“คำนับนายท่าน” มัลฟูเรียนและเฉินสตรอมเอาท์วิ่งเข้ามารับเซียวอวี๋ รูปลักษณ์ของทั้งคู่ดูประหลาดอยู่บ้าง โดยเฉพาะแพนด้าเฉิน ร่างกายของเขาอ้วนกลมราวกับลูกบอลจนดูตลก แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เซียวอวี๋ก็ทราบดีถึงระดับทักษะต่อสู้ของเฉิน และในอนาคตเขาจะต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน เซียวอวี๋เปิดหน้าต่างทักษะของทั้งคู่ขึ้นดูก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เป็นดังคาด มัลฟูเรียนมีทักษะเน้นหนักไปทางผู้รักษา ขณะที่แพนด้าเฉินเป็นนักสู้ ตอนนี้เขาได้รับฮีโร่มาเพิ่มอีกสอง เซียวอวี๋ปล่อยให้พวกเขาไปล่าสัตว์อสูรเพื่อเพิ่มระดับเสียก่อน หลังจากนั้นไม่กี่วัน เขาตั้งใจจะเปิดฉากโจมตีรัฐเว่ย และนั่นจะเปิดโอกาสให้ฮีโร่ทั้งสองได้เก็บเกี่ยวระดับอย่างเต็มที่ เซียวอวี๋เดินทางไปยังโรงทหารเพื่ออัญเชิญคิเมร่าสองหัว มันคือช่วงเวลาที่เขารอคอยมานาน หัวใจของเขาสูบฉีดด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เขามีโควตาทหารเพิ่มมาอีกห้าพันนาย ทว่าเมื่อเขากำลังจะอัญเชิญคิเมร่าสองหัวออกมา ระบบก็แจ้งเตือนเรื่องโควตา เขาสามารถอัญเชิญคิเมร่าสองหัวได้มากสุดก็หนึ่งร้อยตัวเท่านั้น คิเมร่าสองหัวตัวหนึ่งใช้โควตาถึงสิบคน ดังนั้น คิเมร่าสองหัวหนึ่งร้อยตัวจึงใช้โควตาถึงหนึ่งพันคน เมื่อเป็นเช่นนี้ เซียวอวี๋จึงเหลือโควตาอีกเพียงสี่พัน หลังจากรอพักหนึ่ง ร่างของสัตว์ประหลาดที่ยาวประมาณเจ็ดถึงแปดเมตรก็เดินย่ำเท้าออกมา สัตว์ประหลาดตัวนี้มีสองหัว ทั่วร่างปกคลุมด้วยเกร็ดแกร่ง สองปีกถูกพับแนบลำตัว ดูผิวเผินแล้วมันดูคล้ายกับมังกรอย่างมาก “คิเมร่า! ทั้งยังสองหัว! นี่ข้ากำลังฝันอยู่รึ?” พวกเอลฟ์มองดูคิเมร่าสองหัวอย่างตกตะลึง คิเมร่าสองหัวถือเป็นสุดยอดสัตว์วิเศษของพวกเอลฟ์ ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงอำนาจ ในอดีต หากเอลฟ์มีคิเมร่าอยู่ด้วย เช่นนั้นก็คงไม่มีผู้ใดกล้าบุกรุกพื้นที่ของพวกเอลฟ์แล้ว การโจมตีที่รุนแรงที่สุดของคิเมร่าคือการพ่นไฟ แม้การโจมตีทางกายภาพจะสู้พวกมังกรไม่ได้ แต่การพ่นไฟของมันนั้นเหนือกว่ามังกรทั่วไปเสียอีก หากเห็นคิเมร่าเกาะกลุ่มบินอยู่บนฟ้า สิ่งเดียวที่ทำได้คือหนี! จงหนีไปให้ไกล เพราะเมื่อเปลวเพลิงถูกพ่นออกมา ทุกสิ่งจะกลายเป็นเถ้าถ่าน… เซียวอวี๋ตระหนักถึงพลังของพวกมันดี หลังจากจัดการธุระที่นี่เสร็จ เขาก็เดินทางกลับปราสาท เวลาตาเฒ่าธีโอดอร์สมควรออกจากห้องแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อเซียวอวี๋มาถึง เขากลับพบกับศิษย์ของฮิกกิ้นแทน ศิษย์ของฮิกกิ้นแจ้งต่อเขาว่าธีโอดอร์ได้จากไปแล้วและทิ้งจดหมายไว้ให้เซียวอวี๋ เซียวอวี๋สบถด่าทันที ตาแก่นั่นใช้ประโยชน์จากเขาเสร็จก็เปิดตูดแนบจากไป เซียวอวี๋เปิดจดหมายออกมาอ่าน มีตัวอักษรเขียนไว้เพียงไม่กี่บรรทัด ธีโอดอร์บอกว่าหลินมู่เสวี่ยปลอดภัยดี ขณะเดียวกันเขาเองก็ได้รับประโยชน์จากการพูดคุยกับเอกวินน์อย่างมาก ดังนั้นจึงต้องปลีกตัวไปสักพัก นอกจากนี้ธีโอดอร์ยังย้ำให้เซียวอวี๋เพิ่มความเคารพต่อเอกวินน์ให้มาก อย่างไรเสียนางก็เป็นถึงผู้พิทักษ์ของทวีป เซียวอวี๋ทำลายจดหมายก่อนจะเดินไปยังสวนหลังบ้านที่เอกวินน์นั่งอยู่ “ที่รักจ๋า?!” เซียวอวี๋ตะโกนทัก “ไสหัวไป” เอกวินน์เสกเวทส่งเซียวอวี๋ลอยออกมา “บัดซบเอ๊ย!” เซียวอวี๋กลิ้งอย่างทุลักทุเล เขารีบลุกขึ้นก่อนจะตะโกน “นั่นมันร่างกายของภรรยาข้าชัดๆ ดังนั้นจึงไม่ผิดที่ข้าจะเรียกที่รักของข้า เจ้าเอาแต่ใจเกินไปแล้ว!” เซียวอวี๋ประท้วง “ข้าเอาแต่ใจแล้วอย่างไร?” เอกวินน์เงยหน้ามองเซียวอวี๋ราวเยาะเย้ย “มารดามันเถอะ เจ้าก็เก่งได้แค่กับข้านั่นล่ะ หากเป็นธีโอดอร์เจ้าก็สู้ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?” เซียวอวี๋จำได้ว่า ตอนนางเห็นธีโอดอร์ครั้งแรกนางถึงกับเปลี่ยนสีหน้าทันทีที่ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังอยู่กับนางมาได้พักใหญ่ แม้นางจะดูแข็งแกร่งจนไร้เทียมทาน ทว่าความจริงแล้ว เซียวอวี๋เดาว่านางคงไม่ได้แข็งแกร่งดังที่คิด กระนั้นเซียวอวี๋ก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวแท้จริงเป็นอย่างไร เมื่อได้เห็นท่าทีของนางครั้งนั้น เขาก็เดาว่า หากธีโอดอร์ลงมือเต็มกำลัง บางทีเขาคงกลายเป็นภัยคุกคามของเอกวินน์ได้แน่ อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าธีโอดอร์ให้ความเคารพต่อเอกวินน์มาก เขาย่อมไม่มีทางลงมือต่อนางแน่ “ข้าอาจจะชนะเขาไม่ได้ แต่ไม่ใช่กับเจ้า ตัวตนระดับเดียวกับเขา ในทวีปคงมีไม่มากนักกระมัง?” เอกวินน์กล่าวเสียงเรียบ “ฮึ่ม เจ้ารีบออกไปจากร่างภรรยาของข้าเลยนะ มิเช่นนั้นเจ้าจะได้เห็นด….” เซียวอวี๋แสยะยิ้มชั่วร้าย ทว่ากล่าวได้ครึ่งประโยค ตัวเขาก็ลอยละลิ่วออกไป ในเมื่อธีโอดอร์กล่าวว่าหลินมู่เสวี่ยจะไม่เป็นอะไร เช่นนั้นเอกวินน์คงไม่มีเจตนาร้ายต่อนาง อีกทั้งสังเกตจากตอนที่ธีโอดอร์และเอกวินน์พบกัน นั่นยิ่งทำให้เซียวอวี๋ยิ่งมั่นใจการคาดเดาของตัวเอง เอกวินน์ไม่ได้ไร้เทียมทานดังที่คิด อย่างไรก็ตาม หากว่าเขาตัดสินใจจะแตกหักกับนางโดยไม่สนค่าตอบแทนจริงๆ เขาเชื่อว่าเอกวินน์เองก็ไม่อาจต้านทานไว้ได้ นี่คือข้อสรุปของเซียวอวี๋ ด้วยเหตุนั้น เอกวินน์จึงวางท่าว่าตนแข็งแกร่งไร้ผู้เทียบเทียม แม้จะจริงที่นางแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ถึงกับไร้เทียมทาน คิดถึงตรงนี้ เซียวอวี๋ก็ไม่กังวลอีก เขาเพียงแต่ห่วงหลินมู่เสวี่ย นับวันมู่เสวี่ยก็ยิ่งปรากฏตัวออกมาน้อยลง คล้ายกับเอกวินน์ค่อยๆมีอำนาจควบคุมร่างมากขึ้น ขณะที่เซียวอวี๋กำลังเหม่อลอย ฝ่ามือหนึ่งก็วางลงบนไหล่ของเขา เซียวอวี๋ตกใจกระโดดถอยก่อนจะหันหลับไปมองก่อนจะเห็นว่ามู่เสวี่ยกำลังยืนยิ้มอยู่ ถูกแล้ว เป็นหลินมู่เสวี่ย ไม่ใช่เอกวินน์ “มู่เสวี่ย….” เซียวอวี๋อดสงสัยไม่ได้ นางมาเมื่อไรกัน? เขาไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาแล้ว ประสาทสัมผัสของเขาถูกยกระดับขึ้นจนสูงลิบ กระทั่งมือสังหารขั้นที่หกก็ไม่อาจโจมตีเขาโดยไม่รู้สึกตัว หรือจะเป็นพลังของเอกวินน์? แต่ตอนนี้มู่เสวี่ยกำลังควบคุมร่างอยู่ไม่ใช่หรือ? นางจะควบคุมพลังของเอกวินน์ได้อย่างไร? “อื้ม ข้าเอง” มู่เสวี่ยค่อยๆเดินเข้ามา ทั้งร่างของนางแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์จนทำให้เซียวอวี๋สับสน มู่เสวี่ยในตอนนี้แตกต่างจากมู่เสวี่ยตอนก่อนหน้าอย่างมาก รัศมีของนางแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงราวกับพลิกฟ้าคว่ำสมุทร ท่าทีของนางตอนนี้ดูเป็นธรรมชาติอย่างมากราวกับนางได้หลอมรวมเข้าสวรรค์และโลก นี่มัน….เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เซียวอวี๋ตกตะลึงแล้ว “เจ้า….ไฉนจึงดูต่างจากเดิมมาก?” ไม่เหมือนกับครั้งสุดท้ายที่ได้พบนางแม้แต่น้อย เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วัน นางก็กลายเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว “เซียวอวี๋ ท่านวางใจเถอะ ข้าสบายดี พี่สาวเอกวินน์ดีต่อข้ามาก ไม่นาน….ข้าจะกลับมา…ขอให้รอ…รอข้า” กล่าวถึงตรงนี้ นัยน์ตาของนางก็มีม่านหมอกเขาปกคลุม นางดูเศร้าสร้อยมาก “เกิดอะไรขึ้น? เสวี่ย? เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า? ไฉนจึงร้องไห้แล้ว? อย่าทำให้ข้ากลัวสิ ข้ากลัวน้ำตาของสตรีที่สุด” เซียวอวี๋รีบเข้าไปหามู่เสวี่ย แต่เขาไม่กล้าสัมผัสตัวนาง เพราะทุกครั้งที่แตะโดนเขาก็จะถูกเอกวินน์โจมตีใส่ทุกครั้ง “ไม่มีอะไร” มู่เสวี่ยกล่าวก่อนจะจับมือเซียวอวี๋ไว้ ทั้งคู่จ้องตากันอยู่อย่างนั้น “ท่านควรใส่ใจตัวเองให้มาก ทำเรื่องที่ต้องทำ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้า ไม่นาน ข้าจะกลับมาอยู่ข้างกายท่าน” หยดน้ำใสไหลรินจากหางตาของนาง มู่เสวี่ยก้าวเท้าขึ้นหน้าและจูบที่แก้มของเซียวอวี๋เบาๆ จากนั้นจึงปล่อยมือและหันหลังเดินจากไป ‘ข้าเคยบอกแล้วว่าอย่าทำเช่นนั้น’ เอกวินน์แค่นเสียงอย่างไม่พอใจ “อืม ข้าผิดไปแล้ว แต่…ข้าหักห้ามใจไม่ได้จริงๆ…” มู่เสวี่ยกล่าวเสียงเศร้า ‘มีเกิดก็มีดับ มีชีวิตแล้วไม่ดับสูญ นั่นก็ไม่ใช่ชีวิต ไม่ใช่ความสมบูรณ์ ดอกไม้ไฟจะเจิดจ้างดงามเพียงช่วงสั้นๆ ไม่จำเป็นต้องโศกเศร้าเพื่อข้า ข้าคืนชีพขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว นับเป็นโชคประการหนึ่ง นี่ไม่ใช่ยุคสมัยของข้าอีกต่อไป ที่นี่ยังมีผู้ที่สามารถปกป้องทวีปแทนข้า ข้าไม่ใช่ผู้พิทักษ์อีกต่อไปแล้ว..ในอดีต ตัวข้ามัวแต่ยึดติดกับการเป็นผู้พิทักษ์ ข้าจะได้กระทำผิดพลาดอย่างมหันต์ เวลานี้ ดูเหมือนว่าต่อให้ปราศจากข้าแล้ว ทวีปแห่งนี้ก็ยังมีผู้คอยปกปกคุ้มครอง โลกนี้จะมีวีรบุรุษที่เสียสละปกป้องแผ่นดินเกิดเสมอ ดังนั้น ผุ้ที่จะคอยพิทักษ์ทวีปนี้ไม่ควรมีเพียงข้า หากแต่เป็นทุกชีวิต ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้’ กล่าวถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเอกวินน์ก็เต็มไปด้วยความอ้างว้าง มหาจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถเรียกลมเรียกฝน ในเวลานี้ช่างดูอ้างว้างโดดเดี่ยวเหลือแสน ในเวลาเดียวกันนางก็ดูโล่งใจ เมื่อวางภาระบนบ่าอันหนักอึ้งลง ทุกสิ่งบนโลกนี้ก็จะดูสวยงาม แม้แต่ต้นหญ้าดาษดื่นก็ทำให้รู้สึกดีได้ มนุษย์ทั้งซับซ้อนและเรียบง่ายอย่างที่สุด บางยามอ่อนแอ บางยามตื่นเต้น บางยามโกรธเกรี้ยว กระนั้นทั้งหมดก็ยังไม่อาจปกปิดอารมณ์หนึ่ง นั่นคือ ความรัก หัวใจของมนุษย์เกิดมาเพื่อรัก หากปราศจากความรู้สึกนี้ นั่นก็ไม่ใช่มนุษย์ผู้หนึ่ง เพราะรักจึงอ่อนแอ เพราะรักจึงสุข เพราะรักจึงเศร้า พระพุทธเจ้าเคยนิยามรักไว้มากมาย เมื่อทุกสิ่งถูกปล่อยวาง สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือความรัก และชีวิตก็จะกลายเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ หลายคนเพียงตระหนักได้ในช่วงท้ายของชีวิต ดังนั้น ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จงหวงแหนมัน ร่างของหลินมู่เสวี่ยยืนอยู่หลังหน้าต่างพลางเหม่อมองตะวันขึ้น ใบหน้าของนางเรียบเฉยค้ลายไม่อาจมีสิ่งใดโยกคลอน ช่วงเวลานี้ ในที่สุดเอกวินน์ก็ได้บรรลุแล้ว ที่แท้จิตวิญญาณนั้นไม่ได้ทรงพลังอะไร หากแต่หัวใจต่างหากที่เข้มแข็ง ครั้งหนึ่ง เพื่อไขว่คว้าหาอำนาจ หัวใจของนางต้องดำดิ่งสู่ความเกลียดชัง นางใช้ทุกวิถีทางเพื่อรักษาตำแหน่งผู้พิทักษ์ไว้ แม้กระทั่งล่อลวงจอมเวทย์วังหลวง ไนรัส อีลาน ใช้พลังของเขาเพื่อให้กำเนิดบุตรที่เปี่ยมไปด้วยพลัง การยึดติดกับอำนาจและถลำลึกกับความเกลียดชังก่อเกิดเป็นชะตาอันน่าสลดของเด็กน้อยเมดีฟ…. ทวีปแห่งนี้ไม่จำเป็นต้องมีผู้พิทักษ์ที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์ ไม่ต้องการผู้พิทักษ์ที่เข่นฆ่าปีศาจได้หมดจด ทวีปแห่งนี้เป็นของทุกชีวิต แม้จะอ่อนแอ โลภโมโทสัน เคียดแค้นชิงชัง กระนั้น พวกมันก็ยังมีรัก เพราะรัก พวกมันจึงทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อพิทักษ์สิ่งที่มันรัก พลังแห่งความรักนั้นทรงพลังยิ่งกว่าเวทมนตร์บทใด เอกวินน์นั้นถ่องแท้ในศาสตร์แห่งมนตรายิ่งกว่าผู้ใด แต่ยิ่งได้ศึกษาลึกลงเพียงใด นางก็ยิ่งค้นพบว่าเวทมนตร์ไม่ใช่พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มันเทียบไม่ได้กับพลังแห่งความรักแม้แต่น้อย ตราบใดที่ยังมีรักอยู่ โลกก็จะดำรงอยู่สืบไป ไม่ว่าพลังใดก็ไม่อาจผลาญทำลาย ตอนนี้ เอกวินน์ได้ปลดพันธนาการให้กับตนเองอย่างแท้จริงแล้ว….