ปี้หลิงเทียนพิจารณาคำขอของซือหยู
“ตำราหยินของม่อจือเต๋านั้นเนื้อหากว้างขวางลึกซึ้งหากน้องซือปรารถนาจะบ่มเพาะไปพร้อมกับข้า ข้าก็ยิ่งกว่าเต็มใจ ข้าให้ฉบับคัดลอกได้”
“แต่น้องซือข้อสองที่เจ้าต้องการน่ะไร้เหตุผล! เทียนหยูเป็นของมีดสวรรค์ ส่งนางให้เจ้าคือการทำลายชื่อเสียงของเรา ข้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินเรื่องนั้น”
ซือหยูหัวเราะอย่างเย็นชา
“ข้าจะต้องการตัวนางไปทำไม?นางมันก็แค่เศษขณะที่พ่ายแพ้กระบี่พวกนั้น ตำหนักโลหิตไม่ต้องการนำขยะมาใช้ใหม่ พวกเรายินดีนักที่พวกเจ้าเห็นนางเป็นดั่งสมบัติ”
เทียนหยูละอายใจและแค้นนางมองซือหยูอย่างดุร้าย!
“โอ้?เช่นนั้น เจ้าจะเอ่ยถึงนางทำไมกัน?” ปี้หลิงเทียนถาม
ซือหยูจ้องเทียนหยูและพูดช้าๆ
“ข้าแค่อยากให้นางตอบคำถามข้านางหวังว่านางจะตอบอย่างจริงใจ”
คำถามรึ?ปี้หลิงเทียนคิดและพยักหน้าเบา ๆ
“เทียนหยูจงตอบให้ดีที่สุด”
เทียนหยูไม่พอใจมาก
“ว่ามา!”
“เทียนเหรินเหยาเป็นอย่างไรบ้าง?นี่คือคำถามของข้า”
แววตาซือหยูดูเศร้าหมองเทียนเหรินเหยาคือหนึ่งในห้าอสูรแห่งเขาอสูรคนเดียวที่มิอาจรู้เป็นตายร้ายดี เทียนเหรินเหยาอาจจะตายไปแล้วก็ได้
เทียนหยูตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อยนางตอบด้วยความลังเล
“ข้าไม่รู้จักเขา” ซือหยูพยักหน้า
“เอาเถอะข้าอยากถามแค่นั้น”
ปี้หลิงเทียนมองเทียนหยูด้วยความงุนงง
“เช่นนั้นเราก็พักได้รอจนกว่าหอวิชาจะเปิด”
เขายกมือโยนสร้อยหยกที่มีตำราหยินให้ซือหยู
“ข้าต้องการตรวจดูกับต้นฉบับ”
ซือหยูปัดสร้อยหยกกลับไป
ปี้หลิงเทียนรับสร้อยหยกกลับพร้อมยิ้มเขาบีบมันเป็นเสี่ยง ๆ และคัดลอกอีกฉบับ
ดูเหมือนว่าฉบับก่อนจะไม่ใช่แบบสมบูรณ์
มีเพียงการอ่านจากต้นฉบับเท่านั้นจึงจะแน่ใจได้ว่าสร้อยหยกใหม่นั้นมีเนื้อหาอยู่ครบถ้วนอย่างที่ซือหยูต้องการเขาเอนกายกับหอคอยพร้อมกับพวกคนตำหนักโลหิต
“นี่ทำไมเจ้าถึงถามเทียนหยูเรื่องเทียนเหรินเหยาล่ะ?”
ปิงหวูชิงถามด้วยความสงสัย
ซือหยูเอนกายกับกำแพงหอคอย
“มันเป็นแค่ความคิดหนึ่งแต่ตอนนี้ข้ามั่นใจแล้ว”
“เรื่องอะไรกัน?”
ปิงหวูชิงมองซือหยูด้วยดวงตาสดใสไม่กระพริบ
ซือหยูตอบอย่างเคร่งเครียด
“ข้าจะไม่บอกเจ้าหรอก”
“ไปตายซะ!”
นางชกแขนซือหยู
เป๊าะ!
“นังบ้าเจ้าจะไม่โหดร้ายไปหน่อยเรอะ? กระดูกข้าหักแล้ว!”
“ไสหัวไปหอวิชากำลังเปิดแล้ว!”
เหล่ายอดฝีมือถูกเสียงประหลาดรบกวนและหันไปมองพวกเขาเข้ามารวมตัวจนเต็มฟ้า นับจำนวนคร่าวๆ ได้ถึงหมื่นคน
เหล่ายอดฝีมือมาที่นี่เกินครึ่งหากรวมกันอาจมีมากกว่าสองหมื่นคน
“พวกยอดฝีมือเยอะอย่างกับสุนัข!”
ซือหยูบ่น
“เจ้าเรียกใครว่าสุนัข?”
ปิงหวูชิงจ้องเขาอย่างไม่พอใจ
“โฮ่ง!”
เสียงสุนัขเห่าดังขึ้นมา
เมื่อหันไปมองทั้งคู่เห็นสุนัขสีดำนั่งอยู่ที่หน้าประตูหอวิชา
“ปลอกคอหมาใครหลวมล่ะ?”
ซือหยูเหลือบมองรอบๆ
“หึหึใครจะกล้าล่ามหมาของปู่เจ้ากันล่ะ?”
จู่ๆ ก็มีเสียงถากถางออกมาจากปากสุนัข
“หึพูดภาษามนุษย์รึ? นี่ไม่ใช่ในนิยายนะ! นิยายที่ว่าหมาเสียเจ้าของไปแล้วไม่ได้กลับบ้าน มารักคนที่กำลังสิ้นหวังที่สุด ข้าไม่ได้ฉลาดนัก แต่ข้าจะลองทำดีนำความอบอุ่นมาสู่โลกสักครั้ง”
ซือหยูพูด
เขายื่นมือจับสุนัขตัวดำแต่สิ่งที่ผุดขึ้นมาในใจคืออาหารจานอร่อย แม้แต่เทพเจ้ายังประทับใจเนื้อสุนัขต้ม
สุนัขดำแยกเขี้ยว
“ความอบอุ่นบัดซบน่ะสิ!เจ้ากำลังคิดถึงเนื้อสุนัขใช่ไหม? ใช่ไหม?”
ซือหยูสีหน้าหม่นหมอง
“เจ้าเข้าใจผิดแล้วชายหนุ่มรูปหล่อตรงหน้าเจ้าเป็นมังสวิรัติ”
“ไสหัวไป!”
สุนัขดำคำรามและวิ่งหายไปในหมอกควันมันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ซือหยูเซี่ยนเจ้าพูดกับใครกัน?”
ปิงหวูชิงฝ่าฝูงคนมาหาเขา ซือหยูยักไหล่
“สุนัขหลงทางน่ะข้ากำลังชี้ทางสว่างให้มัน”
“สุนัขสีดำรึ?”
ปิงหวูชิงงงงวยนางส่ายหน้าและพูด
“หอวิชากำลังจะเปิดอย่าไขว้เขว เราจะต้องพยายามขึ้นหอคอยไปให้ได้”
ซือหยูไม่ค่อยรู้เรื่องหอวิชามากนัก
“ข้างในนั้นเป็นยังไงหรือ?”
ปิงหวูชิงถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง
“ข้าลืมไปว่าเจ้าเพิ่งมาถึงและยังไม่รู้เรื่องหอวิชา”
คนอื่นมาถึงก่อนซือหยูพวกเขาได้รับข้อมูลรายละเอียดเรื่องหอวิชาจากยอดฝีมืออื่นมาแล้ว
“หอคอยจะแบ่งเป็นร้อยชั้นแต่ละชั้นจะมีจ้าวชั้นหนึ่งคนที่มีพลังมาก!”
“เจ้าจะเก็บสะสมคะแนนได้จากการเอาชนะจ้าวชั้นเจ้าจะได้แก้วของจ้าวชั้นที่ตายไป!”
“เรื่องที่สองเราจะถูกแยกโดดเดี่ยวเมื่อเข้าไปในหอคอย! เรื่องที่สาม เวลาด้านในหอคอยจะช้ากว่าปกติ ในสามสิบชั้นแรก เวลาจะช้ากว่าโลกภายนอกสามในสิบเท่า สามสิบชั้นต่อไปจะช้าลงอีกสามในสิบเท่า อีกสามสิบชั้นจะช้าลงสองเท่า”
“ในสามสิบชั้นสุดท้ายเวลาในแต่ละชั้นจะช้ากว่าเดิมเป็นเท่าตัว! วิชาการเคลื่อนไหวของเราจะถูกจำกัดอย่างรุนแรง”
ซือหยูทึ่งเมื่อได้ฟังสองเรื่องแรกนั้นแปลกใหม่สำหรับเขา แต่เรื่องสุดท้ายนั้นฟังดูน่าตกใจ มีพลังเวลาอยู่ด้านในหอวิชาด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับสิ่งที่มีพลังเวลานอกจากตัวเขา
“ข้าอยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้”
ปิงหวูชิงถอนหายใจแม้ว่านางจะเบื่อ นางก็อธิบายอย่างอดทน “หลังจากจ้าวชั้นพ่ายแพ้แก้วจะหล่นมาจากพวกเขา แก้วเหล่านั้นคือสมบัติที่เซียนมณีเป็นผู้ออกแบบ พวกมันคล้ายกับแหวนมิติและเก็บสมบัติได้มากมาย”
“มูลค่าของสมบัติในแก้วแต่ละชั้นจะเทียบเท่ากับจำนวนชั้นยิ่งเจ้าไปสูงเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีของล้ำค่าในแก้วมากขึ้น! และกับจ้าวชั้นทุกคนที่เจ้าเอาชนะ เจ้าจะเก็บสะสมเป็นคะแนน จำนวนคะแนนจะใช้กับแก้วที่ตอบสนองได้”
ปิงหวูชิงอธิบาย
“ถ้าเช่นนั้นเราก็ควรจะเก็บคะแนนเพื่อใช้แก้วในชั้นที่ร้อยสินะ?”
ซือหยูถาม
ปิงหวูชิงกลอกตาหาเขา
“ฝันไปเถอะ!ตั้งแต่อดีตจนถึงวันนี้ จำนวนยอดฝีมือที่ผ่านร้อยชั้นนับได้ด้วยมือเดียว! สุดท้ายคนเหล่านั้นก็กลายเป็นราชาเก้าเขต!” “นภาจรัสอย่างฮั่นเฟยยังถือว่าโชคดีเลยถ้าไปถึงชั้นเก้าสิบมันคือขีดจำกัด!”
ดูเหมือนว่าการได้แก้วในชั้นที่หนึ่งร้อยจะเป็นเรื่องเพ้อฝัน
“แต่เจ้าพูดถูกเรื่องนึงนั่นคตือเราต้องเก็บคะแนน! แก้วในชั้นล่างไม่มีอะไรน่าสนใจนัก อย่าเปลืองคะแนนกับของพวกนั้น!”
“เราต้องเก็บคะแนนทั้งหมดและสุดท้ายในตอนที่หอวิชาจะปิด เราจะได้มารวมตัวกันอีกครั้ง ทุกคนจะแสดงแก้วแต่ละชั้นที่ได้มาและใช้พร้อมกัน”
อย่างเช่นถ้ามีคนไปถึงชั้นสิบและเก็บได้ห้าสิบห้าคะแนน จากตำนวนคะแนนที่ได้ พวกเขาจะมีโอกาสใช้แก้วของชั้นห้าสิบห้าได้
แม้เขาจะไปไม่ถึงชั้นห้าสิบห้าก็ไม่จำเป็นหากมีผู้แข็งแกร่งจากสำนักเดียวกันไปถึงชั้นเจ็ดสิบ เขาจะมีแก้วส่วนเกินจากห้าสิบห้าชั้นแรก เขาจะให้แก้วเหล่านั้นเป็นของขวัญกับอีกคนได้ มันคือสถานการณ์ที่ไม่มีใครได้ใครเสีย! “อย่างนี้นี่เองแล้วหอวิชาจะเปิดนานเท่าไหร่ล่ะ?”
ซือหยูถาม
ปิงหวูชิงตอบ
“จากบันทึกในอดีตมันจะเปิดสิบวันในแต่ละครั้ง”
“แล้วถ้าจัดการทุกชั้นได้ในสิบวันจะขึ้นหอคอยใหม่เป็นรอบที่สองได้ไหม?”
ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวซือหยู
ปิงหวูชิงผงะหลัง
“เจ้าจะเพ้อไปกันใหญ่แล้ว!ตามทฤษฎีน่ะเป็นไปได้ แต่จากเวลาที่จำกัดมันก็คงจำเป็นไปไม่ได้ ราชาเขตในอดีตยังทำไม่ได้เลย”
ซือหยูตาเป็นประกายแน่ใจรึว่าเขาจะทำสิ่งที่ราชาเก้าเขตล้มเหลวสำเร็จไม่ได้?