“ ฝ่าบาท ฝ่าบาท……” สายตาของหมอเทวดาโม่ค่อยๆ มืดมัวขึ้น ผมสีขาวของเขากระจัดกระจาย เขาสูญเสียท่าทางที่สง่างามของเขาไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเห็นลักษณะที่ปรากฏของหมอหมอเทวดาโม่ ฮ่องเต้ก็รู้ทันทีว่าข้อกล่าวหาเป็นเรื่องจริง ความกลัวนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับคำตอบ
ฮ่องเต้ไม่สนใจท่าทางที่น่าสงสารของหมอเทวดาโม่ ตราบใดที่หมอเทวดาโม่มีพลังมากพอ เขาก็สามารถรุกรานคนที่ไม่ควรรุกรานได้ แต่ …
“เจ้า…เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว เจิ้นเข้าใจ” ฮ่องเต้ถอนหายใจด้วยความเสียใจเล็กน้อย “ถ้าเจ้าแค่ใช้คนเหล่านั้นเพื่อลองยาของเจ้า เจิ้นจะไม่โทษเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าไม่สามารถซ่อนความตายของผู้อาวุโสเมิ่งได้อีกต่อไป ตระกูลเมิ่งแห่งสำนักเหวินฉางอยู่ในเมืองหลวงแล้ว และพวกเขาก็ต้องการเผชิญหน้ากับเจ้า คนที่เกี่ยวกับข้อกล่าวหาเหล่านี้”
หมอเทวดาโม่ กักฟันของเขาและพูดขึ้น“ ฝ่าบาท นี่คือการสมรู้ร่วมคิด! การสมรู้ร่วมคิดอย่างเห็นๆ ! มีคนต้องการใส่ร้ายกระหม่อม การมาที่นี่ของกระกูลเมิ่งนั้นดูเหมาะเจาะเกินไป”
“ แม้ว่าจะมีใครบางคนกำลังใส่ร้ายเจ้า แล้วข้อกล่าวหาข้างต้นเป็นเท็จหรือไม่” ฮ่องเต้มองไปที่หมอเทวดาโม่อย่างเย็นชา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ
มันตลกเกินไปที่จะทำสิ่งที่ไม่ดีด้วยมือของเจ้าเอง ปล่อยให้เป็นอันตรายใหญ่หลวงต่อตัวเจ้าในภายหลัง แต่เขายังโทษคนอื่นที่ใช้เรื่องนี้มาต่อต้านเขา นี้มันเป็นเรื่องตลกชัดๆ
“ฝ่าบาท สิ่งที่เกิดขึ้นในปีนั้นเป็นอุบัติเหตุ” หมอเทวดาโม่ ต้องการให้ฮ่องเต้ช่วยเขา แต่……
หลังจากใช้ชีวิตอย่างภาคภูมิใจมาหลายปี เขาก็ไม่สามารถเอ่ยปากพูดได้
“แม้ว่ามันจะเป็นอุบัติเหตุหรือเรื่องบังเอิญ เจิ้นก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้ในตอนนี้ เมื่อคดีนี้ได้รับการยืนยันแล้ว เจ้าจะไม่ได้เป็นหมอที่มีชื่อเสียงในสี่แคว้นอีกต่อไป” ถ้าหมอเทวดาโม่ไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาได้ แล้วเช่นนั้น….
หมอเทวดาโม่ไม่อยากจะเชื่อว่าจะไม่มีใครออกมาและพูดแทนเขา
หมอเทวดาโม่ ดูท้อใจมาก เขาสามารถทำได้เพียงแค่หลับตาลงอย่างหมดแรง“กระหม่อม……กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หมอเทวดาโม่ตัวสั่น ในขณะที่พยายมลุกขึ้นจากพื้น ด้วยศักดิ์ศรีสุดท้ายของเขา เขาโค้งคำนับและพูดขึ้น“ ฝ่าบาท ทั้งหมดที่กระหม่อมทำในชีวิตนี้คือการมีประวัติทางการแพทย์เป็นของตัวเอง บันทึกนี้ยังไม่สำเร็จดี แต่กระหม่อมกลัวว่ากระหม่อมจะไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้แล้ว ในตอนนี้กระหม่อมต้องการที่จะยกหนังสือทางการแพทย์เล่นนี้ให้กับฝ่าบาท กระหม่อมหวังว่าฝ่าบาท จะสามารถกระจายความรู้นี้ออกไปพ่ะย่ะค่ะ”
หมอเทวดาโม่หยิบหนังสือเล่มเล็ก ๆ ออกมาจากแขนเสื้อของเขา นี่คือบันทึกในการศึกษาของเขา
เขาหวังว่าหนังสือทางการแพทย์เล่มนี้จะช่วยให้บุตรสาวของเขามีชีวิตที่สงบสุขในอนาคต
ขันทีนำไปมอบให้ฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง ฮ่องเต้เปิดผ่านไปหลายหน้า หลังจากยืนยันว่ามันเป็นหนังสือทางการแพทย์ที่เขียนโดยเขาแล้ว เขาก็พูดขึ้น“เจ้าสามารถมั่นใจได้ แม้ว่าเจ้าจะก่ออาญาครั้งใหญ่ เจิ้นก็จะทำให้นางปลอดภัยและปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย”
“ ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอให้พระองค์มีอายุยื่นหมื่นปีหมื่นๆ ปี” เดิมทีหมอเทวดาโม่ตั้งใจที่จะมองหากำลังให้กับบุตรสาวของเขา ก่อนที่เขาจะตาย แต่ตอนนี้ได้แค่นี้เขาก็ดีใจมากแล้ว
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ไม่ต้องการทำให้เรื่องใหญ่ เขาส่งหมอเทวดาโม่ออกไปอย่างเงียบ ๆ ในตอนเย็นโดยไม่ได้บอกใคร โม่อวี้เอ้อร์ที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก จึงได้แต่ปล่อยให้บิดาของนางถูกพรากไป
ในเวลาเดียวกันเสี่ยวเทียนเหยาก็เข้าสู่เมืองหลวง เขาแต่งกายด้วยผ้าคลุมสีแดงและเขากำลังขี่ม้าศึกที่เงางาม ดังนั้นจากระยะไกลๆ เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าประตูของเมืองหลวงก็รู้ว่ามันคือเสี่ยวหวางเย่
“ เร็วเข้ารีบหลีบไปด้านข้าง เสี่ยวหวางเย่จะเข้าสู่เมืองหลวงแล้ว! รีบหลบไปที่ด้านข้าง!” เจ้าหน้าที่ออกคำสั่ง ทำให้ผู้คนเข้าแถวอยู่ที่ด้านข้างและหลีกทางให้เสี่ยวเทียนเหยา
ในเรื่องนี้เจ้าหน้าที่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก เมื่อผู้คนที่เข้าแถวได้ยินว่าเสี่ยวหวางเย่จะเข้าสู่เมืองหลวง พวกเขาต่างก็รีบเปิดทางให้เขาทันที
ไม่มีใครกล้าขวางทางของเสี่ยวเทียนเหยา ไม่นานม้าของเขาก็ผ่านประตูมาและหายไปในพริบตา คนที่มีดวงตาที่แหลมคมจะเห็นได้เพียงรูปร่างราวกับกระพริบตา และมีเพียงคนที่มีทักษะศิลปะการต่อสู้สูงเท่านั้นที่เห็นว่าเสี่ยวหวางเย่มีบางอย่างโป่งพองอยู่ในอ้อมแขนของเขา… …