“พอจบสิบวันทุกคนจะถูกส่งกลับมาที่ชั้นแรก พอกลับมาเจอกันอีก เราจะพยายามใช้แก้วกับคะแนนให้ดีที่สุดเพื่อสำนักของเรา”
ปิงหวูชิงสรุป
“คำถามสุดท้าย”
ซือหยูลูบคาง
“จ้าวชั้นแต่ละชั้นมีพลังต่างกันแค่ไหน?”
การลดความเร็วของเวลาคือเงื่อนไขหนึ่งที่เป็นความยากในหอวิชาและพลังของจ้าวชั้นก็นับเป็นอีกปัจจัยเช่นกัน
“ถามได้ดี”
ปิงหวูชิงชมเชย
ซือหยูเงี่ยหูฟังศิษย์ในคนอื่นเองก็เช่นกัน
“เพราะข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ซือหยูพูดไม่ออก
ปิงหวูชิงทิ้งช่วงสักระยะก่อนจะพูด “ข้าได้ข้อมูลจากคนอื่นมาน้อยนักมันดีอยู่แล้วที่เรารู้มากขนาดนี้ เจ้ายังไม่พอใจอะไรอีก?”
“ฮ่าเจ้าแค่ยอมรับว่าเจ้าคุยกับคนอื่นไม่เป็นเท่านั้น ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากไปได้”
ปิงหวูชิงหัวเราะอย่างน่ากลัว
“เจ้าคิดว่ามันง่ายอย่างที่เจ้าคิดรึ?พวกคนแปลกหน้าระแวงดินแดนพรสวรรค์ ไม่ต้องพูดถึงพวกมีดสวรรค์ ช่างสวรรค์ กับเขตกลาง พวกมันทำเหมือนกับว่าเราเป็นโจร”
“สำนักใกล้เคียงเราก็น่าห่วงตำหนักเมฆาม่วงยังรวมตัวกันไม่ได้แม้จะมาที่เดียวกันกับพวกเรา พวกนั้นเข้าใจหอวิชาดีกว่าเรามาก แต่พวกนั้นไม่ยอมบอกอะไรเราแม้แต่นิดเดียว! เรื่องที่ข้าบอกเจ้าคือสิ่งที่ข้าแอบได้ยินมา ถ้าหากถามตรง ๆ ก็จะไม่มีใครบอกอะไรเราเลย”
ซือหยูส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ
“จริงรึ?ไหนข้าขอลองดูหน่อย!” “เจ้ารึ?เวลากำลังจะหมดแล้ว ไม่ง่ายแน่ไม่ว่าจะกับสำนักไหน”
ปิงหวูชิงไม่คิดเลยว่าซือหยูจะหาข้อมูลเรื่องหอวิชามาได้ไม่มีใครจะยอมบอกข้อมูลให้กับศัตรูอยู่แล้ว จริงไหม?
“ใครบอกว่าข้าจะแอบฟังพวกเขา?”
ซือหยูหัวเราะและบินไปที่ยอดหอคอย
ในขณะที่ทุกคนจ้องมองทางเข้าชั้นแรกการกระทำของซือหยูนั้นน่าสงสัยมาก
“พี่น้องทั้งหลายข้าคือซือหยูเซี่ยน ศิษย์ตำหนักโลหิตแห่งดินแดนพรสวรรค์ ข้ามาที่นี่เพื่อขอน้ำใจพวกท่านชี้แนะรายละเอียดของหอคอยต่อข้า หากรู้สิ่งใดโปรดมีน้ำใจบอกข้าด้วยเถิด”
ซือหยูพูดอย่างสุภาพ
เหล่าผู้คนงุนงงไม่นานหลังจากนั้นเขาก็จ้องซือหยูเหมือนเห็นเขาเป็นคนโง่
“เจ้าบ้าเอ้ย!”
“ถ้าข้าบอกอะไรเจ้าก็เรียกข้าว่าไอ้โง่ได้เลย!”
“ตลกสิ้นดีใครที่บอกข้อมูลกับเขาจะต้อง…”
ปิงหวูชิงกับศิษย์ในคนอื่นหน้าแดงด้วยความอับอาย
บัดซบช่างน่าละอายนัก!
พวกเขาคิดจะสะบั้นกระบี่ใส่ซือหยูเพื่อสะบั้นความสัมพันธ์ฉันท์คนร่วมสำนัก
“แน่นอนว่าข้าจะไม่ทิ้งน้ำใจพวกท่านให้สูญเปล่านี่คือผ้าพันคอของแม่นางตงฟาง หากคำตอบทำให้ข้าพอใจ สิ่งนี้จะกลายเป็นของเจ้า”
ซือหยูหยิบผ้าพันคอออกมา
เหล่าคนที่มองเขาด้วยความเหยียดหยามชักสีหน้าหลายคนอยากที่จะได้ผ้าผันคอผืนนั้น
ตงฟางเถียนเฟิงแตะผ้าพันคอที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของนางด้วยความสับสนนางงุนงงอย่างมาก “เมื่อไหร่….ข้าให้ผ้าพันคอของข้ากับเจ้าไปตั้งแต่ตอนไหน?”
ตงฟางเถียนเฟิงย่อมต้องไม่พอใจอยู่แล้วที่ถูกคนอื่นอ้างชื่อตัวเอง
ซือหยูยิ้มให้นาง
“เจ้าลืมไปแล้วหรือแม่นางตงฟาง? หลังจากเราสนุกกันเมื่อคืน เจ้าใช้ผ้าพันคอนี้เช็ดเหงื่อเจ้าแล้วทิ้งเอาไว้”
ตงฟางเถียนเฟิงตกตะลึงเดี๋ยวก่อน สนุกกันเมื่อคืนที่เขาพูดถึงมันหมายความว่ายังไงกัน?
แต่ก่อนที่นางจะโต้แย้งนางก็เห็นใบหน้าเข้าอกเข้าใจของเหล่ายอดฝีมือใกล้หอคอย
เจ้าสารภาพเองถึงสองครั้งจะแปลกอะไรเล่าหากทิ้งผ้าพันคอไปสักผืน?
เมื่อพวกเขาได้ยินว่ามีผ้าพันคอที่มีกลิ่นของตงฟางเถียนเฟิงเพราะนางใช้ทำความสะอาดตัวนางคนก็เก็บความร้อนรุ่มไม่ได้อีกต่อไป “ฮ่าๆ ยังไงเรื่องหอคอยก็ไม่ใช่ความลับอยู่แล้ว น้องซือ ข้าจะบอกเจ้าเอง!”
จ้าวเทวะระดับเจ็ดคนหนึ่งที่หน้าเป็นหลุมบ่อพูดเขาแต่งตัวเหมือนกับขอทาน
“คางคกเหวินเจ้าเทียบกับข้าในเรื่องความรู้ไม่ได้หรอก! เรื่องสำคัญเช่นนี้ต้องเป็นหน้าที่ข้า!”
“ไร้ยางอาย!คนโสโครกอย่างเจ้าจะคู่ควรเรอะ? น้องซือ ผ้าพันคอกลิ่นเหงื่อนั่…อะแฮ่ม ผ้าพันคอผืนนั้นน่ะ ข้ารู้สึกว่ามันกวักมือเรียกข้านะ”
“บางทีเราอาจได้รู้ความหมายของโลกใบนี้จากผ้าพันคอนั่นอาจได้รู้ซึ้งถึงวิถีแห่งการบ่มเพาะ! น้องซือ ข้าหวังว่าเจ้าจะสนับสนุนข้า มาแลกเปลี่ยนความรู้กันเถอะ!”
…
ดูจากเสียงตอบรับของเหล่าบุรุษแล้วช่างน่าประทับใจ
ด้วยเหตุนี้ซือหยูจึงได้ข้อมูลเกี่ยวกับหอคอยอย่างง่ายดายโดยไม่น่าเชื่อ เขามีข้อมูลมากเสี่ยยิ่งกว่าสำนักส่วนใหญ่เสียอีก
สุดท้ายผ้าพันคอก็ตกเป็นของชายหนุ่มคนหนึ่งผ้าพันคอของนภาจรัสมีเจ้าของแล้ว
“เจ้าไปเอาผ้าพันคอมาจากไหน?ข้าเคยเห็นมันมาก่อนนะ!”
ปิงหวูชิงจ้องมองผ้าพันคอ novel-lucky
ซือหยูยักไหล่
“เจ้าก็ต้องเคยเห็นสิมันคือผ้าที่ข้าใช้เช็ดเท้ายังไงล่ะ!”
ปิงหวูชิงอึ้ง
“เอาเถอะข้าได้ข้อมูลเรื่องหอคอยมามากทีเดียว มันไม่ต่างจากที่เจ้าบอกมาเท่าใดนัก แต่มีข้อมูลบางอย่างที่สำคัญที่เจ้าไม่รู้อยู่ด้วย”
ซือหยูไม่รอช้าก่อนจะบอกสิ่งที่ได้รู้
“เรื่องแรกจ้าวหอทุกชั้นจะมีพลังระดับเดียวกัน!” ปิงหวูชิงตกใจมาก
“เป็นไปได้ยังไง?ถ้าจ้าวหอมีพลังเท่ากัน แล้วมันจะต่างอะไรในสามสิบชั้นแรก?”
“จ้าวหอคนเดียวกันเวลาช้าลงเทียบเท่ากัน ความยากเท่ากัน ผ่านชั้นเดียวก็ไม่ต่างจากผ่านชั้นสามสิบ”
“เจ้าฟังก่อนนี่คือเรื่องที่สอง คือมันมีเวลาจำกัด ในสามสิบชั้นแรก ยิ่งเจ้าขึ้นไปมากเท่าใด เวลาในการเอาชนะจะยิ่งจำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ!”
“เช่นหากเจ้าเอาชนะจ้าวชั้นแรกในหนึ่งชั่วโมง ในชั้นที่สองเจ้าจะเหลือเวลาสี่สิบห้านาทีในการเอาชนะ จะเหลือครึ่งชั่วโมงในชั้นที่สาม เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ พอถึงชั้นสามสิบ เจ้าอาจจะเหลือเวลาแค่ไม่กี่ลมหายใจ นี่คือความยากของหอคอย!”
ปิงหวูชิงใบหน้าวิตก
“ถ้าเช่นนั้นเราก็มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วหอคอยสามสิบชั้นแรกไม่ต่างกับข้ามน้ำเชี่ยวเลย”
ซือหยูพยักหน้า
“ใช่ยังมีอีกเรื่องที่ต้องระวัง หอคอยไม่สามารถป้องกันวิบัติตำราและวิบัติวิชาได้ ระหว่างที่ผ่านหอคอย เราอาจต้องรับมือกับวิบัติเหล่านั้นด้วย”
ศิษย์ในขมวดคิ้วแน่นบัดซบ นี่มันยากกว่าที่พวกเราคิดเป็นร้อยเท่า!
ถ้าพวกเขาคาดว่าจะผ่านด้วยคะแนนหกสิบตอนนี้มันก็ลดลงมาเหลือสิบหกแล้ว!
“นี่คือรายละเอียดทั้งหมด”
ซือหยูพูดและยืนขึ้น
“เงื่อนไขมันยากลำบากไปกันเถอะทุกคน!”
…
หลังจากบอกข้อมูลให้ทุกคนแล้วภาพลักษณ์ของซือหยูต่อศิษย์ในนั้นดีขึ้นมาก พวกเขามองซือหยูเป็นคนใหม่แล้ว “ผูกมิตรกับสองนภาจรัสได้ในวันเดียวหึหึ พวกเราทำได้แค่ริษยาความนิยมของศิษย์น้องซือแล้ว!”
“จากที่ข้าคิดศิษย์น้องซือได้ป่าวประกาศเกียรติยศของเจี๋ยนอู๋เชิงในวันนี้แล้ว การได้สตรีที่สองแห่งตระกูลบูรพามาครองนั้นพิสูจน์ได้ดี การขึ้นเป็นวีรบุรุษครั้งนี้ไม่ทำให้เจี๋ยนอู๋เชิงผิดหวัง เขาคือคนสมบูรณ์แบบที่จะเป็นแบบอย่างแก่พี่น้องในตำหนักโลหิต!”
“เขายังคิดอ่านได้รวดเร็วคนเฉลียวฉลาดเช่นนี้ใช้กลไม้ใดก็ย่อมเพิ่มโอกาสจับปลาได้มาก เราควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!”
“ในสำนักเขามีปิงหวูชิง พอมานอกสำนัก เขามีตงฟางเถียนเฟิง เขายิ่งใหญ่ทั้งในและนอก เรื่องเช่นนี้ควรมีคนอื่นได้รับรู้”
“ข้าเห็นด้วย!”
“บ้าที่สุด!”
ศิษย์สตรีหน้าแดงด้วยความโกรธกับสิ่งที่ซือหยูเคยได้รับในอดีต “ศิษย์น้องเราเป็นบุรุษที่มีพลังมหาศาลมีเกียรติและยิ่งใหญ่! ใยพวกเจ้าถึงเคยพูดจาเช่นนั้นกับเขากัน?”
“บอกข้ามาพวกเจ้าเป็นสายลับจากศัตรูหรือไม่?”
เหล่าชายหนุ่มตะลึงพวกนางหมายถึงความยิ่งใหญ่ของผ้าพันคอติดกลิ่นหรือยังไง?