จากห้วงเวลาฯแห่งนั้น

 

หลังจากจ้องมองไปยังคำที่คุ้นเคยและตราสัญลักษณ์ทั้งสอง ซูจิ้งได้นึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้เห็นในระหว่างจัดการขยะกองนี้ออกมาจากความทรงจำของเขา ก่อนที่ตาของเขาจะเป็นประกายเพราะรู้แล้วว่ามาจากไหนเขาจึงได้พูดเบาๆอกมาว่า “ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด ขยะห้วงเวลาฯกองนี้น่าจะมาจากห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจนะ”

 

ห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจนั้นจากที่เขาเคยอ่านมานั้นเขาคาดการณ์ได้ว่ามันทรงพลังยิ่งกว่าห้วงเวลาฯวอร์คราฟท์ได้ถึงห้าถึงหกเท่า นอกจากเป็นห้วงเวลาฯที่เต็มไปด้วยเวทมนต์ การรบราฆ่าฟัน เหล่าออร์ค มังกร และมนุษยต้นไม้เหมือนห้วงเวลาฯวอคราฟท์แล้ว ที่นั่นยังมีพระเจ้าลงมาเดินเล่นอยู่ทั่วไป มีอาณาจักรมนุษย์ที่ชื่อว่าอาณาจักรโรแลนด์มีผู้นำชื่ออรากอนโรแลนด์

 

ในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจนั้น เหล่าผู้วิเศษถือได้ว่าเป็นตัวตนที่ทรงคุณค่ามากที่สุดนั่นก็เพราะว่ามีพวกเขาเป็นกำลังรบที่สำคัญ

ผู้วิเศษหนึ่งคนเทียบได้กับทหารหนึ่งกองทัพถ้าพวกเขาได้เรียนรู้เวทมนต์ระดับกลาง

นั่นทำให้เหล่าผู้วิเศษส่วนใหญ่ขวนขวายหาวิชาความรู้ด้านเวทมนต์หรือไม่ก็คิดค้นทฤษฎีเวทมนต์ใหม่ๆอยู่เสมอ

แต่ผู้วิเศษที่นั่นไม่ใช่พวกหลงไหลในเงินทองซักเท่าไหร่นัก เพราะว่ามีเวทมนต์อย่างจำพวกการเล่นแร่แปลธาตุที่ให้พวกเขาเสกทองได้เท่าที่พวกเขาต้องการ

 

ตอนนี้เขาจึงไม่ได้แปลกใจอะไรที่กล่องที่เขาเจอก่อนหน้านี้เต็มการประดับประดาและสร้างจากสิ่งหรูหรา แม้กระทั่งฝังอัญมณีเอาไว้ประดับประดา

กล่องพวกนั้นสมควรมีไว้เก็บอุปกรณ์เวทมนต์เฉยๆต่อให้แตกหักไปซักร้อยใบก็แค่โยนทิ้งแล้วหาใหม่แค่นั้นเอง

อัญมณีพวกนั้นเองก็สมควรจะเป็นอัญมณีเกรดต่ำสำหรับในสายตาเหล่ผู้วิเศษที่นั่นเช่นเดียวกันเพราะว่าพวกมันไม่ได้ให้ความรู้สึกว่ามีเวทมนต์แฝงอยู่ภายในแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับในห้วงเวลาฯวอคราฟท์เพราะพวกมันไม่ได้มีเวทมนต์แฝงอยู่เหล่าจอมเวทย์ที่นั่นก็ไม่ได้สนใจเช่นเดียวกัน

รวมถึงการที่กล่องพวกนั้นทำจากไม้มีมูลค่าและหายากสำหรับโลกมนุษย์แต่สำหรับที่นั่นแล้วก็แค่ไม้ธรรมดาทั่วไป หาได้ง่ายๆ หักทิ้งหักขว้างก็ยังได้

 

เจ้าหนูยักษ์ที่ใช้เวทความเย็นนั่นได้เองแน่นอนว่ามันไม่ได้มาจากห้วงเวลาฯวอคราฟท์ มันสามารถใช้เวทน้ำแข็งได้น้ำสมควรจะมาจากกฎแห่งดินแดนน้ำแข็งที่มันได้อาศัยอยู่

ด้วยกฎนี้มันไม่ได้อยู่สูงสุดของห่วงโซ่อาหารอย่างแน่นอน มันสมควรอยู่ในจุดต่ำสุดของห่วงโซ่อาหารในดินแดนของมันถึงได้ตกมาพร้อมกองขยะห้วงเวลาฯชุดนี้ได้

ต่อให้มันใช้เวทมนต์ความเย็นที่ดูทรงพลังในโลกนี้แต่กับที่นั่นก็เปรียบได้แค่ลมหายในเย็นๆธรรมดาที่สิ่งมีชีวิตอื่นๆก็สามารถทำได้ตราบใดที่พวกมันอาศัยอยู่บริเวณเดียวกันแต่กำเนิด

ขยะห้วงเวลาฯกองนี้สมควรมาจากดินแดนที่ค่อนข้างธุรกันดารไม่น้อยเลย นั่นก็เพราะว่าที่ห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจนั้นมีธาตุเวทมนต์ถึง 24 ธาตุ แต่กองขยะห้วงเวลาฯกองนี้กลับพบแค่ไม่กี่ธาตุเท่านั้น

 

ผงยาที่เขาเจอก่อนหน้านี้เองก็สมควรจะเป็นผงเวทมนต์เช่นกันสำหรับในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ

ความรู้ด้านยานั้นถือได้ว่าคนละระดับกับที่นี่เลย ผงเวทมนต์เหล่านี้คือของเล่นทั่วไปสำหรับคนที่ไม่มีความสามรถด้านเวทมนนต์ แม้แต่ตูเว่ยที่เป็นตัวเอกเองก็ยังพกติดตัวเอาไว้เนื่องจากเขาขาดทักษะด้านเวทมนต์

 

อย่างไรก็ตามต่อให้ผงยาเหล่านี้สำหรับในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจเป็นของเล่นแต่ก็ยังใช้งานได้หลากหลายและดีพอที่จะเอาไว้ใช้สู้กับเหล่าผู้วิเศษได้

นอกจากผงยาแล้วยังมีน้ำยาเวทมนต์อยู่อีกที่มีผลทางเวทมนต์อยู่ในน้ำยาเหล่านั้นเทียบเท่ากับการใช้เวทมนต์แรงๆเวทหนึ่งได้เลย

ที่จะง่ายๆหน่อยก็อย่างเช่นน้ำยาเวทมนต์ที่ได้จากลูกตากบและไส้เดือนไม้ม่วงที่พอสกัดแล้วน้ำยาที่ได้จะมีผลทำให้เป็นใบ้ไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง

นอกจากนี้ที่นั่นยังมีผงเวทมนต์ชั้นสูงที่ทำจากวัตถุดิบจำพวกชิ้นส่วนมังกร ต้นโครเวอร์ ชิ้นส่วนปลา ที่พอสกัดแล้วจะได้ผงเวทมนต์ที่ทำให้เกิดไฟลุกโหมกระหน่ำได้เพียงถูกสัมผัสเท่านั้น

 

ซูจิ้งนั้นรู้คุณสมบัติของผงวิเศษหนึ่งในห้าแล้วนั่นก็คือผงแปลงโฉม ซึ่งระดับของมันที่อยู่ในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจเองก็ถือว่าไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย

การใช้ผงแปลงโฉมนั้นถ้าคิดก่อนใช้จะได้ประโยชน์มากมายมหาศาลตัวอย่างเช่นตัวละครในเรื่องที่ชื่อเก็กหวู่

เขานั้นเป็นจอมมารยา นักพนัน และจอมเวทย์ เขานั้นมักใช้ผงแปลงโฉมแปลงเป็นสัตว์อยู่บ่อยครั้ง

มีอยู่หนหนึ่งที่เขาแปลงเป็นหนูแล้วเผลอตกลงไปในบ่อน้ำพุแห่งชีวิตนั่นทำให้ชีวิตที่เหลือของเขาต้องกลายเป็นหนูไปตลอด

 

“เดี๋ยวนะ หรือว่าผงที่เจ้าหนูที่กินเข้าไปแล้วไม่เจ็บไม่ปวดนั่นคือผงเบอรี่น้ำแข็ง” ซูจิ้งนึกไปถึงผลอีกอย่างของผงเบอรี่น้ำแข็งในทันที ยิ่งคิดมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งนึกถึงวิธีใช้ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เบอรี่น้ำแข็งนั้นเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ เอาจริงๆก็ไม่มีคนสนใจมันมากนักเพราะมันไม่ได้มีผลอะไรต่อคนทั่วไปแต่มีผลกับปีศาจมากกว่า

 

เจ้าสิ่งนี้ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆก็เหมือนฝิ่นที่กินแล้วก็ยิ่งติดแต่เจ้าสิ่งนี้มีผลแรงกว่าฝิ่น100เท่า

เบอรี่น้ำแข็งนี้ซูจิ้งคิดว่ามันไม่ใช่ยาเสพติดถ้าเกิดใช้ดีๆมันสามารถช่วยชีวิตคนได้เลย

อย่างภายในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจชายคนหนึ่งที่ชื่อว่าฮัสเสียนผู้ทรงพลังคนหนึ่งที่ถูกขับไล่ไปยังป่าน้ำแข็งและได้รับบาดเจ็บหนัก ตูเว่ยได้ปฐมพยาบาลและให้เบอรี่น้ำแข็งเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด

ในตอนหลังเขาเองก็ติดมันอยู่ไม่น้อยจนต้องคายความลับบางอย่างออกมาเพื่อแรกกับการได้รับเบอรี่น้ำแข็งเป็นการตอบแทน

ต้องรู้ไว้ก่อนว่าเขาคนนี้เกือบจะขึ้นระดับเป็นพาลาดินได้แล้วซึ่งถือได้ว่าเขาแข็งแกร่งมาก

แต่คนแข็งแรงขนาดนั้นก็ยังต้องยอมพ่ายแพ้ให้เบอรี่น้ำแข็งลูกเล็กๆนี้

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าหนูนี่หลังจากกินแล้วทำกล้าไปจีบชาวสัตว์ไปทั่ว

 

ในส่วนของรูปปั้นเหมือนจริง มนุษย์ต้นไม้ และเห็ดหัวเราะ ทุกอย่างล้วนไม่ได้แปลกตาหรือหายากเลยในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ

ที่นั่นมีจอมเวทที่คอยสร้างรูปปั้นที่มีชีวิต มีชายตัดฝืนที่คอยล่ามนุษย์ต้นไม้ในป่าทุ่งน้ำแข็ง

พวกเขาสามารถใช้เวทปลุกเสกต้นไม้ธรรมดาให้เป็นมนุษย์ต้นไม้ได้และใช้พวกมันเอาไปทำอย่างอื่น

พวกเขายังปลูกอย่างอื่นที่ดีกว่าเห็นหัวเราะนี้ซะอีก

 

“เดี๋ยวนะ ฉันคิดว่าฉันพลาดอะไรบางอย่างนะ อืมมมมม รูปปั้นพวกนั้นอยู่ในพื้นที่เดียวกับมนุษย์ต้นไม้และพวกนี้มาจากป่าเยือกแข็ง

ถ้าอย่างนั้นพวกนี้ไม่สมควรเป็นรูปปั้น แต่ควรเป็น….” ซูจิ้งหันควับไปจ้องที่เหล่ารูปเหมือนจริงนั่นทันที ตอนนี้ปากของเขาค่อยๆอ้าออกอย่างช้าๆและไม่มีท่าทีว่าจะหุบลงเลย

 

เขานั้นได้นึกถึงความเป็นไปได้ เพราะเขาจำได้ว่าในป่าน้ำแข็งที่ตูเว่ยเคยเข้าไปนั้นได้มีราชินีประจำป่าอยู่นั่นคือเมดูซ่า

สิ่งมีชีวิตร่างสุดท้ายที่พัฒนามาจากงูตาสีทอง เธอเป็นสาเหตุที่ทำให้เก็กวูต้องแปลงร่างเป็นหนูแล้วตกลงไปในน้ำพุแห่งชีวิต

เธอนั้นรังเกียจทุกครั้งที่ใครก็ตามพยายามทำอันตรายเธอเธอจึงสาบให้คนพวกนั้นกลายเป็นหินไปซะ

นั่นจึงบอกได้แล้วว่าทำไมรูปปั้นเหล่านี้ถึงได้ดูมีชีวิตขนาดนี้ถึงดูดีมีชีวิตนักนั่นเป็นเพราะว่าเคยเป็นมนุษย์จริงๆมาก่อน

 

ถ้าสังเกตุดีๆแล้วจะเห็นใบหน้ารูปปั้นแต่ละตัวนั้นแสดงสีหน้าที่เจ็บปวด ทรมานหรือไม่ก็ตกตะลึง ถ้าจะบอกให้ถูกก็คือรูปปั้นเหล่านี้คือศพนั่นเอง

นี่แสดงถึงความร้ายกาจของเมดูซ่า ไม่ว่าเธอจะสวยแค่ไหนก็ตามแต่เธอก็ยังหน้ากลัวอยู่ดี

 

“มันคงจะดีกว่าที่จะไม่คิดถึงที่มาที่ไปของรูปปั้นพวกนี้แหะ คิดซะว่าเป็นรูปปั้นเฉยๆแล้วกัน”

ซูจิ้งปลอบใจตัวเองอย่างหนักแล้วก็ทำการจัดการขนะของเขาต่อไป

 

ตอนนี้เขาสามารถแยกแยะของได้มากกว่าเดิมแล้วหลังจากรู้ที่มาของขยะห้วงเวลาฯของขยะกองนี้

สักพักใหญ่อยู่อะไรดลใจเขาสักอย่างหนึ่งเขาได้รีบหันไปมองเจ้าหนูลองยาอีกสี่ตัวนั่นทันทีและนั่นทำให้เขาตกตะลึงในทันที

พวกมันได้มีอาการแปลกๆที่เขาคาดไม่ถึงเลยทีเดียว