ชั้นใต้ดินชั้นที่สามนั้นเปียก ปิดทึบ และแสงสลัวราง โฮสต์หวงหลางถือโทรศัพท์ของเขาเอาไว้และเริ่มสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘เปิดเผยความลับ’
“ผมจะไม่แนะนำบ้านผีสิงแห่งนี้เพิ่มเติมนะครับ เพราะแค่ค้นชื่อของที่นี่บนออนไลน์ พวกคุณก็จะพบตำนานมากมายนับไม่ถ้วน แต่ว่ามันก็ยากที่จะบอกว่าเรื่องไหนจริงและเรื่องไหนปลอม
“มีเรื่องผีมากมายที่ขยายออกไปจากแต่ละฉากของที่นี่ อย่างเช่น ตุ๊กตาที่จะตามคุณไปทุกที่ หุ่นนักเรียนที่ปรากฏตัวขึ้นตอนไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ปากกาลูกลื่นที่จะสาปแช่งคุณเมื่อคุณถามเรื่องความรัก และอื่น ๆ อีกหลายอย่าง
“มีเรื่องผีมากกว่านั้น และผมเชื่อว่าทุกคนคงจะอยากรู้ ว่ามีกี่เรื่องที่จริง และมีกี่เรื่องที่ปลอม? วันนี้ ผมนำทุกคนมาที่บ้านผีสิงแห่งนี้เพื่อหาคำตอบด้วยตัวเอง”
เขาดึงกระดาษขาวแผ่นหนึ่งกับปากกาลูกลื่นด้ามหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของเขาและเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยว่าง ๆ ห้องหนึ่ง “เรื่องเกี่ยวกับผีปากกานั้นโด่งดังที่สุดบนอินเตอร์เนต ตามข่าวลือ เป็นผู้ชายที่ชื่อเฟยโหยวเหลียนเป็นคนแรกที่ใช้ความจริงใจของเขาเชื้อเชิญให้ผีปากกาปรากฏตัวขึ้น เขาเป็นคนแรกที่ได้พบกับผีปากกาในบ้านผีสิงแห่งนี้ และเขาก็เป็นผู้เข้าชมคนแรกที่ถูกส่งไปที่โรงพยาบาลหลังจากเข้าชมบ้านผีสิง ตอนนั้น ผู้เข้าชมหลายคนเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ ดังนั้นมันน่าจะเป็นเรื่องจริง”
ชำเลืองมองตรงส่วนพูดคุยแล้วหวงหลางก็วางปากกากับกระดาษลงบนเตียง เขาทำสีหน้าจริงจัง “ตอนนี้ ผมจะเล่นเกมนี้ด้วยตัวเอง ใช่ พวกคุณได้ยินถูกต้องแล้ว ผมจะไลฟ์เกมผีปากกาในบ้านผีสิงที่เต็มไปด้วยเรื่องผีนี่ให้พวกคุณดู!”
บรรยากาศนั้นตื่นเต้นจนถึงขีดสุด หวงหลางวางโทรศัพท์ลงข้างหมอนขณะที่เขานั่งลงที่อีกด้านของเตียง เขาหยิบปากกาลูกลื่นที่เอาติดตัวมาด้วยขึ้นมา
“ทุกคนครับ ผมกำลังจะเริ่มแล้วนะ ผมหวังว่าจะไม่มีใครกะพริบตาในวินาทีต่อไปเพราะว่าผมเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงจูงใจขณะจรดปากกาลูกลื่นเหนือกระดาษขาวอย่างระมัดระวัง “ผีปากกา ผีปากกา คุณคือวิญญาณของผมจากชีวิตก่อน และผมคือวิญญาณของคุณในชีวิตนี้ คุณบอกได้ไหมว่าภรรยาในอนาคตของผมคือใคร?”
ในห้องพักผู้ป่วยมืด ๆ ในบ้านผีสิง ไม่มีอะไรเลยนอกจากความเงียบ ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ หวงหลางนั้นเพ่งสมาธิอยู่ที่ปลายปากกาอย่างเต็มที่ หนึ่งวินาที สองวินาที ตอนวินาทีที่สาม นิ้วก้อยของหวงหลางที่ถูกฝ่ามือของเขาบังพ้นไปจากมุมกล้องก็เคาะที่ปากกา ทำให้ปากกาที่ลอยอยู่เหนือกระดาษขยับช้า ๆ
“ดูสิ เขามาแล้ว!” สีหน้าของหวงหลางนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขามองไปทางกล้องและวางนิ้วชี้ของเขาที่ริมฝีปากทำท่าให้ทุกคนเงียบ เขานั่งอยู่ที่เดิมอีกหนึ่งนาทีโดยไม่ขยับกล้ามเนื้อไหนสักนิดก่อนที่จะลุกขึ้นยืนช้า ๆ
เขาหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาแล้วพลิกไปทางกล้อง ชี้ไปที่เส้นขีดบนนั้น “พวกคุณก็เห็นกับตาตัวเองแล้ว หลังจากผมเริ่มเกม ปากกาก็ขยับด้วยตัวมันเอง! ผีปากกาปรากฏตัวขึ้นแล้ว! ส่วนที่ทำไมเขาไม่อยู่ต่อ ผมเชื่อว่าเป็นเพราะว่าเขากลัวจี้หยกของผม”
เขาหันกล้องกลับเข้าหาตัวเอง หวงหลางกระซิบอย่างหวาดกลัว “ผมรู้ว่าพวกคุณยังไม่เชื่อผม และรอยขีดนี่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรได้มากนัก แต่ว่าผมได้ใช้พลังทำนายของตรวจดูแล้วและพบว่าที่นี่มีพลังหยินมารวมตัวกันอยู่”
หวงหลางเดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วย “ทางเดินนี่มืดมาก บางทีอาจจะเพราะว่ามันสร้างเอาไว้ใต้ดิน เดินผ่านทางเดินนี่คุณจะรู้สึกหนาวเยือก”
หวงหลางหันกล้องไปด้านหลังตัวเอง “ตุ๊กตาและหุ่นไม่ปรากฏตัวขึ้น แต่ผมพบบางอย่างที่น่ากลัวกว่านั้น”
เขาชี้ไปที่ประตูบนทางเดิน “ตอนที่ผมเข้าไปในห้องก่อนหน้านี้ ประตูห้องพักผู้ป่วยหลายห้องนั้นเปิดแง้มเอาไว้ แต่ตอนนี้ ลองดูอีกครั้งสิครับ ประตูส่วนใหญ่ถูกเปิดกว้างแล้ว! มันเหมือนมีบางอย่างหนีออกมาจากห้องพวกนี้!”
ข้อความในส่วนพูดคุยไหลไปอย่างรวดเร็ว คนดูบางคนสังเกตเห็นความแตกต่างนี้เหมือนกันและเริ่มต้นให้ความเห็นของตัวเอง แน่นอนว่า บางคนยังสงสัยอยู่ เชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นการแสดงของหวงหลาง
“ผมรู้ว่าพวกคุณหลายคนยังไม่เชื่อผม ดังนั้นผมจะใช้วิธีการที่ปู่ของผมสอนมาหาหลักฐานให้พวกคุณดู อันที่จริง ปู่ของผมก็เตือนผมแล้วว่าให้ใช้มันเฉพาะเวลาฉุกเฉินเท่านั้น แต่ว่าทุกคนครับ ผมจะลองใช้มันดูวันนี้” อันที่จริง หวงหลางนั้นไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด เขาเตรียมบทเอาไว้กับหลีจิ่วเรียบร้อยแล้ว และเขาก็เชื่อว่าเป็นหลีจิ่วที่เปิดประตูพวกนี้
“วิธีการนี้เรียกว่า เดินผ่านประตูหยิน หรือ ป้อนข้าวหยิน นั่นเอง” หวงหลางดึงเอาถุงสีดำใบเล็ก ๆ ใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า มันดูเปียกอย่างประหลาด และเปิดมันออกเผยให้เห็นข้าวขาวกองหนึ่ง “คุณจะวางข้าวหยินเอาไว้ที่ทางแยก และจากนั้นก็เดินไปตามทางเดิน ผ่านประตูบานอื่น ๆ พอคุณไปถึงประตูบานที่สี่ ก็วางข้าวไว้ที่ประตู เดินเข้าไปในห้อง แล้วย่ำเท้าสี่ครั้ง
“หลังจากนั้น ก็โปรยข้าวสองสามเมล็ดเอาไว้ในห้องแล้วเดินกลับออกไป ถ้ารูปแบบของข้าวที่นอกประตูต่างไปจากตอนที่คุณวางมันเอาไว้ก่อนหน้านี้ ก็ให้เข้าไปในห้องอีกครั้งแล้วทำซ้ำกระบวนการเดิมสี่ครั้ง ถ้าที่นี่มีผีสิงจริง ๆ ตอนที่คุณเดินเข้าไปในห้องเป็นครั้งที่สี่ คุณจะได้เห็น ‘คนแปลกหน้า’ เพราะว่าคุณไม่ได้กำลังเข้าไปในบ้านของคุณเอง– คุณเดินทางผ่านประตูหยินพร้อมกับ ‘พวกเขา’
“นี่คือวิธีการที่บรรพบุรุษของผมใช้ในการตรวจสอบบ้านผีสิง แน่นอนว่า อย่าได้ลองทำเองที่บ้าน ผมไม่อยากเห็นพวกคุณคนไหนได้รับอันตราย”
หลังจากพูดทั้งหมดนี่แล้ว หวงหลางก็เดินไปที่บันไดและวางข้าวเอาไว้เป็นกองนูนที่ปากบันได น่าประหลาด หลังจากที่เขาผละออกมา กองข้าวนั่นก็ลดขนาดลงอย่างน่าสงสัย
“และพวกเราก็จะเริ่มกันเลย” หวงหลางสูดลมหายใจลึก และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปราวกับเขากำลังจะทำสิ่งที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง เขาวางเมล็ดข้าวเอาไว้ที่ด้านนอกประตูห้องพักผู้ป่วยห้องที่สี่และจากนั้นก็เปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปในนั้น
เขาส่องกล้องไปรอบ ๆ ห้องเพื่อให้เห็นทุกอย่าง “ผมขอให้ทุกคนจดจำตำแหน่งของวัตถุในห้องนี้เอาไว้เพราะพวกมันอาจจะเกิดการเปลี่ยนตำแหน่งในภายหลัง”
ข้อความตรงส่วนพูดคุยแน่นเต็มไปหมด หวงหลางยึดโทรศัพท์เอาไว้บนเตียง และมันก็เป็นมุมที่ส่องไปทางประตูอย่างชัดเจนที่สุด
“ระวังด้วย อาจจะมีคนแปลกหน้าเข้าห้องมาได้ในภายหลัง” เขาเตือนและเดินออกไปจากห้อง หลังจากวางเมล็ดข้าวแล้วเขาก็ปิดประตู
ตอนที่ประตูปิด ตัดเขาออกจากกล้อง หวงหลางก็ดึงโทรศัพท์อีกเครื่องออกมาโทร หลังจากเสียงสัญญาณดังสองครั้ง เขาก็วางสาย นี่เป็นรหัสที่เขาตกลงไว้กับหลีจิ่ว เขามองไปทางที่ซ่อนของหลีจิ่ว แต่ฝ่ายหลังกลับไม่มีท่าทีจะตอบสนองอะไรกลับมา
“เขาไปไหนน่ะ? ยังแต่งหน้าอยู่เหรอ?” หวงหลางนั้นไม่กล้าหายไปจากการไลฟ์นานเกินไป สองสามวินาทีต่อมา เขาก็เปิดประตูออกแล้วเดินไปยังกล้องด้วยสีหน้ารีบร้อน “ผมคิดว่าผมได้ยินเสียงฝีเท้า! เสียงมาจากทางบันได! มีบางอย่างกำลังมา และมันก็กำลังมาหาผม!”
จากนั้นหวงหลางก็วางข้าวลงไปอีกเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยอีกครั้ง เขามองไปตามทางเดิน และมันก็เงียบสนิทราวกับทะเลสีดำ เขาใช้โทรศัพท์โทรหาหลีจิ่วอีกครั้ง สัญญาณดังสี่ครั้ง และก็ไม่มีการตอบรับ “เขาทำอย่างนี้กับฉันในเวลาแบบนี้น่ะเหรอ?”
หวงหลางเริ่มกระวนกระวายและรู้สึกเหมือนหลังคอของเขาเริ่มคันยิบ “เขาไม่รับสาย เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือเปล่า?”
เขาเกาหลังคอแรง ๆ “แล้วทำไมมันถึงรู้สึกเหมือนมีใครนั่งอยู่บนบ่าฉันเลยเนี่ย?”