สีหลักของโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่านคือสีขาว มันเป็นตึกที่สะดุดตาที่สุดและยังโดดเด่นที่สุดในเมืองเล็ก ๆ นี้ ตอนที่พวกเขาดึงประตูเหล็กสนิมกรังเปิดออก พวกเขาก็เห็นทางเดินมืด ๆ บันทึกผู้ป่วยสีเหลืองที่กระจัดกระจายอยู่ ถ้าพวกเขาหยิบแผ่นใดขึ้นมาดู ก็จะเห็นว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่นั้นเสียชีวิตจากโรคที่รักษาไม่ได้ และติดเชื้อจากโรคระบาด

หน้าต่างกระจกลั่นเอี๊ยดอยู่ในสายลมถึงแม้ว่าจะเป็นที่ชั้นใต้ดินไม่ควรจะมีลมพัดได้ก็ตาม ประตูห้องหลายห้องล้วนถูกเปิดทิ้งเอาไว้เหมือนผู้ป่วยที่เสียชีวิตไปกลับมายังที่แห่งนี้และอาจจะออกมาตอนไหนก็ได้

มีรอยคล้ายรอยเล็บอยู่ที่บนประตู และยังมีพืชที่ไม่รู้จักเลื้อยอยู่ทั่วผนัง เพดานนั้นลอก เผยให้เห็นลายปูนที่ดูคล้ายหน้ามนุษย์อย่างน่าสงสัย

โรงพยาบาลนี้นั้นเป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในเมืองเล็กนี้ และมันยังใช้เสน่ห์อันโดดเด่นของมันต้อนรับผู้เข้าชมกลุ่มใหม่ พื้นมีรอยแตกและเดินเหยียบไปบนพื้นก็ทำให้มันส่งเสียงลั่น ในความเงียบสนิท เสียงนี้แทบทำให้คนสะดุ้งโหยงได้

“ผู้ชายคนนั้น หลีจิ่ว อยู่ไหนกัน? เขาเข้ามาที่นี่ก่อนเราอย่างมากที่สุดก็แค่สิบวินาที เขาหายตัวไปในพริบตาได้ยังไง?” หวังตั้นมองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาหนักใจ เขายืนอยู่ในห้องโถงและมองไปตามทางเดินสองทางที่นำไปทางซ้ายและขวาของเขา เขาอยากจะระบุทิศทางที่คนพวกนั้นไปจากรอยบนกระเบื้องแตกที่บนพื้น แต่ว่า เขาก็ยิ่งต้องตกตะลึง ทางเดินทั้งสองนั้นมีร่องรอยการใช้งาน และเขาก็สามารถมองเห็นรอยเท้าประมาณแปดรูปแบบได้ในความมืด

“มีคนอื่นมาที่ตึกนี้ก่อนพวกเรา” หวังตั้นมองรอยเท้าที่บนพื้นและเขาก็ลังเล เขารู้ดีว่านักแสดงในบ้านผีสิงนั้นเก่งกาจแค่ไหนในเรื่องหลอกคน การเจอพวกเขาคนใดคนหนึ่งเข้าก็สามารถผลักให้ผู้เข้าชมที่ไม่ทันระวังจนมุมได้ และตึกนี่ก็ดูเหมือนจะมีนักแสดงน่ากลัวเหล่านั้นอยู่หลายคนทีเดียว

“พวกเราควรจะไปทางไหนดี?” แฟนสาวของหวังตั้นถาม เธอสวมเสื้อผ้าทันสมัยที่ค่อนข้างบาง ร่างกายของเธอสั่นอย่างควบคุมไม่ได้แต่ก็ไม่ชัดนักว่าเป็นเพราะความหวาดกลัวหรือแค่หนาว

“ฉันจำได้ว่าทั้งหลีจิ่วและโฮสต์ไลฟ์สตรีมคนนั้นสวมรองเท้าผ้าใบ จากรอยเท้าบนพื้น พวกเขาน่าจะมุ่งหน้าไปทางเดินทางซ้าย แต่ว่า…” หวังตั้นก้มหน้าคิด

“แต่อะไร? นายจะพูดให้จบประโยคแทนที่จะพูดค้าง ๆ เอาไว้ไม่ได้หรือไง?” จางเฟิงบ่นอย่างรำคาญ เมื่อคนผู้หนึ่งต้องมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แปลกใหม่ไปอย่างสิ้นเชิงก็มักจะรู้สึกกระวนกระวายและไม่สบายใจ

“ทำไมนายถึงไม่มาดูด้วยตัวเองล่ะ?” หวังตั้นส่องไฟฉายจากโทรศัพท์ของตัวเองไปที่พื้น และทางเดินทางซ้ายนั้นก็มีรอยเท้าสองรอยที่ประทับขนานกันและกันอยู่

“รอยเท้าข้างหน้าดูเหมือนจะเป็นรอยรองเท้าผ้าใบ แต่ว่ารอยเท้าด้านหลังไม่มีลวดลาย ดังนั้น พวกเราสามารถสันนิษฐานได้ว่านี่เป็นหนึ่งในผู้เข้าชมที่เดินนำไปและคนที่สองที่ไม่ใช่ผู้เข้าชมแต่เป็นบางอย่างตามหลังเขาไป” หวังตั้นไม่ได้พยายามหลอกให้ใครกลัว– เขาก็แค่พูดความจริง “ระหว่างรอยเท้าทั้งสองรอยทิ้งระยะประมาณสามสิบเซนติเมตร นายมองไม่เห็นเหรอว่ามันมีอะไรไม่ถูกต้อง?”

เห็นสีหน้างุนงงของจางเฟิง หวังตั้นก็ตัดสินใจสาธิตให้ดูด้วยตัวเอง เขาเดินไปยืนอยู่ด้านหลังแฟนสาวแล้วขยับไปอยู่ด้านหลังเธอประมาณสามสิบเซนติเมตร “ผู้เข้าชมเดินอยู่ด้านหน้า และมีบางอย่างที่ไม่รู้จักตามหลังเขาอยู่อย่างนี้ ทั้งสองคนเดินไปตามทางเดินด้วยกริยาอย่างนี้ ดูรอยเท้าที่เหลืออยู่บนพื้นสิ ลวดลายนั้นเหมือนกัน พูดอีกอย่างหนึ่ง นี่หมายความว่า จนถึงปลายทางเดิน คนที่เดินอยู่ข้างหน้าก็ไม่รู้ตัวเลยว่ามีบางอย่างตามหลังเขาอยู่ในระยะสามสิบเซนติเมตรอย่างสม่ำเสมอ”

“นักแสดงที่นี่ช่างเก่งกาจเสียจริง” นี่เป็นครั้งแรกที่จางเฟิงเข้าชมบ้านผีสิงเช่นนี้ พอได้ยินคำอธิบายของหวังตั้น เขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมา

“หลีจิ่วกับนักไลฟ์สตรีมคนนั้นน่าจะไปตามทางเดินด้านซ้ายและนักแสดงที่บ้านผีสิงก็ตามพวกเขาไป ดังนั้นเส้นทางนี้น่าจะปลอดภัยอยู่ตอนนี้” หวังตั้นเดินไปตามทางเดินด้านซ้ายคนเดียว

หลังจากหวังตั้นเดินจากไป ห้องโถงโรงพยาบาลก็ดูน่ากลัวกว่าเดิม กระดาษบนพื้นลอยขึ้นและมันก็ส่งเสียงแสกสากเมื่อปลิวไปบนพื้น ไม่มีสิ่งไหนที่ไม่นับเป็นความทรมานของผู้เข้าชมที่เข้าบ้านผีสิงเป็นครั้งแรก

“รอฉันด้วย” แฟนสาวของหวังตั้นและจางเฟิงรีบตามหวังตั้นไป ไม่มีใครแตะต้องพวกมัน แต่ว่าประตูที่สองข้างกำแพงกลับส่งเสียงลั่นเอี๊ยดได้ด้วยตัวเอง ทำให้รู้ว่าเหมือนว่ามีสัตว์ประหลาดซ่อนตัวอยู่ในห้องมืด ๆ เพราะความระแวดระวังนี้ ทั้งสามคนจึงเดินไปตามทางเดินอย่างช้า ๆ พวกเขาแทบจะเบียดตัวเข้าหากัน

“นี่ดูเหมือนจะเป็นห้องพักผู้ป่วยธรรมดา ถึงแม้ว่าจะเก่าและร้างไปสักนิด มันก็ยังดูเหมือนไม่มีใครอยู่ที่นี่มานานแล้ว” การตกแต่งในห้องผู้ป่วยนั้นเหมือนจริงมาก เหมือนจริงจนลืมไปเลยว่ากำลังอยู่ในบ้านผีสิง

“ระวังด้วย นักแสดงที่นี่น่ะผ่านการฝึกฝนอย่างดีที่สุดมา– พวกเขาสามารถเดินตามหลังพวกนายได้โดยไม่ส่งเสียงอะไรเลย และพวกเขายังมีวิธีการต่าง ๆ นานามาหลอกให้นายกลัว พวกนายไม่อยากเจอหรอก”

อันตรายนั้นสามารถมาจากทิศทางใดก็ได้ กลุ่มของหวังตั้นไม่เพียงแค่ระแวงประตูที่ถูกเปิดทิ้งไว้ครึ่ง ๆ พวกเขายังจับตามองรอยแตกบนผนังและพื้นอย่างละเอียด พวกเขาไม่ลืมด้วยว่ายังมีเพดาน

ด้วยความตึงเครียดนี้ หากมีใครกรีดร้องออกมา วิญญาณของพวกเขาก็อาจจะกระเจิดกระเจิงออกจากร่างได้ พวกเขาใช้เวลาหนึ่งนาทีเต็มเดินไปตามทางเดินที่ยาวแค่สิบเมตร ตอนที่พวกเขาไปถึงที่มุมบันได ทั้งกลุ่มก็พบว่าแผ่นหลังของตัวเองนั้นชุ่มเหงื่อไปแล้ว

“อะไร? แค่นี้? ฉันคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะมีนักแสดงที่เล่นเป็นผีโผล่ออกมาจากห้องพวกนั้นหลอกพวกเรา” จางเฟิงถอนหายใจโล่งอก “อันที่จริง มันก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นเสียหน่อย ฉันคิดว่าการวิเคราะห์ของนายตอนแรกน่ากลัวไปสักหน่อย ฉันสงสัยว่านายจะจงใจทำอย่างนี้ ให้ประสบการณ์ครั้งนี้น่าสยองขวัญกว่าที่มันเป็นเพื่อที่จะหลอกพวกเราด้วยซ้ำ”

นักศึกษาชายนั้นกล้าหาญกว่าคนทั่วไป แต่เหตุผลสำคัญที่เขาต้องแสดงความกล้าหาญออกมาก็เพราะว่าไม่ต้องการดูอ่อนแอกว่าหวังตั้น

อันที่จริง เขาดูถูกหวังตั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้แสดงออกมาอย่างเปิดเผย หวังตั้นนั้นเป็นนักศึกษาแพทย์ที่รู้แค่วิธีการจัดการกับศพเท่านั้น เขาน่าเบื่อ หน้าตาพื้น ๆ และยังไม่ได้ตัวสูง ไม่ได้มาจากครอบครัวที่ดี จางเฟิงไม่เคยเห็นข้อดีอะไรในตัวคนคนนี้เลย

ตอนที่ความคิดอย่างนั้นทำให้ความกลัวในหัวใจจางเฟิงจางไปบ้างแล้ว เขาก็ชำเลืองมองแฟนสาวของหวังตั้นครั้งหนึ่ง อย่างที่พูดถึงก่อนหน้านี้ แฟนสาวของหวังตั้นนั้นเป็นเพื่อนร่วมชั้นตอนมัธยมของเขา แต่ว่าตอนนั้น เขาก็ไม่คิดว่าเพื่อนของตนคนนี้จะสวยขึ้นมาแบบนี้หลังจากที่เธอรู้จักดูแลรูปลักษณ์ของตัวเอง หลังจากที่เขาเห็นประวัติของเธอที่บนอินเตอร์เนต จางเฟิงก็ไม่อยากจะเชื่อว่าที่เขากำลังเห็นอยู่นั้นเป็นเธอ

หวังตั้นนั้นไม่สนใจคำพูดของจางเฟิง เขาใจดีมากพอแล้วที่วิเคราะห์ให้ฟัง แต่ทั้งหมดที่เขาได้กลับมาคือความสงสัย คนอย่างนี้นั้นไม่คู่ควรกับความช่วยเหลือของเขาเลย เขาพยายามอย่างหนักเพื่อกดความรำคาญเอาไว้ในใจ ถึงแม้ว่าหวังตั้นจะอารมณ์ร้อนเมื่อก่อนนี้ เมื่อได้มาบ้านผีสิงของเฉินเกอหลายครั้งเข้าก็ทำให้เขาลดนิสัยนั้นไปได้มาก

เขาบอกไม่ได้แน่ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มต้นตอนไหน บางทีอาจจะเพราะว่าเขาได้เห็นปิศาจที่แท้จริง เทียบกันแล้ว ทุกคนล้วนดูมีเมตตาและน่าใกล้ชิดสนิทสนม หรือบางทีตอนที่เขาหมดสติและถูกปลุกขึ้นมาซ้ำ ๆ ที่ห้องเก็บศพใต้ดิน การสั่งสอนของศาสตราจารย์ชราที่วิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียงนั้นส่งผลกระทบต่อชายหนุ่มผู้นี้จริง ๆ ไม่ว่าอย่างไร หวังตั้นก็ไม่ใช่คนเดิมในอดีตแล้ว เขาเติบโตขึ้นมาก

เผชิญหน้ากับการท้าทายหลายต่อหลายครั้งจากจางเฟิง หวังตั้นก็ยังไม่งับเหยื่อและทะเลาะด้วย เขาเข้าใจดีว่าการทะเลาะโต้เถียงกันนั้นไร้ความหมายขนาดไหน– เหตุผลหลักที่เขาเข้ามาบ้านผีสิงครั้งนี้ก็เพื่อแบ่งปัน ‘ความสนุก’ กับจางเฟิง และเพื่อบรรลุเป้าหมาย เขาจึงต้องกล้ำกลืนคำบ่นและความคับข้องใจเอาไว้

“ทำไมถึงไม่เถียงล่ะ? เพราะว่าฉันพูดถูกใช่ไหม?” จางเฟิงสันนิษฐานว่าตัวเองมองแผนการของหวังตั้นออกหมดแล้ว “มาบ้านผีสิงอย่างนี้เพื่อพิสูจน์ว่าใครใจกล้ากว่า นายไม่คิดเหรอว่านี่มันเป็นอะไรที่มีแต่เด็ก ๆ ทำ?”

หลังจากพยักหน้า หวังตั้นก็เดินห่างออกมาเงียบ ๆ

บรรยากาศในโรงพยาบาลเปลี่ยนเป็นประหลาดขึ้นกว่าเดิม หลีจิ่วและโฮสต์คนนั้นเดินอยู่ข้างหน้าเขา แต่พวกเขากลับไม่ได้ยินเสียงอะไรที่บ่งบอกถึงการมีตัวตนของพวกเขาเลย ไม่มีกระทั่งเสียงฝีเท้า มันเหมือนทั้งสองคนหายวับไปในอากาศ

ตึกทั้งหมดในเมืองนี้นั้นนำไปสู่ชั้นใต้ดิน และโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่านก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หวังตั้นมองบันใดที่นำไปยังชั้นใต้ดิน และความคิดประหลาดก็ปรากฏขึ้นในใจหวังตั้น เหตุผลเดียวที่พวกเขาไม่เจอนักแสดงคนไหนเลยอาจจะเป็นเพราะพวกเขาต้องการรอให้เหล่าผู้เข้าชมมุ่งหน้าลงไปยังชั้นใต้ดินก่อนที่จะเผยตัวออกมา ด้วยวิธีนี้ ผู้เข้าชมก็จะไม่สามารถหนีออกจากตึกได้โดยง่ายเมื่อถูกทำให้ตกใจกลัว

แสงสลัว และทั้งสามคนก็ระแวดระวังยิ่งกว่าเดิม

บนบันไดระหว่างชั้นใต้ดินชั้นแรกและชั้นที่สอง แฟนสาวของหวังตั้นก็ร้องเสียงแหลมอย่างตกใจ “มีคนอยู่ตรงนั้น!”

“ไหน?” ทั้งหวังตั้นและจางเฟิงหันไปมองบันไดพร้อมกัน

“มันอยู่ตรงราวบันไดที่นำลงไปชั้นสอง! ฉันเห็นมัน! มันเป็นขาสีเทา ๆ คู่หนึ่ง!” หวังตั้นและจางเฟิงมองไปทางที่แฟนสาวของหวังตั้นชี้ แต่ว่าพวกเขาก็ไม่เห็นอะไรเลย

“ฉันสาบานว่าพวกมันอยู่ตรงนั้นเมื่อกี้นี้ แต่ว่าพวกมันหายตัวไปทันทีหลังจากนั้น!” แฟนสาวของหวังตั้นพูดอย่างกระวนกระวายและโซเซถอยหลังไป ขยับจากตรงกลางไปอยู่ด้านหลัง

“บางทีนักแสดงอาจจะได้ยินเสียงฝีเท้าและไปซ่อนตัวที่นั่น แต่เธอบังเอิญเห็นพวกเขาเข้า” จางเฟิงพูดปลอบเด็กสาว

“ได้… แต่เดี๋ยวนะ!” แฟนสาวของหวังตั้นจู่ ๆ ก็ชี้ไปที่หลังของหวังตั้น “มีบางอย่างติดอยู่ที่ไหล่ของนาย!”

“ฉัน?” หวังตั้นเอื้อมมือไปแตะแผ่นหลังตัวเอง และเขาก็พบว่ามีบันทึกผู้ป่วยแผ่นหนึ่งติดอยู่บนหลังเขา ด้านหน้าของบันทึกนั้นพิมพ์รูปขาวดำของผู้ป่วยเอาไว้ และที่ด้านหลังของกระดาษนั้นเขียนด้วยลายมือหวัด ๆ เอาไว้ “หาฉันให้เจอสิ”

“ใครติดนี่เอาไว้บนหลังฉันน่ะ?” หวังตั้นรู้สึกเหมือนเขากลายเป็นเป้าหมายไปในทันที  เขารู้ว่านี่ไม่ใช่จางเฟิงและแฟนสาวของเขาทำ พวกเขาไม่มีใครมีปากกามาด้วย และมันก็ชัดเจนว่าคำที่เขียนไว้บนกระดาษนั้นเขียนเอาไว้นานแล้ว

“นายคิดว่าฉันจะทำเรื่องน่าเบื่อนี่เหมือนนายหรือไง?” จางเฟิงเป็นคนแรกที่ยักไหล่ แฟนสาวของหวังตั้นคิดว่านี่ค่อนข้างประหลาด พวกเขาเดินอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มและพวกเขาก็ไม่เห็นใครเดินผ่านไปเลย

“มีอะไรอยู่บนหลังของพวกนายหรือเปล่า?” หวังตั้นมองจางเฟิงและแฟนสาวอย่างตื่นตระหนก และเขาก็พบว่า มีแค่เขาเท่านั้นที่มีกระดาษติดอยู่ที่หลัง “นี่เป็นเพราะว่าฉันเป็นคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้ากลุ่มเหรอ?”

มองกระดาษที่ถืออยู่ ผู้ชายในรูปขาวดำดูเหมือนจะกำลังยิ้มให้เขา เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นที่หน้าผากหวังตั้น เขารู้ว่าความสยองที่แท้จริงของฉากนี้กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้าแล้ว

“นายกำลังทำอะไรน่ะ บ่นตัวเองอยู่เหรอ?” จางเฟิงไม่ได้ซ่อนรอยยิ้มเยาะบนใบหน้า เห็นหวังตั้นมีท่าทีหวาดกลัวเป็นอย่างมาก “กลวิธีเดียวกันใช้กับฉันเป็นครั้งที่สองไม่ได้ผลหรอกนะ”

เหมือนกับเขาเพิ่งเผยความลับยิ่งใหญ่ออกมา เขาเอนตัวไปหาแฟนสาวของหวังตั้นแล้วพูด “คุณเพื่อน แฟนเธอดูเป็นคนน่าสนใจดีนะ พวกเรามาด้วยกันตลอดทาง แต่ไม่ได้เจอใครอื่นเลยสักคน ในเมื่อพวกเราไม่ใช่คนที่ติดกระดาษไว้บนหลังเขา เธอคิดว่าคนร้ายจะเป็นใครไปได้หืม?”

แฟนสาวของหวังตั้นค่อย ๆ ถูกเขาชักนำอย่างช้า ๆ “เขาทำเองเหรอ? นั่นเป็นไปไม่ได้ หวังตั้นเขา…”

“หากไม่ใช่เขา เธอกำลังจะบอกฉันเหรอว่าผีทำ? เขาต้องการใช้เรื่องนี้ทำให้พวกเรากลัวและทำเหมือนเขาไม่กลัว ฉันคงโกรธแล้วแหละถ้าไม่เห็นว่านี่มันน่าเศร้าขนาดไหน”

“ไม่มีทาง เขาไม่ทำอะไรแบบนี้หรอก… ใช่ไหม?” ด้วยการโน้มน้าวจากจางเฟิง แฟนสาวของหวังตั้นก็เริ่มสงสัยตัวเอง

หวังตั้นถือบันทึกผู้ป่วยเอาไว้ในมือ สองตามองดูรอบ ๆ ตัวอย่างระแวดระวัง เขารู้ว่าอันตรายกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว– บันทึกผู้ป่วยนี่ อันที่จริงแล้วก็คือป้ายมรณะ!

“ในเมื่อพวกเราก็ตกเป็นเป้าหมายแล้ว โยนนี่ทิ้งไปก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรได้” หวังตั้นได้ยินบทสนทนาของสองคนนั้นชัดเจน เขาสูดลมหายใจลึก กัดริมฝีปาก และหันกลับไป เห็นร่องรอยความสงสัยและไม่พอใจในดวงตาของแฟนสาวแล้ว ความรู้สึกตึงเครียดของหวังตั้นก็ผ่อนคลายอย่างช้า ๆ เขาคลายมือที่กำแน่นออกอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักและจากนั้นก็หันไปหาจางเฟิงและพูดอย่างสบายใจ “ได้ ฉันยอมรับว่าเป็นฉันเองที่ติดไอ้นี่ไว้บนหลังตัวเอง”

“แล้วทำไมนายต้องทำอย่างนี้ด้วย? นายไม่ใช่คนแบบนี้ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก” แฟนสาวของหวังตั้นขึ้นเสียง

“ฉันแค่อยากจะพิสูจน์ว่าฉันยังมีด้านดี ๆ อยู่บ้าง ๆ” ม่านตาหวังตั้นสั่นไหว และหลังคอของเขาก็ค่อย ๆ ขนลุกชันลามขึ้นมา แต่เขาก็บังคับให้ตัวเองรักษากริยาเอาไว้ “มีตำนานที่บ้านผีสิงนี่ ถ้าเธอติดอะไรอย่าง ‘หาฉันให้เจอ’ เอาไว้ ก็มีโอกาสที่จะเจอผีจริง ๆ ฉันก็แค่อยากจะพิสูจน์ว่าฉันกล้ามากกว่าพวกเธอ”

“เด็กน้อยไปไหมนั่น ถ้านายอยากจะได้ฟังเรื่องเล่าพื้นบ้าน ฉันมีเล่าให้นายฟังเป็นร้อยเรื่อง” ความรู้สึกเหนือว่าที่จางเฟิงมีต่อหวังตั้นปรากฏชัดขึ้นและยังเพิ่มขึ้น

“ฉันยอมรับว่าฉันอิจฉานาย ฉันไม่หล่อเท่านาย ไม่ได้แต่งตัวดีเท่านาย ครอบครัวของฉันก็ไม่ได้รวยเท่านาย และยังเอาชนะนายไม่ได้ในเกมบาส เทียบกับนายแล้ว ฉันธรรมดาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ดังนั้นฉันก็เลยอยากจะพิสูจน์ว่ามีบางอย่างที่ฉันดีกว่านาย” เสียงของหวังตั้นเริ่มสั่น ในทางเดินที่พวกเขาผ่านมา เขามองเห็นขาสีเทาคู่หนึ่งเดินออกมาจากห้องห้องหนึ่ง

“ดังนั้นนายก็เลยใช้วิธีนี้?” ความรู้สึกภูมิใจในตัวเองของจางเฟิงเหมือนได้รับการเติมเต็ม และมันก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นไปอีกเมื่อมันเกิดขึ้นต่อหน้าแฟนสาวของหวังตั้น “ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่านักศึกษาแพทย์อย่างนายเชื่อตำนานพื้นบ้านอย่างนั้นด้วย นายไม่รู้หรือไงว่ามันก็แค่เรื่องไร้สาระที่คนไม่มีอะไรจะทำสร้างขึ้นมา?”

“อย่างนั้น นายกล้าลองไหมล่ะ?” หวังตั้นกำลังรอให้จางเฟิงพูดอย่างนี้อยู่ เขารีบขัดขึ้นโดยเร็ว เร็วจนจางเฟิงแทบจะตามไม่ทัน

“อะไรนะ?” จางเฟิงยังคงจมอยู่ในความยินดีของตนเอง ดังนั้นจึงไม่ได้คาดคิดว่าหวังตั้นจะเสนออะไรอย่างนี้ออกมา

“ในเมื่อนายเชื่อว่าตำนานพื้นบ้านพวกนี้นั้นเป็นเรื่องไร้สาระ อย่างนั้นฉันก็แน่ใจว่านายคงไม่ปฏิเสธที่จะลองดู” หวังตั้นพูดขณะย้ายบันทึกผู้ป่วยไปติดไว้ที่แผ่นหลังของจางเฟิง “อันที่จริง ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าบนโลกนี้มีคนที่ดีกว่าฉัน ถึงฉันจะพยายามแค่ไหน ฉันก็อาจจะไม่สามารถไล่ตามคนที่สมบูรณ์แบบอย่างนายได้ทัน”

ถ้อยคำของหวังตั้นทำให้จางเฟิงงุนงง ความหยิ่งทะนงของเขานั้นพึงพอใจ แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง

“ตอนนี้พอฉันได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฉันก็รู้สึกดีขึ้นมาก ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ฉันสาบานว่าในอนาคตฉันจะดำรงชีวิตอยู่อย่างซื่อสัตย์กว่านี้” หวังตั้นตบหลังจางเฟิงเพื่อให้แน่ใจว่ากระดาษแผ่นนั้นติดอยู่แน่นหนาและจะไม่ปลิวหลุดไป “มาสิ พวกเราสำรวจต่อ และฉันจะเลิกพูดเรื่องผีน่าเบื่อพวกนี้”

หวังตั้นผลักจางเฟิงไปที่ด้านหน้ากลุ่มและเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพย “อันที่จริง บ้านผีสิงนี่ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่พวกเขาพูดกัน พวกเราบอกคนอื่น ๆ อย่างนั้นเพราะแค่ต้องการปิดบังว่าพวกเราขี้กลัวกันขนาดไหน”

จางเฟิงยังคงสับสนอยู่มาก แต่เมื่อหวังตั้นพูดอย่างนั้น เขาก็ไม่รู้สึกกลัวแล้ว “มันไม่น่ากลัวอย่างนั้นจริง ๆ?”

“จริง บ้านผีสิงนี่ไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด ตอนที่ฉันมาที่นี่ครั้งสุดท้าย มันน่าเบื่อจนฉันเกือบจะหลับแน่ะ”

ดูเหมือนว่าหวังตั้นจะได้เรียนรู้การแสดงจากบอสของบ้านผีสิงบางแห่งมาบ้าง เพราะว่าความจริงใจบนใบหน้าของเขานั้นไร้ที่ติขณะที่เขาผลักจางเฟิงให้มุ่งหน้าลงบันไดไป