ตอนที่ 62 - 1 เล่นสนุกกับใจมนุษย์

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

จิ่งเหิงปัวเดินไปหลายก้าว เลี้ยวไปหน้าลานหน้าบ้าน จื่อหรุ่ยเดินตามมาห่มผ้าคลุมให้นาง เอ่ยว่า “หมู่นี้สภาพอากาศไม่ดี ฤดูกาลนี้มีพายุฝนฟ้าคะนองบ่อยครั้ง อาจมีฝนตกตลอดเวลา พระองค์ต้องทรงระวังด้วยเพคะ”

 

 

ในใจจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ เงยหน้ามองดูท้องฟ้ามืดครึ้ม หมู่นี้คล้ายจะอากาศแบบนี้ตลอด คาดว่าจะมีพายุฝนฟ้าคะนองในเร็ววัน

 

 

นางเงยหน้าขึ้น จ้องมองสิ่งปลูกสร้างห่างไกลแห่งหนึ่ง รูปแบบสิ่งปลูกสร้างนั้นแลดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง รูปทรงหอคอยมียอดแหลมสูง นางโพล่งปากถามว่า “นั่นคือที่ใดหรือ?”

 

 

“คือหอดูดาวของกองเซ่นไหว้เพคะ”

 

 

“ที่ทำงานของซังต้งหรือ?” จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้วขึ้น ซังต้งกับเซวียนหยวนจิ้งคือสองคนที่ไม่เป็นมิตรต่อนางที่สุดในหมู่ขุนนางราชสำนักในตอนนี้ การกลั่นแกล้งทุกฝีก้าวตั้งแต่วางกับดักที่เมืองซีคังในตอนแรกสุดจนถึงในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ จินตนาการได้เลยว่าพวกเขาจะเป็นอุปสรรคยิ่งใหญ่ที่สุดบนเส้นทางความก้าวหน้าของตนเอง

 

 

“เพคะ ตระกูลซังสืบทอดตำแหน่งกองเซ่นไหว้หลายชั่วคน เอ่ยกันว่ามีศาสตร์การเสี่ยงทายที่โดดเด่นที่สุด ตำแหน่งสูงส่งยิ่งนักเพคะ”

 

 

“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าตระกูลซังทั้งไม่สนับสนุนราชินี แลไม่สนับสนุนกงอิ้น กระทั่งไม่ได้เชื่อถือเหยียลี่ว์ฉีขนาดนั้น แผนการของพวกเขาคือสิ่งใด?”

 

 

“หม่อมฉันไม่เข้าใจเรื่องการเมือง แลไร้อำนาจกระทำการวิพากษ์วิจารณ์ รู้เพียงว่าตำแหน่งของตระกูลซังอยู่เหนือผู้ใด ทางตระกูลเองมีความสนิทสนมกับเผ่าหวงจิน ซ้ำยังเป็นตระกูลผู้ดีมีอำนาจเก่าแก่ของตี้เกอ แต่ก่อนเคยมีการกระทบกระทั่งกับตระกูลเหยียลี่ว์ด้วยเพราะแย่งชิงอำนาจ แลในฐานะตระกูลผู้ดีอาวุโสไม่อาจยอมรับภูมิหลังธรรมดาของราชครูฝ่ายขวาได้โดยง่าย ยิ่งไปกว่านั้นพวกนางคือกองเซ่นไหว้ มีอำนาจในการออกความเห็นต่อการสืบทอดของราชินีมาหลายชั่วคน ย่อมไม่นำราชินีมาใส่ใจเป็นแน่ หรือพวกเขามีแผนการอื่นย่อมไม่อาจรู้ได้เพคะ”

 

 

“โอ้ กลุ่มอำนาจฝ่ายที่สาม” จิ่งเหิงปัวพยักหน้า สถานการณ์ของต้าฮวงไม่ใช่เพียงคำว่าราชครูฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาแย่งชิงอำนาจจะบรรยายได้ การก่อตั้งแบบพิเศษของหกแคว้นแปดชนเผ่าในราชสำนัก กำหนดให้ที่นี่เป็นดินแดนแห่งการเกี่ยวพันของอำนาจ สับสนวุ่นวายไม่หยุดหย่อนแห่งหนึ่ง ผู้ใดก็ตามเดินเข้าไปในตาซ่ายใหญ่สลับซับซ้อนซ่อนปมปากหนึ่งนี้ ต่างต้องระวังตัวไว้ว่าจะเดินออกมาได้อย่างปลอดภัยหรือไม่

 

 

นางมองดูยอดแหลมสูงเป็นพิเศษนั้น อดจะประหลาดใจไม่ได้

 

 

“ได้ยินว่าปลายฤดูร้อนต้าฮวงจะมีพายุฝนฟ้าคะนองมาก หลังคาทรงเสาสูงขนาดนี้ หรือว่าไม่เคยถูกฟ้าผ่าเลย?”

 

 

สิ่งปลูกสร้างทรงเสาในที่สูงถูกฟ้าผ่าได้โดยง่าย นี่คือความรู้ทั่วไป อีกทั้งสมัยโบราณไม่มีสายล่อฟ้า

 

 

“นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ตระกูลซังมีความมหัศจรรย์และถูกเทิดทูนเป็นกองเซ่นไหว้หลายชั่วคน เล่ากันว่าตระกูลพวกนางคือตระกูลเทพประทาน คือชนรุ่นหลังของเทพอัสนีบนโลกมนุษย์” จื่อหรุ่ยเอ่ยว่า “เอ่ยกันว่าผู้นำตระกูลซังรุ่นแรกเคยเสนอตนเองเป็นกองเซ่นไหว้ให้ปฐมจักรพรรดิ ยามนั้นปฐมจักรพรรดิทรงกำลังกลัดกลุ้มด้วยสิ่งปลูกสร้างในวังมักถูกฟ้าผ่าบ่อยครั้ง โพล่งพระโอษฐ์ตรัสว่า หากเจ้าสามารถสั่งให้ฟ้าไม่ผ่าเจ้า เจิ้นจะเชื่อความสามารถเทพประทานของเจ้า ภายหลังตระกูลซังของเจ้าต่างเป็นกองเซ่นไหว้แห่งต้าฮวงสืบต่อกันหลายชั่วคน ซ้ำยังจะสร้างตึกแหลมสูงเป็นพิเศษตึกหนึ่งให้บรรพบุรุษตระกูลซัง ซึ่งคือตึกนี้ในยามนี้” จื่อหรุ่ยชี้ไปยังตึกสูงนั้น เอ่ยสืบต่อว่า “เอ่ยขึ้นมาแล้วสิ่งที่แปลกประหลาดคือนับแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าพายุฝนจะรุนแรงเพียงใด ฟ้าผ่านี้ทำลายห้องหับในวังมากน้อยเพียงใด มีเพียงตึกสูงนั้นไร้ความเสียหายมาโดยตลอด พายุฝนครั้งสุดท้ายผ่าตรงพื้นดินเบื้องหน้าตึก สะบั้นพื้นดินออกเป็นร่องน้ำหลายสาย หอคอยสูงยังสมบูรณ์ไร้ความเสียหาย นับแต่นั้น ชื่อเสียงมหัศจรรย์ของตระกูลซังได้เล่าลือสืบต่อกันมา ถึงกลายเป็นตระกููลขุนนางกองเซ่นไหว้ ตระกููลที่มีชื่อเสียงนับร้อยปี”

 

 

จิ่งเหิงปัวเท้าคาง มองหอคอยสูงนั้น ยิ้มแย้มแล้ว

 

 

จะก่อเรื่อง ก็ต้องก่อเรื่องใหญ่หน่อยสิ

 

 

“เทพประทาน? หากเรื่องนี้นับว่าเทพประทาน ข้าคงสวมรอยเป็นเจ้าแม่ซีหวังหมู่ได้แล้ว” นางพึมพำว่า “แต่นี่แค่บังเอิญเหรอ? หรือหลายร้อยปีก่อนก็เคยมีผู้ทะลุมิติมาคนหนึ่ง? ไม่ว่าจะอย่างไร ความมหัศจรรย์ของตระกูลซังควรจะจบสิ้นได้แล้ว…”

 

 

นางหันกายเดินกลับเข้าห้อง ลากกระเป๋าใบใหญ่ของตนเองแล้วรื้อของสิ่งหนึ่งออกมา คว้าไว้ในมือพิจารณาชั่วครู่ เงยหน้ายิ้มแย้มให้ท้องฟ้าครั้งหนึ่ง

 

 

 

 

ก่อนราชินีจะขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ ต้าฮวงไม่มีการออกว่าราชการยามเช้า เช้าตรู่ประมาณยามเหม่า[1] เหล่าขุนนางสำคัญจะรวมตัวดำเนินการปรึกษาหารือเรื่องแคว้นกันที่จิ้งถิง

 

 

ยามเช้าตรู่ ประตูตำหนักของจิ้งถิงได้เปิดออกแล้ว แม้ว่ากงอิ้นไม่ได้โผล่หน้ามา ทว่ากิจวัตรของจิ้งถิงจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทุกผู้คนต่างรู้ว่าจิ้งถิงผ่อนคลายเบื้องนอกแน่นหนาเบื้องใน หากคิดจะก่อเรื่องเล่นลูกไม้ใดข้างใน ยามเข้าเดินเข้าไปยามออกหามออกมาเสียทุกราย

 

 

เหมิงหู่ได้รับคำชี้แนะว่า “ปิดตำหนักพักผ่อนปรับกำลัง ราชินีจัดการการงานแทน หาโอกาสให้ความร่วมมือ” ของกงอิ้นในวันนี้แล้ว

 

 

แม้จะแปลกใจกับคำสั่งครั้งนี้ ทว่าเหมิงหู่ยังคงกระทำการตระเตรียมไว้บางส่วน เพิ่มการป้องกันห้องหนังสือของจิ้งถิงให้แข็งแกร่งขึ้น…ผู้ใดก็ไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าการกระทำนี้จะนำพาท่าทีโต้ตอบใดกลับมา อาจโต้ตอบกลับอย่างดุเดือดเป็นไปได้ทั้งสิ้น

 

 

เหมิงหู่แปลกใจอยู่บ้างเช่นกัน นายท่านสงบนิ่งรอบคอบ บัดนี้ตนเองไม่ออกหน้า ให้ราชินีที่เพิ่งมาถึงซ้ำยังไม่ได้รับการยอมรับเผชิญหน้าฝูงขุนนางเพียงผู้เดียว จะดีจริงหรือ? มีความจำเป็นหรือ?

 

 

เหลือเวลาอีกครึ่งเค่อจะถึงยามเหม่า คนฝูงใหญ่กลุ่มหนึ่งเดินก้าวเท้าเหยียบย่ำมา ท่าทางแตกต่างจากท่วงท่ามีชีวิตชีวาเหลือล้นยามปกติเหลือเกิน ซ้ำยังเคียงคู่ด้วยเสียงหาวอย่างต่อเนื่อง

 

 

“ใต้เท้าเซวียนหยวนเหตุใดวันนี้ใต้ตาบวมดำคล้ำ หรือสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี?”

 

 

“เหอะ…เมื่อคืนนอนหลับไม่สนิท ถูกยายชราบ้านข้ารบกวนอยู่ค่อนคืน…”

 

 

“ฮ่าๆ นึกไม่ถึงว่าฮูหยินเซวียนหยวนอายุเข้าวัยกลางคน ยังคงบุคลิกดุจแรกแย้ม อิจฉาวาสนาความรักของใต้เท้าเซวียนหยวนเสียจริง”

 

 

“เอ่ยเหลวไหลอะไร ผู้ชราน่ะถูกยายชรานั่นรบกวนว่าจะเอากระโปรงใดไม่รู้ ที่ใดเล่าไม่มีกระโปรง จะให้ผู้ชราไปหาอยู่ได้!”

 

 

“อ๊ะ พวกเจ้าเอ่ยว่ากระโปรงหรือ? ใช่กระโปรงที่ปรากฏบนถนนใหญ่จิ่วกงเมื่อวานหรือไม่? เมื่อคืนข้าก็ถูกบุตรีสองคนบ้านข้ามารบกวนเช่นกัน เอาแต่เอ่ยว่ามองเห็นสตรีสองนางที่ถนนใหญ่จิ่วกงสวมใส่กระโปรงที่ต้าฮวงไม่มี กระโปรงที่สวยงามมหัศจรรย์ จะให้ข้าหากระโปรงนั้นให้พวกนางให้จงได้ แล้วเช่นนี้ เช่นนี้จะไปหามาจากที่ใดเล่า”

 

 

“พวกเจ้ากำลังเอ่ยถึงกระโปรงหรือ? บ้านข้าก็เช่นกัน แทบถูกเหล่าป้าน้าพี่สาวน้องสาวบุตรีอาละวาดจนเสียสติแล้ว สั่งให้คนไปสืบหากระโปรงใดเครื่องประดับใดรองเท้าใดนั้นทั่วทุกแห่งหน ตามหาทั่วทั้งตี้เกอ หาไม่เจอก็ไม่ดื่มชาไม่ทานอาหาร ผู้ชราไม่อยู่บ้านเพียงวันเดียว ในบ้านก็วุ่นวายอลหม่าน…”

 

 

“กระโปรงใดทำให้ผู้คนมากมายขนาดนี้หน้ามืดตามัวได้? กระโปรงเซียนหรือ?”

 

 

“แม้ไม่ใช่กระโปรงเซียนแต่คงไม่แตกต่างกันมากแล้ว เอ่ยกันว่ายามนี้สตรีทั่วทั้งตี้เกอต่างกำลังถกเถียงกันเรื่องกระโปรงนั้น ถกเถียงกันเรื่องสตรีสองนางนั้น เอ่ยว่าประทินโฉมใดประณีตอย่างไร เสื้อผ้าเป็นเอกลักษณ์อย่างไร ทั้งเครื่องประดับรองเท้าไม่มีสิ่งใดมิใช่สิ่งมหัศจรรย์ของโลกมนุษย์ สตรีนับมิถ้วนบ้าคลั่งเพื่อสิ่งนี้ ทั่วทั้งตี้เกอถูกพลิกแผ่นดินหาจนทั่ว เหล่าสตรีเป็นกลุ่มเป็นก้อนใหญ่พุ่งเข้าร้านเครื่องประดับร้านตัดเสื้อผ้าแล้วออกมาอย่างผิดหวัง ทำให้เถ้าแก่เหล่านั้นตีอกชกหัว เหล่าสตรีที่รักความงามเท่าชีวิตพวกนั้นแทบจะเสียสติกันจนสิ้นแล้ว”

 

 

“นั่นสิๆ ท่านนั้นของบ้านข้ายามสี่เรียกข้าลุกขึ้นมา เอ่ยวาจาเจื้อยแจ้วเรื่องกระโปรง โอ้สวรรค์ ข้าเพิ่งนอนตอนยามสาม!”

 

 

“เจ้ายังได้นอนไปหลายชั่วยาม ข้าทนฟังอยู่ทั้งคืน! เหอะ…หากวันนี้ราชครูไม่มีเรื่องใด ต้องเสร็จสิ้นเร็วหน่อยถึงจะดี…”

 

 

“แลไม่รู้ว่าสตรีสองนางนั้นคือผู้ใด เอ่ยกันเพียงว่าเพริศพรายเพียงปราดเดียวจึงมองดูอย่างรีบร้อน ไม่มีผู้ใดมองเห็นใบหน้าชัดเจน แลไม่มีผู้ใดรู้ที่มา ทว่าสั่นสะเทือนตี้เกอได้ ทำให้ผู้มองเห็นทุกคนจดจำได้ไม่ลืมเลือน เจ้าลูกหมาไม่ได้เรื่องบ้านข้าคนนั้น เอ่ยกันว่าเมื่อคืนส่งคนไปสืบหาทั้งคืน…ข้าอยากจะรู้ว่าสตรีโฉมงามมอมเมาราษฎร์สองนางนั้นคือผู้ใด จะต้องขับไล่พวกนางออกจากตี้เกอ!”

 

 

“ใต้เท้าชิวไม่ทะนุถนอมนวลนางเอาเสียเลย ข้าเห็นว่าเรื่องนี้ส่วนมากเป็นเล่ห์เหลี่ยมการชักชวนแขกของหอนางโลมหอหนึ่งหอใด คัดเลือกสตรีสองนาง จงใจกระทำการลับๆ ล่อๆ ครั้งหนึ่งนี้ออกมา เชื้อเชิญให้ผู้คนตามหา หลังจากดึงดูดความสนใจของทุกคนได้แล้วค่อยเปิดเผยตัวตน มีชื่อเสียงขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็ว อืม ยามนี้ข้ากำลังรอว่าหอนางโลมหอใดจะเปิดเผยความลับ หาตัวเจอแล้วตบแต่งเป็นอนุภรรยาก็ไม่เลวนะ ได้ยินว่าเป็นของวิเศษเลิศล้ำทั่วหล้า แลไม่รู้ว่าเป็นสตรีของหอไฉ่ซิ่วหรือสตรีของเรือนอวี้ชุนกัน…”

 

 

คนกลุ่มหนึ่งเปล่งเสียงหัวเราะฮิๆ แสดงการเห็นด้วยออกมา คนอีกกลุ่มหนึ่งกลับวุ่นอยู่กับการหาวนอนน้ำตาไหล

 

 

เหมิงหู่ที่อยู่ถัดจากปากประตูได้ยินการบ่นว่าและถกเถียงของพวกเขา สีหน้าแปลกประหลาด

 

 

 

 

[1] ยามเหม่า เวลา 05.00 ถึง 07.00 นาฬิกา