วิ่งอยู่คนเดียวที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สาม ยืนอยู่ในห้องที่ดูเหมือนสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม มีผู้หญิงประหลาดที่เต็มไปด้วยเลือดอยู่เป็นเพื่อน– ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกกลัวเมื่อถูกพามาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เว่ยจินหยวนเกาหลังคอเหมือนมันเป็นนิสัยที่ต้องทำไปแล้ว แผ่นหลังของเขาเปียกชุ่ม และลูกกระเดือกของเขาก็ขยับขึ้นลงขณะที่เหงื่อเย็น ๆ ไหลลงมาตามใบหน้า
เขากำลังตามหานักแสดงลูกจ้างที่บ้านผีสิงของเฉินเกอเพื่อตามหาว่าอะไรคือความลับเบื้องหลังความนิยมของที่นี่ แต่ตอนนี้ที่เขาเจอนักแสดงตัวจริงเข้าแล้ว เขากลับรู้สึกไม่สบายใจและอยู่ไม่สุขอย่างประหลาด เพราะเหตุผลสักอย่างที่เขาอธิบายไม่ได้ ผู้หญิงที่อยู่ห่างจากเขาไปหลายเมตรนี้ทำให้เขาใจของเขาสั่นราวกับกับเป็นใบไม้ต้องลม
“นี่เป็นอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมแล้วก็การแต่งหน้าใช่ไหม?” หัวใจของเขาเต้นรัวไม่หยุดราวกับเป็นกระต่ายตื่นตูม เขาต้องการเวลาหนึ่งนาทีเต็มกว่าที่เว่ยจินหยวนจะรู้สึกเป็นตัวเองได้อีกครั้ง ตลอดกระบวนการนี้ ผู้หญิงที่ในชุดสีแดงก็แค่นิ่งอยู่ที่มุมกำแพง ไม่ได้แสดงท่าทีต้องการเข้ามาใกล้เขาแต่อย่างใด
“นี่ก็คล้ายกับเงาดำที่ฉันเจอที่ทางเดิน– พวกเขาไม่ได้คิดจะเข้ามาหลอกผู้เข้าชม และพวกเขายังไม่คิดที่จะแอบซ่อน นี่เป็นเพราะความมั่นใจเกินเหตุของนักแสดง หรือเพราะพวกเขาเองก็กังวลบางอย่างอยู่เหมือนกัน? นี่เป็นเพระว่าพวกเขากลัวว่าจะน่าหวาดกลัวเกินไปสำหรับผู้เข้าชมทั่วไป ดังนั้นจึงใช้วิธีการนี้ทำให้ผู้เข้าชม ‘ตกใจและหวาดกลัว’?” สมองของเว่ยจินหยวนวิ่งวนเป็นวงขณะที่เขาค่อย ๆ ขยับเท้าไปข้างหน้าช้า ๆ เส้นขนบนร่างลุกชันและทุก ๆ เซลล์ในร่างกายของเขาก็กรีดร้องให้เขากลับออกไป ทุก ๆ ก้าวที่เขาย่างนั้นต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก
“เฮ้ คุณเป็นหนึ่งในนักแสดงในบ้านผีสิงนี่หรือเปล่า?” เสียงของเขาสั่นอย่างไม่รู้ตัว เว่ยจินหยวนคอยให้กำลังใจตัวเองอยู่ข้างใน เตือนตัวเองเอาไว้ว่าไม่มีเหตุผลให้เขาต้องหวาดกลัว นี่ก็แค่นักแสดงสาวที่เฉินเกอจ้างมา บางทีหลังจากเธอล้างเครื่องสำอางออก เธออาจจะเป็นเด็กสาวน่ารักคนหนึ่งก็ได้
ผู้หญิงในชุดแดงไม่ตอบ เธอไขว้มือไว้ที่หน้าอกและหันหลังให้เว่ยจินหยวน เธอพิงศีรษะไว้กับผนังอย่างอ่อนแรง และเธอก็อยู่ในท่าประหลาดนั่น
“คุณจะไม่ตอบเหรอ ฮึ? ได้ ผมจะดูซิว่าคุณจะดื้อดึงได้แค่ไหน!” เดินเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยเลือด พรมใต้เท้าเขาส่งเสียงแกรกกรากทุกย่างก้าว ระยะห่างแค่ไม่กี่เมตร แต่ว่าเว่ยจินหยวนใช้เวลามากกว่าสิบวินาทีเพื่อข้ามระยะห่างนั่น เขาไปหยุดอยู่ข้าง ๆ ผู้หญิงคนนั้นแล้วชะโงกหน้าเข้าไปมองเธอ
ชุดของเธอนั้นชุ่มเลือด ความอาฆาตแค้นหนาหนัก แค่มองแวบเดียว ผีผู้หญิงก็ส่งความสั่นเทิ้มลงไปตามสันหลังของเขา เขาพบว่ามือของเธอที่วางอยู่บนหน้าอกนั้นเหมือนจะกอดบางอย่างเอาไว้…
“คำใบ้คงไม่ได้อยู่ในมือคุณหรอกใช่ไหม?” ดวงตาของเว่ยจินหยวนเบิกกว้าง “บอสช่างชั่วร้ายเสียจริง ถึงกับวางคำใบ้เอาไว้ในที่อย่างนี้”
ถ้าคำใบ้นั้นอยู่ในมือของเธอจริง ๆ อย่างนั้นผู้เข้าชมก็ต้องเข้ามาใกล้ ๆ เธอเพื่อที่จะรับคำใบ้นั่น หากผู้เข้าชมหวาดกลัวเกินกว่าจะเข้าใกล้ อย่างนั้นก็จะติดอยู่ในฉากนี้ไปตลอดกาล หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องยอมแพ้แล้วไปหาคำใบ้อื่น ๆ
“ขอบคุณที่เป็นผมที่มาเจอคุณเข้า ผมกล้าหาญที่สุดในกลุ่มแล้ว และนี่ก็ไม่ทำให้ผมกลัวได้หรอก” เว่ยจินหยวนเรียกความกล้าหาญของตัวเองออกมาเอื้อมมือไปดึงกระดาษสองสามแผ่นที่เธอกอดเอาไว้ในอ้อมแขน ตอนที่เขากำลังจะดึงมือกลับมา ศีรษะของผู้หญิงคนนั้นที่พิงอยู่กับกำแพงก็หันมาช้า ๆ ร่างของเธอยังอยู่ในท่าเดิม อันที่จริง คอของเธอก็ไม่ได้ขยับด้วยซ้ำ มีแค่ศีรษะของเธอที่หันมา หันมา…
ใบหน้าซีดขาวราวกับไร้เลือด เครื่องหน้าเรียกได้ว่างดงามแต่ว่าดวงตาดำสนิทไร้ประกายคู่นั้นดูน่ากลัวมาก ผีผู้หญิงดูจะไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเว่ยจินหยวนกำลังทำอะไร ความอาฆาตแค้นในดวงตาของเธอนั้นกำลังเลือดพล่าน แต่สายตาของเธอก็ไปตกอยู่บนเส้นผมสีดำที่รอบข้อมือของตน เธอสงบลงอีกครั้งหนึ่ง
“คุณสวมคอนแท็คเลนส์สีดำสนิทด้วย? ถ้าผมไม่ได้ทำงานที่บ้านผีสิงและยังมีเชี่ยวชาญการแต่งหน้าอย่างนี้ ผมก็คงถูกคุณทำให้กลัวไปแล้ว” เว่ยจินหยวนดึงกระดาษออกจากเธอ เขาส่องไฟฉายไปยังกระดาษ “กฎพื้นฐานสำหรับพนักงานบ้านผีสิง? ห้ามมีสัมผัสทางกายภาพกับผู้เข้าชม? ห้ามทำร้ายผู้เข้าชม? ถ้าพบเจอผู้เข้าชมที่หมดสติให้ส่งพวกเขาไปยังห้องเก็บศพใต้ดินทันที?”
เว่ยจินหยวนอ่านกระดาษนั่นซ้ำแล้วซ้ำอีก เครื่องหมายคำถามในหัวเขาขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ “นี่มันอะไร? คำใบ้อยู่ที่ไหน?”
เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้หญิงในชุดสีแดง เธอยังคงอยู่ในท่าประหลาด ร่างกายของเธออยู่ห่างจากผนังราวครึ่งเมตร และมีแค่ศีรษะของเธอที่พิงผนังอยู่ ดวงตาของเธอจับจ้องอยู่ที่กระดาษที่เขาถือเอาไว้ราวกับกำลังรอให้เว่ยจินหยวนคืนมันให้เธอ
“มีแค่นี้?” เว่ยจินหยวนถือกระดาษเอาไว้ “คุณเป็นหนึ่งในนักแสดงที่นี่ใช่ไหม? มีความลับอะไรที่ผมควรจะเข้าใจจากคำพวกนี้หรือเปล่า?”
เธอไม่รู้ว่าเว่ยจินหยวนกำลังพูดถึงอะไรอยู่ แต่มีอย่างหนึ่งที่แน่ใจได้– ความอดทนของเธอกำลังจะหมดไปอย่างช้า ๆ เพราะผู้ชายคนนี้ ชุดสีแดงเริ่มมีเลือดซึม และกลิ่นเลือดจาง ๆ ก็เริ่มกำจายไปทั่วห้องนอน
“โอ้โห! มีการเปลี่ยนร่างที่สองด้วย?” เว่ยจินหยวนมองเลือดที่หยดลงมาจากชุดของเธอ และเขาก็สังเกตอย่างใจเย็น “มีถุงเลือดซ่อนเอาไว้ในชุดใช่ไหม? แต่คุณไม่เป็นมืออาชีพเกินไปแล้ว สิ่งที่นักแสดงบ้านผีสิงต้องมีก็คือความเร็ว ความคล่อง และความแม่นยำ คุณลงมือช้าอย่างนี้ ผู้เข้าชมก็จะมีเวลาเตรียมตัวกับการเปลี่ยนร่างที่ไม่ได้ฉับพลันแบบนี้”
เว่ยจินหยวนอันที่จริงนั้นไม่ได้มีความคิดเลยว่าเธอจะทำอะไรอย่างนี้ การพูดเรื่อยเจื้อยของเขานั้นก็เพื่อปิดบังความไม่แน่ใจที่คืบคลานผ่านหัวใจของเขา
“ดูเหมือนว่าการตามหาคำใบ้อย่างเดียวจะไม่เพียงพอ– พวกเราคงต้องไขปริศนาในนี้ด้วย” หลังคอของเว่ยจินหยวนนั้นคันมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมีบางอย่างบนหลังคอของเขากำลังสั่น เขารู้สึกได้เลยว่ามีแรงเล็ก ๆ จากด้านหลังของเขาพยายามดึงเขาออกไป เหมือนมีแรงลึกลับบางอย่างกระตุ้นให้เขาออกไปจากที่นี่ทันที
“นี่เป็นกลไกลทางจิตแบบนึงเหรอ? แต่ว่าทฤษฎีเบื้องหลังล่ะ? ก่อนที่พวกเราจะมาที่นี่ ฉันได้ดูบนอินเตอร์เนตแล้วว่าผู้เข้าชมหลายคนอ้างว่าเจ้าของที่นี่เชี่ยวชาญจิตวิทยา ดูเหมือนว่าฉันจะติดกับเขาโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ” เว่ยจินหยวนถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือหนึ่ง แสงจากโทรศัพท์ส่องมาที่เขาและผู้หญิงที่ข้างตัวเขา ขณะที่มืออีกข้างของเขานั้นถือกระดาษสองสามแผ่นนั่นเอาไว้ “ฉันพลาดไปตรงไหน? ที่นี่ไม่ได้น่ากลัวด้วยซ้ำ แต่ว่าหัวใจของฉันกลับเต้นเร็วจี๋?”
ถูกแสงส่อง เอกสารกฎของพนักงานของเธอยังถูกแย่งไป และหลอดเลือดเริ่มก่อตัวอยู่บนใบหน้าของผู้หญิงคนนี้– เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกรังแก กลิ่นเลือดในอากาศหนาหนักขึ้น และเลือดเหนียวข้นก็ไหลลงมาตามชุดของเธอ ทำให้เกิดเสียงหยดลงบนพื้น
เว่ยจินหยวนยังคงเหม่อคิด เขารู้สึกเหมือนตัวเองเดินเข้ามาในกับดัก “ตั้งแต่เข้ามาในบ้านผีสิง ก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากห้องว่างเปล่า ไม่มีการจัดฉากและไม่มีความน่ากลัวเลยสักนิด ไม่มีกระทั่งเลือด แล้วบ้านผีสิงอย่างนี้กลับทำให้ฉันรู้สึกกลัว? สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความรู้สึกหายใจไม่ออกอย่างอธิบายไม่ได้นี่คืออะไรกัน? ฉันเหมือนจะได้กลิ่นเลือดในอากาศ แต่ว่านี่น่าจะเป็นแค่อาการหลอนสักอย่าง หรือว่าเขายังเล่นเล่ห์กลทางจิตกับฉันตอนที่ฉันไม่ทันระวัง?”
ไม่มีคำตอบของคำถามไหนเลย ทุกอย่างเต็มไปด้วยความลึกลับ เว่ยจินหยวนเกาหลังคอ และคิ้วของเขาก็ขมวด “สภาพแวดล้อมซับซ้อนเกินไป และมันก็น่ากลัวอย่างพูดไม่ถูก คำใบ้ที่ให้นั้นก็ไม่สามารถเข้าใจได้”
ตอนที่เขายังคิดอยู่ มือซีดเผือดข้างหนึ่งก็เอื้อมออกมาดึงกระดาษไปจากเขา
“คุณกำลังทำอะไร?” เว่ยจินหยวนหันไปมอง ริมฝีปากของเขาอ้าค้าง และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ ผู้หญิงที่อยู่ข้างผนังนั้นขยับเข้ามาในห้องมากขึ้น แต่ศีรษะของเธอหายไปแล้ว!
มีรอยตัดหยาบ ๆ อยู่รอบคอ และแผลที่เปิดอยู่ก็มีเลือดไหล ภาพนี้กระแทกเข้าสมองของเว่ยจินหยวนราวกับถูกค้อนทุบ เขารู้สึกราวกับว่าเขาถูกฟ้าผ่า และกระแสไฟฟ้าก็วิ่งผ่านเส้นเลือดทั้งหมดไป!
“หัวหายไปไหน?” เขายืนยันได้ว่านักแสดงที่อยู่ในห้องกับเขานั้นเป็นผู้หญิงเป็น ๆ คนหนึ่ง ใบหน้างดงาม สีหน้าเหมือนจริง กระทั่งสายตาเหนือกว่าเหมือนเธอกำลังมองขยะชิ้นหนึ่งก็ยังเป็นสิ่งที่หุ่นไม่สามารถลอกแบบมาได้ แต่ว่า หัวของคนเป็น ๆ จะหายไปในพริบตาได้อย่างไรเล่า!
“คืนของของฉันให้ฉัน!” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังไหล่ของเขา คอของเว่ยจินหยวนเอี้ยวกลับไปมองอย่างแข็งทื่อ และทันใดนั้น เขาก็มองเห็นภาพที่เป็นไปไม่ได้ หัวของผู้หญิงคนนั้นเชื่อมโยงอยู่กับหลอดเลือด และมันก็ลอยอยู่เหนือไหล่ของเขา และเลือดทั้งหมดในร่างของเขาก็พุ่งขึ้นสมองของเขาพร้อมกัน
“ช่วยด้วย!” เขากรีดร้องสุดเสียง มือหนึ่งถือโทรศัพท์และอีกมือถือเอกสารกฎของพนักงานเอาไว้ เขาพุ่งออกไปจากห้องนอนด้วยความเร็วสูงสุดในชีวิต!
“คืนให้ฉัน คืนให้ฉัน!” ความแค้นหมุนเวียนอยู่รอบตัวเธอ และวิญญาณก็กระหายเลือด เลือดหยดลงบนพื้น และผู้หญิงในชุดสีแดงก็ตามเว่ยจินหยวนออกจากห้อง เลือดผสมเข้ากับเส้นผมสีดำ เธอกอดศีรษะของตนเองเอาไว้แล้วไล่ตามมาด้านหลังเว่ยจินหยวน
วิ่งไปตามทางเดินมืดสลัว เว่ยจินหยวนไม่มีเวลามาวิเคราะห์อะไรอีกแล้ว มีสิ่งเรียบง่ายอย่างเดียวที่อยู่ในใจของเขา
วิ่ง!
เขาไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังวิ่งไปไหน เขาแค่วิ่งไปตามทางเดินที่อยู่ตรงหน้าตัวเองเท่านั้น!
หลังจากเวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เขาก็หยุดหอบหายใจ โทรศัพท์ในมือสั่นขึ้นมาให้หันไปสนใจมัน หัวใจของเขาแทบจะกระโจนออกจากอกก่อนที่เว่ยจินหยวนจะมองโทรศัพท์ในมือ คนที่โทรมาก็คือหลีจิ่ว เหมือนกับคนจมน้ำพบเจอเรือยางกู้ชีพ เขาคว้ามันเอาไว้แล้วกดปุ่มรับสายอย่างบ้าคลั่ง!
“จินหยวน ฉันคงต้องพูดแบบเดิมอีกแล้วแหละ พวกเราเจอแผนที่อีกชิ้น และหลังจากพวกเราประกอบมันเข้าด้วยกัน พวกเราก็พบว่านายกับเย็นชากำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่อันตรายที่สุด…”
ก่อนที่หลีจิ่วจะพูดจบ เขาก็ถูกเว่ยจินหยวนตัดบท “จิ่ว! มาช่วยฉัน! มาช่วยฉันที!”
“พูดช้า ๆ เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” เว่ยจินหยวนเองก็อยากจะพูดช้า ๆ แต่ว่าพอเขาหันกลับไป เขาก็เห็นผู้หญิงชุดแดงวิ่งมาทางเขา หัวซุกอยู่ในอ้อมแขนของเธอและก็นำร่างของเธอพุ่งไปตามทางเดินเพื่อจับตัวเหยื่อของเธอ!
“มาที่นี่เดี๋ยวนี้! มีผู้หญิงบ้าอยู่ที่นี่! เธอไม่มีหัว! นายเข้าใจไหม!” เว่ยจินหยวนกรีดร้องเข้าไปในโทรศัพท์ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจากความหวาดกลัว
“เธอไม่มีหัว? เป็นเทคนิคพิเศษอะไรหรือเปล่า? อธิบายให้ตัวเองฟังสิ มีเหตุผลหน่อย อย่าทำเหมือนทำหัวหล่นหายไปสิ สงบใจหน่อย”
“ฉันไม่ได้ทำหัวหาย! เป็นเธอ! ใช่ เธอทำหัวเธอหาย!”
เสียงของเว่ยจินหยวนก้องไปตามทางเดินมืด ๆ
และจากนั้นสายก็ถูกตัด
…
“แปลก” ที่อีกปลายสาย หลีจิ่วยืนอยู่ที่เดิมถือโทรศัพท์เอาไว้ เสียงกรีดร้องแสบหูของเว่ยจินหยวนจากก่อนหน้านี้นั้นหลีจิ่วและทุกคนได้ยินผ่านโทรศัพท์แล้ว
“เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวจินน่ะ?” ด้วยคำที่เขาใช้ เห็นได้ชัดเจนว่านักไลฟ์สตรีมนั้นสนิทกับพนักงานของสถาบันฝันร้าย แต่ว่า ก็ไม่ได้มีความเป็นห่วงมากมายในคำถามของเขา ดูเป็นการสงสัยออกมาเฉย ๆ “เสี่ยวจินน่าจะไม่ได้ถูกหลอกง่ายขนาดนั้น สามารถทำให้เขากลัวจนร้องออกมาอย่างนี้ได้ ดูเหมือนว่าจะมีอะไรแอบแฝงอยู่ในบ้านผีสิงนี่”
“พวกเราควรจะระวังให้มากขึ้น ผมไม่คิดว่าผมได้ยินที่จินหยวนพูดก่อนหน้านี้อย่างถูกต้องนัก แต่ผมเชื่อว่าเขาพูดถึงผีผู้หญิงไร้หัว” หลีจิ่วรู้สึกอายนิด ๆ ที่เพื่อนร่วมงานของเขาถูกหลอกจนมีสภาพอย่างนี้ “ยังไง พวกเราก็ไม่ควรให้ความสำคัญกับเขามากเกินไป เว่ยจินหยวนอยู่ในทีมออกแบบ และเขาก็ไม่ได้เข้าบ้านผีสิงบ่อยนัก ดังนั้นเขาจึงถูกหลอกง่ายที่สุดในหมู่พวกเรา
“การสำคัญตัวผิดนี่จะเป็นหายนะของพวกคุณ” หวังตั้นเองก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเว่ยจินหยวนเมื่อกี้นี้ ถ้อยคำของเขานั้นตรงยิ่งกว่าที่เขาตั้งใจ “ผมขอแนะนำให้คุณฟังผมแล้วเลิกใช้โทรศัพท์ในบ้านผีสิง จากนั้นพวกเราก็หาทางกลับไป ไม่มีทางที่พวกเราจะผ่านฉากนี้ไปได้ด้วยกลุ่มคนที่แหกกฎเกณฑ์อย่างนี้”
“ถ้าพูดใหญ่โตขนาดนี้ ทำไมถึงไปแยกไปเองแล้วเลิกตามหลังพวกเราอย่างน่าละอายเสียที?” คำแนะนำของหวังตั้งนั้นเหมือนพูดให้คนหูหนวกฟัง และนักไลฟ์สตรีมยังท้าทายเขาอย่างหยาบคาย หลังจากเกิดเรื่องกับเว่ยจินหยวน เขาก็รู้สึกไม่ดีอย่างประหลาด
หวังตั้นไม่ได้ปะทะคารมด้วย เขายักไหล่และพูดให้ตัวเองได้ยินคนเดียว “ถ้าฉันไป แล้วใครจะช่วยเก็บพวกนายตอนหมดสติล่ะ?”
“เลิกเถียงกัน ฉันยอมรับว่ามีบางอย่างในบ้านผีสิงนี่ที่สมควรกับคำชื่นชมที่สามารถทำให้จินหยวนกลัวขนาดนั้นได้ ตอนนี้พวกเราเจอแผนที่สองส่วนแล้ว ฉันเชื่อว่าพวกเราจะสามารถหนีออกไปได้ในไม่ช้าแล้ว” หลีจิ่วนั้นรับผิดชอบเรื่องอุปกรณ์ประกอบฉากและของตกแต่งในสถาบันฝันร้าย เขาอยู่ในธุรกิจนี้มาห้าปีแล้ว และด้วยประสบการณ์ของเขา เขาสามารถมองกลไกต่าง ๆ ที่ติดตั้งเอาไว้ในบ้านผีสิงได้เมื่อมองแค่แวบเดียว เป็นเพราะประสบการณ์ของเขาทำให้เขาสามารถหาคำใบ้ที่เฉินเกอซ่อนเอาไว้ในเมืองหลี่ว่านได้อย่างง่ายดาย
ฉากนี้นั้นถึงจะยากมากแต่ก็มีโอกาสที่ผู้เข้าชมจะชนะ นั่นเป็นวิธีการเดียวที่ผู้เข้าชมจะรู้สึกว่าการสัมผัสประสบการณ์ครั้งนี้นั้นสนุก และคำใบ้ก็เป็นโอกาสที่เฉินเกอเตรียมไว้ให้เหล่าผู้เข้าชม เมื่อมีแผนที่ พวกเขาก็สามารถหลีกเลี่ยงสถานที่ที่อันตรายมาก ๆ อย่างผู้หญิงในชุดแดงที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สามได้
เวลาแค่ไม่กี่นาทีก็สามารถเปลี่ยนผู้ชายคนที่มั่นใจอย่างสุด ๆ ก่อนหน้านี้ไปเป็นเด็กน้อยร้องไห้ขี้มูกโป่ง นั่นทำให้ผู้เข้าชมคนอื่น ๆ รู้สึกถึงความกดดันที่มองไม่เห็น
“มาเถอะ เดินต่อไป ดูซิว่าพวกเราจะเจออะไรอื่นอีกไหม” หลีจิ่วเก็บโทรศัพท์และมองแผนที่ทั้งสองชิ้น
“มันเหมือนกับว่าที่นี่นั้นเป็นสถานที่ทดสอบความอดทน นักแสดงจะรอจนกระทั่งพวกเราประมาทและเริ่มกระวนกระวาย จากนั้นพวกเขาก็จะกระโดดออกมาหลอกพวกเราให้กลัว นั่นน่าจะเป็นวิธีการที่พวกเขาจัดการกับเสี่ยวจิน” นักไลฟ์สตรีมมองนาฬิกาและสบตากับหลีจิ่ว หลีจิ่วเข้าใจความหมายและพยักหน้า จากนั้นเขาก็พูด “หลังจากเข้าไปในตึกต่อไป พวกเราจะแยกกันชั่วคราว พวกเราจะค่อย ๆ เคลื่อนที่ไปช้า ๆ หลังจากค้นทัวตึกแล้ว พวกเราจะมาเจอกันอีกทีที่ทางเข้า”
โดยไม่รอให้คนอื่นตอบสนอง หลีจิ่วกับนักไลฟ์สตรีมก็ก้าวยาว ๆ เข้าไปในตึกตรงหน้าพวกเขา
“เดี๋ยวนะ ผมคิดว่าพวกเราควรจะเกาะกลุ่มกันเอาไว้” นักศึกษาจางเฟิงแนะนำ แต่ว่าหลีจิ่วและนักไลฟ์สตรีมนั้นเดินห่างจากพวกเขาไปเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด
“พวกเราควรจะไปกับพวกเขา” หวังตั้นพูดเบา ๆ เขารู้สึกได้ว่าหลีจิ่วและโฮสต์คนนั้นมีแรงจูงใจแอบแฝงในการมาเยือนบ้านผีสิง
“นายแน่ใจ?” จางเฟิงนั้นตอนแรกไม่ได้กลัวอะไรนัก แต่หลังจากได้ยินเสียงของเว่ยจินหยวนจากสายโทรศัพท์เมื่อครู่นี้ เขาก็รู้สึกตื่นตระหนกอยู่พอสมควร “ตึกตรงหน้าพวกเราดูเหมือนโรงพยาบาลเล็ก ๆ พวกเขามักจะใส่อะไรน่ากลัว ๆ เอาไว้ในโรงพยาบาลในบ้านผีสิงไม่ใช่เหรอ?”
“นายกลัวเหรอ?” หวังตั้นแทบจะไม่หันมามองจางเฟิงตอนที่มุ่งหน้าเข้าไปในโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน
“ใครกลัว? นายดูถูกฉันเหรอ? ให้ฉันบอกนายนะ บ้านผีสิงไม่มีทางน่ากลัวหรือว่าตื่นเต้นไปกว่าบันจี้จั๊มพ์หรอก”
จางเฟิงเหลือบมองป้ายไม้ที่บอกว่าตึกนี้คือโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน เขาเก็บความกระวนกระวายในใจเอาไว้และตามหวังตั้งกับแฟนสาวของเขาเข้าไปในตึก