“นายหลับไประหว่างเข้าชมครั้งก่อน? เป็นไปได้ยังไง?” จางเฟิงยังไตร่ตรองคำพูดของหวังตั้นอยู่ตอนที่ถูกดันให้เดินไปข้างหน้า แต่ว่า หลังจากได้ยินว่าพวกหวังตั้นสร้างข่าวลือประหลาดพวกนั้นทั้งหมดขึ้นมาเอง มันก็ย่อมทำให้จางเฟิงไม่รู้สึกกลัวเท่าก่อนหน้า เขาชอบกีฬาเอ็กซ์ตรีมและยังสามารถรับความกดดันได้มากกว่าคนทั่วไป ที่ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เคยเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นเขาจะมากลัวอะไรที่ไม่มีจริงได้อย่างไร?

สิ่งต่าง ๆ ในบ้านผีสิงนั้นไม่ใช่ของจริง เทียบกับการดำน้ำลึกหรือว่าการเอาชีวิตรอดในป่าแล้ว บ้านผีสิงนั้นมีอันตรายต่ำที่สุด เขารู้ดีว่าการมาบ้านผีสิงนั้นไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต

ในเมื่อไม่มีอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แล้วจะมีอะไรให้กลัวกัน?

หลังจากพิจารณาเรื่องนี้ในใจแล้ว จางเฟิงก็มั่นใจมากขึ้น และฝีเท้าของเขาก็ยังต่างไปจากก่อนหน้า เขาไม่ได้ระแวดระวังเท่านั้นอีกแล้ว “ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว พวกเราก็เดินให้เร็วหน่อยจะได้จบการสัมผัสประสบการณ์ครั้งนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ บ้านผีสิงนี่ อันที่จริงแล้วก็ทั้งสวนสนุกนี่ น่าเบื่อจะตายอยู่แล้ว ถ้ามีโอกาส ฉันจะเชิญพวกนายไปสวนสนุกไฮเทคเจนเนอเรชั่นที่ห้าที่เพิ่งเปิดใหม่ในจิ่วเจียงตะวันออก”

ตอนที่จางเฟิงพูดอย่างนั้น เขาก็ไม่ลืมหันกลับมายิ้มให้แฟนสาวของหวังตั้น เหมือนเขาพยายามส่งสัญญาณบางอย่างให้เธอ จางเฟิงที่มีบันทึกผู้ป่วยแปะอยู่ที่กลางหลังเป็นคนแรกที่เข้าไปในชั้นใต้ดินชั้นที่สอง แสงสลัวยิ่งกว่าเดิม ไม่มีไฟฉาย พวกเขาก็แทบมองไม่เห็นรอบ ๆ ตัว

“หลีจิ่วกับโฮสต์คนนั้นออกไปแล้วเหรอ? ทำไมพวกเราถึงไม่ได้ยินเสียงอะไรจากพวกเขาเลย?” จางเฟิงผลักประตูที่ใกล้ตัวที่สุดเปิด มันเปิดสู่ห้องพักผู้ป่วยอีกห้องหนึ่ง ฟูกสกปรกกองอยู่บนเตียง และยังมีรอยเลือดและเศษเฝือกตกอยู่บนพื้น

“ห้องผู้ป่วยห้องนี้ดูต่างไปจากห้องอื่นอยู่นะ มันเหมือนมีคนอยู่ที่นี่เมื่อเร็ว ๆ นี้” จางเฟิงอยากจะเริ่มวิเคราะห์ตามแบบหวังตั้น แต่ว่าเขามองไม่เห็นร่องรอยอะไรเลยจริง ๆ ดังนั้นจึงได้แต่อาศัยสัญชาตญาณของตนเอง

“พวกเราจะเข้าไปดูไหม?” แฟนสาวของหวังตั้นยังดูค่อนข้างผวา เธอยังคงคิดถึงขาสีเทา ๆ คู่นั้นที่เธอเห็นก่อนหน้านี้

“ในเมื่อนายเชื่อว่ามีคนอยู่ที่นี่มาก่อน งั้นมันก็อาจจะเป็นหลีจิ่วกับนักไลฟ์สตรีมคนนั้น พวกเขาอาจจะเจออะไรที่นี่ พวกเราควรจะเข้าไปดูนะ” หวังตั้นพูดขณะกระตุ้นให้จางเฟิงเข้าไปในห้อง

กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจาง ๆ ลอยอยู่ในอากาศ และกลิ่นสาบ จางเฟิงวางมือเอาไว้เหนือริมฝีปาก และคิ้วของเขาก็ขมวดลึก เขากดความรู้สึกคลื่นไส้เอาไว้และดึงผ้าปูเตียงออก ใต้ผ้าปูเตียงนั้นเป็นรอยเลือดรูปร่างมนุษย์และไม้เซลฟี่

“ทำไมของนี่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” จางเฟิงหยิบไม้เซลฟี่ขึ้นมา “นี่ดูไม่เหมือนของตกแต่งในบ้านผีสิง มันเป็นของนักไลฟ์สตรีมคนนั้นหรือเปล่า?”

ตอนที่เขาพูด ก็มีเสียงตุบเบา ๆ ดังมาจากตู้เสื้อผ้าที่ข้าง ๆ ตัวเขา มันเหมือนมีใครสักคนบังเอิญชนเข้ากับเครื่องเรือนตอนที่กำลังรีบ

“นั่นอะไรน่ะ?” ถึงแม้ว่าเขาจะคอยบอกตัวเองว่าไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องกลัว ตอนที่อยู่ในสถานการณ์อันตรายจริง ๆ จางเฟิงก็อดใจเต้นเร็วขึ้นไม่ได้ เขาเดินไปทางตู้ช้า ๆ และดึงประตูตู้เปิดออกให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้านในตู้นั้นมีชุดผู้ป่วยที่เก่าและขาดวิ่นกับสมุดบันทึกขาด ๆ เล่มหนึ่ง

“นี่ง่ายเกินไปแล้ว! ฉันเจอคำใบ้แล้ว!” จางเฟิงตื่นเต้นสุด ๆ ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าการมาบ้านผีสิงนั้นสนุกอย่างไร มันก็คือการสำรวจลึกลงไปในความหวาดกลัวและสิ้นหวัง เมื่อคนหนึ่งพบขุมทรัพย์เข้าตอนที่เส้นประสาทตึงเครียดที่สุด มันก็จะก่อให้เกิดความยินดีอันอธิบายไม่ออกมาไม่ถูก

เขาพลิกสมุดบันทึก แต่ว่าจางเฟิงรู้ว่าความสามารถในการวิเคราะห์ของตนเองนั้นไม่ดีเท่าหวังตั้น ดังนั้นจึงเรียกฝ่ายหลังมาอ่านบันทึกด้วยกัน บันทึกเป็นรายละเอียดของการค้นพบอย่างช้า ๆ ของผู้ป่วยคนหนึ่งถึงปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลนี้ ทุกคืน จะมีเด็กชายเล็ก ๆ คนหนึ่งมาเล่นซ่อนหากับเขา ประโยคเหล่านี้นั้นเข้าใจง่าย และเขียนขึ้นโดยคนธรรมดาไม่ใช่นักเขียน แต่ว่า ถ้อยคำเรียบง่ายเหล่านี้กลับก่อให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นในหัวใจของคนอ่าน

“เล่นซ่อนหา?” จางเฟิงนั้นไม่ใช่อัจฉริยะ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาโง่ ตอนที่เขาเห็นชื่อเกมที่บันทึกพูดถึง เขาก็นึกถึงบันทึกผู้ป่วยที่เดิมติดอยู่บนหลังของหวังตั้นได้ทันที ถ้าหากบันทึกผู้ป่วยนั้นเป็นอย่างที่หวังตั้นพูด เป็นแค่การเล่นตลกไร้อันตราย อย่างนั้นเขารู้ล่วงหน้าได้อย่างไรว่าจะมีเกมอันตรายอย่างเล่นซ่อนหาดำเนินอยู่ในโรงพยาบาลประหลาดนี่?

เมืองไร้นามนั้นเปิดสู่สาธารณะเป็นครั้งแรก และพวกเขาก็เป็นผู้เข้าชมกลุ่มแรก หวังตั้นนั้นย่อมไม่สามารถตระเตรียมสิ่งนี้เอาไว้ล่วงหน้าได้ นอกเสียจาก… หวังตั้นจะรวมหัวกับบอสของบ้านผีสิงนี่!

ความกระวนกระวายที่จางเฟิงกดเอาไว้ก่อนหน้านี้นั้นตีกลับมาอย่างรุนแรงเพราะเขานึกได้ว่าบันทึกผู้ป่วยแผ่นนั้นตอนนี้ติดอยู่บนหลังของเขา เมื่อเข้าใจได้ว่าของสิ่งนี้จะนำมาซึ่งความเลวร้ายอย่างไร จางเฟิงก็กระแทกสมุดบันทึกปิด “รายละเอียดของบ้านผีสิงนี่ทำได้ดีทีเดียว พวกเราอยู่ในนี้สักพักแล้ว ดังนั้นพวกเราควรจะกลับออกไปได้แล้ว ตอนนี้ฉันก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้วเหมือนกัน”

“แต่ว่าพวกเรายังไม่ได้ทำอะไรเลย? ทำไมนักศึกษาครุศาสตร์การกีฬาและสุขภาพอย่างนายถึงเหนื่อยเร็วขนาดนี้? เป็นเพราะว่านายรู้สึกไม่สบายมาก ๆ ใช่ไหม? นายอยากนั่งพักก่อนไหม?” หวังตั้นถามอย่างเป็นห่วงสุดแสน และนั่นก็มีแต่ทำให้จางเฟิงอยากจะชกหน้าเขาเท่านั้น

“ไม่ใช่อย่างนั้น อ้อ ใช่แล้ว!” จางเฟิงหยิบไม้เซลฟี่ที่ทิ้งเอาไว้บนเตียงขึ้นมา “โฮสต์คนนั้นน่าจะกังวลที่ทำของสิ่งนี้หาย พวกเราควรจะเอามันไปด้วยแล้วไปรอเขาที่ข้างนอก”

เขาถือไม้เซลฟี่เอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง และมืออีกข้างเอื้อมไปด้านหลังตัวเอง จางเฟิงคิดจะดึงกระดาษนั่นออกจากแผ่นหลังของเขา แต่แล้วก็เกิดบางอย่างที่น่าประหลาดใจขึ้น มือของเขาเอื้อมออกไป แต่ว่าบันทึกผู้ป่วยที่น่าจะอยู่บนหลังของเขาหายไปแล้ว!

“เชี่ยไรเนี่ย?” มองข้ามไหล่ไป เขาก็เห็นแขนช้ำ ๆ คู่หนึ่งยื่นออกมาจากในตู้ ผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่มีขาสวมชุดผู้ป่วยเก่ากะรุ่งกะริ่งอยู่นั้นกำลังติดบันทึกผู้ป่วยสีเหลืองจำนวนหนึ่งเอาไว้ที่บนเอวและขาของจางเฟิง!

บันทึกผู้ป่วยแต่ละแผ่นนั้นมีข้อความเดียวกันเขียนเอาไว้ “ถึงตาฉันเป็นผีตามหานายแล้ว!”

มันไม่ชัดเจนนักว่ามีบันทึกผู้ป่วยติดอยู่บนร่างของเขากี่แผ่น จิตใจของจางเฟิงนั้นว่างเปล่า สมองของเขาที่ขาดการฝึกฝนก็เต็มไปด้วยคำถามมากมายไม่จบสิ้น!

ผู้ชายคนนี้มาจากไหน? ทำไมเขาถึงสวมชุดผู้ป่วยที่ฉันเห็นก่อนหน้านี้? ‘ถึงตาฉันเป็นผี’ หมายความว่ายังไง? ฉันไปสัญญาเล่นเกมนี้กับแกเมื่อไหร่?

สีหน้าของเขาบิดเบี้ยว และหัวใจของจางเฟิงก็แทบจะเต้นหลุดออกจากปาก สมองของเขาปิดการทำงานไปสามวินาทีก่อนที่ร่างกายของเขาจะมีปฏิกริยา เขากรีดร้องอย่างหวาดกลัวแล้วกระโจนขึ้นไปในอากาศ ในตอนนี้สมองของเขาก็ยังว่างเปล่าอย่างที่มันเป็น หลังจากที่เขาตกลงพื้น เขาก็พยายามผลักหวังตั้นออกให้พ้นทางและวิ่งออกจากประตูไป แต่ว่า หวังตั้นและแฟนสาวนั้นออกไปจากห้องก่อนแล้ว

ตอนที่จางเฟิงอ่านบันทึก หวังตั้นก็สังเกตเห็นแล้วว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จากปลายสายตาของเขา เขาเห็นชุดผู้ป่วยที่ด้านในตู้เสื้อผ้าเริ่มขยับด้วยตัวมันเอง ต่างไปจากจางเฟิง หวังตั้นนั้นตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เขาเข้าใจดีว่าฉากระดับ 3.5 ดาวอันตรายได้แค่ไหน

ตอนนั้น เขาก็เตรียมวิ่งหนีแล้ว ตอนที่จางเฟิงหันไปรอบ ๆ และพูดอะไรบางอย่าง หวังตั้นก็เห็นแขตสองข้างยื่นออกมาจากข้างในตู้ แต่ด้วยความนับถือในตัวจางเฟิง เขาไม่ได้ขัดชายหนุ่มผู้นั้นตอนที่เขากำลัง ‘วิเคราะห์’ อยู่ เขารู้ว่ามันจะเป็นการไม่เคารพกันอย่างมากที่ไปขัดจังหวะ ดังนั้นจึงฟังการวิเคราะห์ของจางเฟิงอย่างอดทน

ตอนที่จางเฟิงรู้ตัว หวังตั้นก็คว้าข้อมือแฟนสาวไว้แล้ว พวกเขาออกจากประตูและวิ่งไปหลายเมตร เขารู้สึกเหมือนได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตมากมายในบ้านผีสิงของเฉินเกอ

ฉันไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนนาย ดังนั้นทางเลือกเดียวที่จะเอาชนะนายได้ก็คือวิ่งเร็วกว่านาย

นี่ไม่ใช่ว่าเขามีพลังชีวิตบ้าบออะไรหรอก หวังตั้นแค่เข้าใจว่าคนที่วิ่งช้าสุดมักจะไปจบลงที่โรงพยาบาลเท่านั้น

ปัง!

ประตูห้องพักผู้ป่วยกระแทกกับผนังอย่างแรง ตอนที่หวังตั้นและแฟนสาวออกจากห้อง พวกเขาก็พบว่ามีขาสีเทาคู่นึ่งยืนอยู่ที่ตรงมุมบันได และที่เพิ่มความกลัวในหัวใจของเขาได้อย่างมากในพริบตา มีขาอีกคู่ปรากฏขึ้น และภายในแค่ 0.1 วินาที ก็มีขาคู่ที่สามปรากฎขึ้น

เมื่อทางไปบันไดถูกขวางเอาไว้ หวังตั้นและแฟนสาวก็ได้แต่วิ่งลึกเข้าไปในโรงพยาบาล ตอนนั้น จางเฟิงก็พุ่งออกมาจากห้องพักผู้ป่วยด้วยเหมือนกัน เขาวิ่งเร็วมากและยังวิ่งอย่างตามืดบอดจนเกือบจะชนเข้ากับกำแพง ก่อนที่เขาจะทันมีสติขึ้นมาอย่างหวุดหวิด เขาก็เห็นผู้ป่วยที่มีผิวสีเทาหลายคนปรากฏตัวอยู่ใกล้ ๆ บันได

เพราะรูปร่างหน้าตาของเขาดีและยังมีพื้นหลังครอบครัวร่ำรวย จางเฟิงจึงไม่เคยประสบกับปัญหาในชีวิตจริง ๆ เลยสักครั้ง และเขาก็ยังเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ในตอนนี้ ในบ้านผีสิงแห่งนี้ เขาก็เป็นดาวเด่นด้วยเหมือนกัน ผู้ป่วยหลายคนที่มีแขนขาบิดเบี้ยวล้วนมองมาที่เขาอย่างสนใจเป็นอย่างยิ่ง

แผ่นหลังของเขานั้นมีบันทึกผู้ป่วยติดเอาไว้เต็ม น้ำตาเริ่มคลอตาจางเฟิง ในที่สุดเขาก็นึกถึงความเอื้อเฟื้อของหวังตั้นขึ้นมาได้ และเขาก็วิ่งตรงไปหา พอได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง หวังตั้นก็วิ่งเร็วขึ้นอีก พวกเขาวิ่งไปตามทางเดินและไปถึงที่ช่องบันไดทางด้านขวาของโรงพยาบาล

ถึงอย่างไรจางเฟิงก็เป็นนักศึกษาการกีฬา และก็ใช้เวลาแค่ไม่นานเขาก็ไล่ตามหวังตั้นทัน ผู้ป่วยทั้งกลุ่มก็ตามหลังพวกเขามาด้วยเหมือนกัน และพวกเขาก็ดูจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ

“พวกเราวิ่งไปด้วยกันอย่างนี้ไม่ได้! พวกเราจะถูกจับตัวได้กันหมด!” หวังตั้นร้องออกมาด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน ในช่วงเวลาอันสำคัญนี้ เขาก็กลายเป็นผู้นำ “เร็ว! ที่แยกถัดไป ตอนที่พวกเราไม่อยู่ในสายตาพวกเขาแล้ว พวกนายสองคนไปซ่อนในห้องพักผู้ป่วยที่สองด้านทางเดิน แล้วฉันจะพยายามล่อพวกเขาไปเอง!”

“หวังตั้น…” แฟนสาวของเขามองเขาอย่างเป็นห่วง และเหมือนจะอยากพูดอะไรสักอย่าง

“ไม่มีเวลาให้เสียแล้ว เร็ว!” เสียสละ ไม่เห็นแก่ตัวเลยสักนิด หวังตั้นกลายเป็นฮีโร่ที่ไม่มีใครเทียบได้ จางเฟิงเองก็ประหลาดใจกับความแมนของหวังตั้นเพราะเขาเองไม่คิดจะอาสาทำอะไรแบบนั้นเด็ดขาด

หลังจากเลี้ยวที่ตรงมุม จางเฟิงก็มุดเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยห้องหนึ่งโดยไม่เสียเวลาสักนิด ตอนที่เขากำลังจะปิดประตูนั่นเอง เขาก็เห็นหวังตั้นจับมือแฟนสาวเอาไว้แล้ววิ่งต่อไป พวกเขาพุ่งไปยังทางออกและไม่ได้มีทีท่าจะหยุดวิ่ง

และที่ทำให้เรื่องเลวร้ายขึ้นไปอีก ผู้ป่วยที่มีร่างกายบิดเบี้ยวและมีรอยประหลาดอยู่บนใบหน้านั้นไม่ได้สนใจจะตามหวังตั้นและแฟนสาวไปเลย กลับกัน พวกเขาทั้งหมดแออัดกันอยู่หน้าห้องของเขา!

ดวงตามากมายจับจ้องอยู่ที่บันทึกผู้ป่วยที่ติดอยู่ทั่วตัวเขา และจางเฟิงก็เข้าใจความจริงของสถานการณ์แล้ว ตอนที่ใบหน้าซีด ๆ เหล่านั้นทะลักเข้ามาในห้อง เสียงกรีดร้องที่ทำให้เลือดแข็งตัวก็ดังก้องไปทั่วโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน

“หวังตั้น! ไอ้เฮงซวย แกวางกับดักฉัน!”

ที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สามของโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน นักไลฟ์สตรีมถือกระเป๋าที่ซิปรูดเปิดอยู่ของตนเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง และมืออีกข้างกำโทรศัพท์เอาไว้ “นี่มันแปลก ไม้เซลฟี่ของฉันไปไหนกัน? ถ้าไม่มีมัน มุมกล้องก็จะไม่กว้างพอจะเห็นทั่ว ๆ และมันยังรบกวนประสบการณ์การมองเห็นถ้าเริ่มไลฟ์”

“นายลืมเอามาหรือเปล่า?” หลีจิ่วเดินอยู่ข้าง ๆ เขา พวกเขาดูเหมือนจะมีแรงจูงใจอื่นในการเข้ามาบ้านผีสิงครั้งนี้

“เป็นไปไม่ได้” เขาค้นกระเป๋าอีกรอบ

“เลิกหาเถอะ พวกเราต้องเริ่มแล้ว ฉันได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาอีกแล้ว ฉันเชื่อว่านักศึกษาพวกนั้นน่าจะถูกนักแสดงของบ้านผีสิงจับตัวได้แล้ว” หลีจิ่วเอาแต่หันไปมองห้องพักผู้ป่วยที่เรียงรายอยู่ริมผนัง “พวกเรากำลังจะไลฟ์สดอยู่ในบ้านผีสิงเพื่อเปิดเผยความลับของที่นี่ ถ้าพนักงานมาเห็นเข้า พวกเขาต้องมาห้ามเราเอาไว้แน่ ๆ”

“ก็ให้พวกเขาทำสิ พวกเขาจะทำอะไรได้? พวกเขาแตะต้องพวกเราต่อหน้ากล้องได้เหรอ?” สีหน้าของโฮสต์นั้นทะมึน และมันก็ต่างไปจากตอนที่เขาอยู่ต่อหน้ากล้องอย่างสิ้นเชิง “นอกจากนี้ ฉันหวังให้พวกเขาแตะต้องตัวพวกเรา อย่างนั้นพวกเราก็จะมีหลักฐานเอาไว้จัดการกับบอสนั่น”

“สวนสนุกแห่งอนาคตต้องการรู้ความลับเบื้องหลังความนิยมของที่นี่ แต่ฉันรู้สึกว่าบอสนั่นมีจุดประสงค์แอบแฝงอยู่เบื้องหลัง” หลีจิ่วกระซิบกระซาบ

“ฉันกำลังจะเริ่มไลฟ์แล้ว นายต้องหยุดสันนิษฐานอย่างไม่มีหลักฐาน” โฮสต์ดึงหยกคุณภาพย่ำแย่หลายชิ้นออกมาจากกระเป๋า หยกพวกนั้นดูเหมือนกันไปหมด แต่ว่าบางอันมีรอยแตกอยู่บนผิว โฮสต์คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจดึงชิ้นที่มีรอยแตกเก้าสายเหมือนมันกำลังจะแตกออกเป็นชิ้น ๆ ออกมาแล้วสวมมันเอาไว้รอบคอ

หลังจากเตรียมการเรียบร้อยแล้ว เขาก็ล็อกอินเข้าไปในแอคเคานท์สำหรับไลฟ์ของตนเอง “พวกเราจะเริ่มต้นตามที่วางแผนเอาไว้ พวกเราจะเผยความลับของบ้านผีสิงแห่งนี้ และนายก็ต้องให้ความร่วมมือกับฉันอยู่เบื้องหลังเพื่อสร้างเอฟเฟ็กต์น่ากลัวสักหน่อย ด้วยความนิยมที่บ้านผีสิงนี้มีบนอินเตอร์เนต ฉันแน่ใจว่าไลฟ์จะดึงดูดความสนใจของคนดูจำนวนมาก”

“ไม่ต้องห่วง ฉันจำบทได้ขึ้นใจแล้ว– ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน” หลีจิ่วให้สัญญาณกับโอสต์และเดินเข้าไปในเงามืด เขารักษาระยะห่างห้าเมตรเอาไว้ โฮสต์เปิดแอพขึ้นมาและเปลี่ยนกล้องให้จับภาพใบหน้าของตัวเอง ตอนที่ไลฟ์เริ่มต้น เขาก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่ง

ความทะมึนบนใบหน้าของเขาหายไป และเขาก็ทำเหมือนตัวเองกำลังตื่นตระหนกและกังวล หลังจากไลฟ์เริ่มเชื่อมต่อได้นิ่งแล้ว เขาก็พึมพำด้วยน้ำเสียงรีบร้อน “สวัสดีครับทุกคน ผมหวงหลาง ต้าหลางเกอของพวกคุณ คนที่รู้จักผมจะรู้ว่าผมน่ะมีสายเลือดนักทำนายที่เก่งกาจและน่าภาคภูมิใจ ผมใช้เวลาหลายปีในการเรียนรู้วิชาทำนายจากปู่ของผม ดังนั้นผมจึงรู้เรื่องเฟิงฉุย ปากว้า และอื่น ๆ อยู่มากทีเดียว

“พวกเราเคยไปบ้านผีสิงกันมาหลายที่แล้ว และพวกเราก็เจอเข้ากับบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ แต่ไม่มีอะไรเทียบได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้”

โฮสต์หนุ่มที่เรียกตัวเองว่าหวงหลางนั้นตระเตรียมทุกอย่างเอาไว้แล้ว หลังจากที่เขาเกริ่นนำจบ เขาก็ดึงกล้องออกไปห่าง ๆ แล้วพูดต่อ “ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านผีสิงของสวนสนุกนิวเซนจูรี่จิ่วเจียงตะวันตก ใช่ บ้านผีสิงที่เป็นที่รู้จักกันบนอินเตอร์เนตว่าให้ประสบการณ์การเข้าชมที่น่ากลัวที่สุด ที่ซึ่งยังไม่มีใครสามารถพิชิตได้!”

เสียงของเขามีความภาคภูมิใจอยู่บาง ๆ “ฉากที่ผมอยู่ในตอนนี้น่าจะเป็นฉากที่พวกคุณส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคย เพราะว่านี่คือฉากระดับ 3.5 ดาว ฉากที่มีความยากสูงที่สุดในบ้านผีสิงแห่งนี้! พวกคุณหลายคนคงจะถาม ว่าทำไมผมถึงได้สิทธิพิเศษเข้าท้าทายฉากระดับ 3.5 ดาวได้เลย? นั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้ แต่เป็นสิ่งที่พวกคุณต้องค้นหาเอานะครับ”

หวงหลางมีรอยยิ้มปริศนาบนริมฝีปาก เขาปรับน้ำเสียง และใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจังอีกครั้ง “ถ้าพูดกันจริง ๆ แล้ว บ้านผีสิงนี้ก็ต่างไปจากที่อื่นจริง ๆ ตอนที่ผมเข้ามาที่นี่ครั้งแรก ก็เกิดบางอย่างขึ้นกับจี้หยกที่เป็นสมบัติของตระกูลของผม ทุกคนครับ ดูนี่สิ”

หวงหลางดึงจี้หยกออกมาจากใต้คอเสื้อ “ตอนที่พวกเราเข้าไปที่สุสานหนานหลิงในซินไห่ครั้งก่อน หยกนี่มีรอยแตกเจ็ดเส้น แต่ดูนี่สิ! ตอนที่ผมเข้ามาในบ้านผีสิงแห่งนี้ ผมก็นับได้ว่ามีรอยแตกอยู่บนหยกถึงเก้าเส้น! นี่เป็นคำเตือนจากบรรพบุรุษของผม! บ้านผีสิงนี่อันตรายมาก!”

จากนั้นเขาก็เก็บจี้หยกลงไปและแสดงต่อ “แต่ถึงมันจะอันตรายอย่างระบุไม่ได้ ผมก็ยังรับความเสี่ยงนี้เพื่อเปิดเผยความลับของบ้านผีสิงที่สมจริงที่สุดให้เพื่อน ๆ ที่รักของผมได้เห็น!”