยก้มศีรษะอย่างเคารพนบนอบ 

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มมองหาโดยรอบ กล่าวว่า “เฮ้อ ได้ยินว่าวันนี้มามาผู้ชี้นำจะมาสอนกิริยาวาจาทั้งในวังนอกวังและในพิธีการทุกพิธีให้ข้าอย่างเป็นรูปธรรม ทว่าวันนี้ข้ายังมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า ขุนนางหญิงจื่อหรุ่ย เจ้าว่ามีวิธีใดที่ทั้งสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ทั้งขจัดการสอนได้เล่า?” 

 

 

“ทูลฝ่าบาท การมาถึงของมามาผู้ชี้นำมิใช่สิ่งที่หม่อมฉันจะหยุดยั้งได้ ทว่าหม่อมฉันมีฐานะเป็นขุนนางหญิงรับบัญชาข้างกายฝ่าบาท มีคุณสมบัติในการคัดเลือกรวมทั้งตรวจการณ์มามาผู้ชี้นำว่าได้มาตรฐานหรือไม่ หม่อมฉันทูลขอฝ่าบาททรงอนุญาตให้หม่อมฉันตรวจการณ์มามาเหล่านี้เพื่อฝ่าบาทก่อนสักหน่อย ไม่ให้พวกนางเองเรียนรู้กฎเกณฑ์ได้ไม่ละเอียดเพียงพอ ไม่อาจสอนฝ่าบาทให้ดี ส่งผลกระทบต่อเกียรติภูมิของฝ่าบาทเพคะ” 

 

 

“ใช่ยิ่งนัก ใช่ยิ่งนัก” จิ่งเหิงปัวปีติยินดีในใจ พยักหน้าต่อเนื่อง กล่าวว่า “จะต้องตรวจการณ์ให้เต็มที่ จะให้ดีที่สุดตรวจการณ์ให้นานๆ ถึงจะดี” 

 

 

“คัมภีร์พิธีการต้าฮวงสิบบท กฎของพระราชวังหนึ่งพันแปดข้อ ข้อระเบียบทุกแบบแบ่งเป็นสามสิบเล่ม” จื่อหรุ่ยเอ่ยอย่างสงบเงียบว่า “คงจะไม่อาจตรวจการณ์ได้เสร็จสิ้นในวันเดียว หม่อมฉันอาจหาญทูลขอฝ่าบาททรงรอคอยหลายวันสักหน่อย หรืออาจจะนานยิ่งกว่านี้เพคะ” 

 

 

“ในใจข้ารีบร้อนยิ่งนัก” จิ่งเหิงปัวโศกศัลย์อย่างยิ้มแย้มหน้าบาน ร้องว่า “นานขนาดนี้เชียว!” 

 

 

“ให้ฝ่าบาทต้องทรงลำบากรอคอยแล้วเพคะ” จื่อหรุ่ยก้มหน้าด้วยสีหน้าตื่นตระหนก 

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะพรืด ตบไหล่ของจื่อหรุ่ย 

 

 

เป็นคนมหัศจรรย์จริงๆ  

 

 

ไม่เสียแรงที่ช่วยนางไว้ครั้งหนึ่งตอนทะเลาะวิวาทกับกงอิ้นเมื่อวาน 

 

 

“ประเดี๋ยวข้าต้องไปพบขุนนางสำคัญ เข้าร่วมอภิปรายงานราชการ” นางกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ขอคำปรึกษาจื่อหรุ่ยว่า “เจ้ามีคำแนะนำดีๆ ใดเสนอให้ข้าหรือไม่?” 

 

 

“ตามกฎเกณฑ์แล้ว ยามนี้พระองค์ไม่อาจอภิปรายงานราชการกับเหล่าขุนนางใหญ่โดยตรง ราชครูเป็นผู้มอบอำนาจให้พระองค์หรือเพคะ?” 

 

 

“ใช่แล้ว” 

 

 

“หม่อมแทบจะคาดการณ์ได้ว่าครึ่งชั่วยามก่อนหน้าจะต้องกำลังอภิปรายการกระทำนี้ของท่านว่าไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์อย่างแน่นอน ถึงขนาดอาจจะขับไล่พระองค์โดยตรงเพคะ” 

 

 

“ข้าอยากทำให้พวกเขาหุบปาก” 

 

 

“เพียงหุบปากหรือเพคะ?” 

 

 

“ไม่” จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมา จ้องมองจื่อหรุ่ย 

 

 

“ข้ายังอยากจะทำหน้าที่ราชินีนี้ให้ดี ข้าไม่อยากเป็นหุ่นเชิดอีก ข้าอยากเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติที่โหดร้ายต่อราชินีของต้าฮวง ข้าคิดว่านับแต่ข้าเป็นต้นไปจะไม่มีราชินีกลับชาติมาเกิดอีก ข้าคิดว่า” นางหยุดไปชั่วครู่ กล่าวต่อว่า “จะไม่ทำให้คนผู้หนึ่งซึ่งให้โอกาสข้าผิดหวัง” 

 

 

ไม่แน่ว่ากงอิ้นต้องการให้นางออกหน้าจัดการเรื่องราวแทน เขากำลังให้โอกาสนาง 

 

 

แน่นอนว่านี่คือการทดสอบเช่นกัน 

 

 

นางคาดเดาความขัดแย้งและความลังเลในตอนนี้ของกงอิ้นได้รำไร 

 

 

ฝ่ายของเขาหวังให้เขายึดอำนาจราชินีถึงขนาดเนรเทศราชินี กลายเป็นจักรพรรดิบุรุษเพศ 

 

 

ทว่าความคิดในตอนแรกของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยเพราะการปรากฏกายของนาง แต่การเปลี่ยนแปลงแฝงนัยด้วยการทรยศต่อฝ่ายของเขาทั้งหมด ความรับผิดชอบนี้แม้แต่เขายังแบกรับไม่ไหว 

 

 

ฉะนั้นเขาต้องการทดสอบความสามารถและความคิดของนาง หากนางพอจะแบกรับไหว เขาจะให้โอกาสนาง 

 

 

หากไม่ไหว ต่อให้นางได้เป็นราชินีนี้ ไม่ช้าก็เร็วนางคงถูกฝ่ายอำนาจที่จ้องรอตะครุบดั่งพยัคฆ์ทุกฝ่ายกลืนกิน กลับเป็นการทำร้ายนาง ยังไม่สู้เป็นหุ่นเชิดหรือเป็นสตรีธรรมดาใต้ปีกของเขา 

 

 

เดิมทีจิ่งเหิงปัวนึกว่ากงอิ้นจะเลือกแบบที่สองโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ เขาให้นางมีชีวิตอยู่นับว่าปราณีมากแล้ว 

 

 

นึกไม่ถึงว่าเขากลับยินยอมเสี่ยงอันตรายมอบโอกาสครั้งหนึ่งให้นาง 

 

 

นางย่อมจะไม่ถอดใจโดยไม่ได้ลองสักครั้ง 

 

 

กลุ่มสี่คนของสถาบันวิจัยสามารถก้าวผ่านการกักขังและการทดสอบที่ยาวนาน ยังคงไม่ถอดใจจะหาโอกาสหลบหนีออกไป ย่อมไม่มีคนขี้ขลาดตาขาวที่แท้จริง 

 

 

คำกล่าวนี้จริงใจต่อจื่อหรุ่ย นางเองอยากมองดูท่าทางของสตรีนี้ หากชัดเจนไม่เพียงพอ เช่นนั้นนับแต่นี้นางจะไม่เชื่อถือนาง 

 

 

จื่อหรุ่ยไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ 

 

 

“ที่จริงแล้วในคัมภีร์พิธีการมีกฎเกณฑ์ที่ถูกคนมากมายหลงลืมไปข้อหนึ่งเพคะ” นางเอ่ยเชื่องช้า 

 

 

“ข้อใดหรือ?” จิ่งเหิงปัวดวงตากะพริบวูบ 

 

 

“ราชินีมีมีอำนาจในการอภิปรายงานราชการยามเร่งด่วนเพคะ” 

 

 

จิ่งเหิงปัวส่ายหน้า กงอิ้นเกิดปัญหานับได้ว่าเร่งด่วน แต่ว่าเรื่องนี้ไม่อาจกล่าวออกไป 

 

 

“เร่งด่วน…เร่งด่วน…” จิ่งเหิงปัวถูมือ เดินวนรอบทิศในตำหนัก ครุ่นคิดว่าเรื่องอะไรจะเร่งด่วนได้ถึงขนาดนั้น 

 

 

นางไม่อยากเข้าร่วมอภิปรายงานราชการแบบลำบากยากเข็ญ ได้รับความเห็นชอบจากคนอื่นให้นั่งอยู่ด้านหนึ่งเป็นพื้นหลัง นี่คือการหยั่งเชิงก้าวเท้าสู่ศูนย์กลางอำนาจแห่งแคว้นครั้งแรกของนาง ตนเองจะต้องกุมอำนาจฝ่ายรุก มีการเริ่มต้นที่ดีถึงจะมีผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม 

 

 

ความเร่งด่วนนี้ยังต้องเป็นความเร่งด่วนแบบยิ่งใหญ่ พอจะทำให้ตื่นตระหนก สำคัญพอ พอจะทำให้คนตื่นตระหนกจนสูญเสียสติ นางถึงจะมีโอกาสก้าวเท้าข้างหนึ่งสู่ใจกลางสนามการเมืองของต้าฮวง! 

 

 

จะสร้างประสิทธิผลแบบนี้ได้อย่างไร? 

 

 

ระเบิดอวี้จ้าว? เผาจิ้งถิง? อืม กงอิ้นคงบีบคอนางจนตาย 

 

 

นางเงยหน้า แววตาทอดไปถึงที่แห่งหนึ่ง ดวงตาประกายวูบฉับพลัน