งานแสดงที่พิพิธภัณฑ์
ในช่วงเช้าซูจิ้งได้จัดเตรียมเด็กๆ(วัตถุโบราณ)ของเขาใส่รถตู้แล้วได้ขับรถตรงไปยังพิพิธภัณฑ์
ที่นั่น ผู้อาวุโสเซี่ย มู่หรงฉินและเจ้าหน้าอีกจำนวนหนึ่งได้ออกมาพบเขาทันทีที่เขาไปถึง
มู่หรงฉินเองได้มาที่นี่เพื่อจะช่วยเพื่อนของเขาเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว
ซูจิ้งได้โค้งคำนับก่อนจะพูดออกมาว่า “ผู้อาวุโสเซี่ย อาจารย์มู่หรง ไม่เห็นต้องออกมาต้อนรับกันขนาดนี้เลย ออกมาต้อนรับกันขนาดนี้ผมมีความสุขมากเลยครับ”
“ฮ่าฮ่า เอาจริงๆที่พวกเรารีบออกมาเพราะอยากเห็นเด็กๆของคุณเร็วๆน่ะ” ผู้อาวุโสเซี่ยยิ้มกว้างออกมา
“รีบๆเอาเด็กๆของคุณมาให้พวกฉันยลโฉมหน่อยสิ พวกฉันจะได้ตื่นตาตื่นใจเหมือนกับคนอื่นเขาบ้าง” มู่หรงฉินเองก็พูดทำนองเดียวกันพร้อมยิ้มกว้างออกมา
“ไม่ต้องรีบร้อนที่จะตื่นตาตื่นใจขนาดนั้นหรอกครับ พอดีผมปิดผนึกมาดีไปหน่อย ต้องใช้เวลาจัดเตรียมซักพัก เอาไปรอผมจัดเสร็จก่อนก็แล้วกัน” ซูจิ้งยิ้มออกมาหลังจากพูดออกมาแบบถ่อมตัว เพราะถ้าเอาออกมาตอนนี้เลยเขากลัวว่าจะไม่ได้จัดแสดงกันพอดี และยิ่งมีคนรายรอบเยอะขนาดนี้เขากลัวเกิดปัญหาหยุมหยิมขึ้นได้
“ตราบใดที่มันสร้างความตื่นตาตื่นใจล่ะก็ เรารอได้แน่นอน” ผู้อาวุโสเซี่ย มู่หรงฉิน และคนอื่นๆเองก็แสดงความกระตือรือล้นอย่างออกหน้าออกตา
แต่ยังไงซะพวกเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทางแบบคลั่งมากมายเท่าไหร่
พวกเขาพอจะอดในรอเห็นตอนแสดงทีเดียวเลยก็ได้เพราะพวกเขาเองก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าอาจเกิดปัญหาหยุมหยิมขึ้นได้
ผู้อาวุโสเซี่ยจึงได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ช่วยซูจิ้งขนสมบัติเขาไปยังพื้นที่จัดแสดงของซูจิ้ง
ในตอนนี้เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงถึงจะได้เวลาจัดแสดงสมบัติ ซูจิ้งจึงต้องรีบลงมานิดหน่อยเพราะเหลือเวลาไม่มากแล้ว หลังจากซูจิ้งเตรียมพร้อมเสร็จแล้วผู้อาวุโสเซี่ยก็ได้พอซูจิ้งไปเดินดูรอบๆนิดหน่อยนี่สร้างความประทับใจให้แกเขาพอสมควร ที่พิพิธภัณฑ์นี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก พาให้นึกถึงว่ามันดูเล็กและของน้อยเกินไปเลยด้วยซ้ำ ของส่วนใหญ่ที่จัดแสดงเป็นของสะสมของผู้อาวุโสเซี่ย และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นเหล่าเพื่อนๆของเขาให้ยืมมา
ความจริงนั้นที่ผู้อาวุโสเซี่ยมาเปิดพิพิธภัณฑ์แบบนี้เขานั้นไม่ได้หวังผลกำไรอะเลย เขาก็แค่คนที่หลงรักวัตถุโบราณและเครื่องลายครามทั่วไป
เขาหวังเพียงแค่จะเพิ่มจำนวนคนที่หลงรักในสิ่งเดียวกันกับเขาแค่นั้นเอง แน่นอนว่าวิธีที่เขาเลือกในก็คือการเปิดพิพิธภัณฑ์เพื่อให้ผู้คนได้รับประสบการณ์ที่ได้รับจากสิ่งสิ่งเหล่านี้
นอกจากนี้ยังมีความรู้ความสามารถมากพอที่จะมอบความรู้ในสมบัติและเครื่องลายครามเหล่านี้ให้แก่ทุกคนที่สนใจโดยยอมบอกทุกอย่างโดยไม่เก็บงำความรู้เอาไว้แม้แต่น้อย นี่แสดงให้เห็นว่าเขาหลงไหลในสมบัติและเครื่องลายครามไม่น้อยเลย
เวลา 9 โมงเช้า ผู้คนจำนวน 66 คนได้เข้ามาร่วมงานเปิดตัว ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนของผู้อาวุโสเซี่ยและอีกส่วนหนึ่งเป็นคนที่เข้ามาเพื่อสัมภัษณ์ประสบการณ์จากสมบัติเหล่านี้
ด้วยการที่เป็นช่วงเช้าทำให้ไม่มีคนเข้ามามากนักแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นงานเปิดตัวที่ดูอลังการอยู่ดี
แม้แต่ผู้อาวุโสเซี่ยเองก็รู้สึกเช่นเดียวกันนั่นก็เพราะว่าตัวเขาเองก็ยังไม่ได้เห็นของทั้งหมดเพราะมีบางส่วนที่มีคนอื่นนำมาและพวกเขาล้วนอยากจะเปิดตัวตอนเปิดงานเลยเช่นกัน
แม้แต่ซูจิ้งเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยเพราะคนแรกที่เขาเห็นดันเป็นหลิวฉิงและหลิวฮง แต่พวกเขานั้นดูไม่แปลกใจเท่าไหร่นั่นก็เพราะหลิวฮงรู้เรื่องมาจากผู้อาวุโสเซี่ยและมู่หรงฉินที่รู้จักกันมานาน
“พี่จิ้งพี่มาทำอะไรที่นี่เนี่ย” หลิวฉิงนั้นค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจ ความจริงแล้วเขานั้นมีสนใจในพวกเครื่องลายครามอยู่พอสมควร แต่เขาอยากได้สัตว์เลี้ยงแบบซูจิ้งมากกว่าเท่านั้นเอง
เขาถูกปู่ของเขาดึงมาที่นี่เพียงเพราะปู่ของเขาสนใจพวกสมบัติและเครื่องลายครามทำให้ไม่ได้ทำงานทำให้เขาอารมณ์เสียนิดหน่อย แต่พอเขาเจอซูจิ้งเขาเปลี่ยนเป็นอารมณ์ดีทันที
“ฮ่าฮ่า เป็นไง ตกใจล่ะสิ” หลิวฮงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าฮ่า ผมก็ไม่คิดเหมือนกันนะครับว่าจะได้พบผู้อาวุโสที่นี่” ซูจิ้งยิ้มออกมา
หลังจากนั้นซักพักเฉียนไจบิงและเฉียนหยินหนิงก็ได้เข้ามาเหมือนกัน นั่นทำให้ซูจิ้งประหลาดใจไม่น้อย พวกเขามาทำอะไรกันล่ะนั่น
ดูเหมือนพวกเขาจะรู้เหมือนกันว่าซูจิ้งเองก็มาด้วยเพราะไม่มีท่าทีจะประหลาดใจแบบหลิวฉิง
เฉียนหยินหนิงได้พูดขึ้นมาว่า “ผู้อาวุโสเซี่ยและคุณปู่ของพวกเราเป็นเพื่อนกันน่ะ แต่ท่านปู่มาไม่ได้เลยให้พวกเรามาแทน”
ซูจิ้งก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่าผู้อาวุโสเซี่ยและมู่หรงฉินนั่นเป็นคนมีชื่อเสียงและมีเพื่อนเยอะแยะมากมาย
ถึงขนาดที่ว่าพวกเขามัวแต่วุ่นต้อนรับผู้คนจนไม่มีโอกาสเข้ามายังบู๊ธของเขาเลย
แน่นอนว่างานแบบนี้เป็นโอกาสที่เขาจะได้พบเจอเพื่อนเก่าทั้งหลาย
“คุณซู” มีเสียงๆหนึ่งดังออกมาเหมือนตกใจอะไรบางอย่างจากหลังซูจิ้ง ซูจิ้งหันไปมองก็ได้เห็นชายแก่คนหนึ่งกับเด็กสาวหน้าตกกระคนหนึ่ง พวกเขาดูตกใจมากกว่าคนอื่น และนี่ให้ซูจิ้งตกใจมากเช่นเดียวกัน
“ผู้อาวุโสเต๋า” ซูจิ้งรูสึกตกใจจริงๆ ผู้อาวุโสเต๋าคนนี้คือปรมาจารย์ด้านงานแกะสลัก
เขามีความถนัดในด้านการแกะไม้ไผ่และซ่อมงานไม้โบราณรวมไปถึงสมบัติและเครื่องลายครามต่างๆ
ซูจิ้งเองนั้นเคยได้เจอกับเขาตอนทำเมนูอาหารเป็ดผัดเหยื่อไผ่ เขานั้นได้ช่วยซูจิ้งซ่อมแซมลูกประคำไม้
ซูจิ้งตอบแทนเขาด้วยการมอบไม้ไผ่ที่ได้มาจากห้วงเวลาฯราชาแห่งพิณซึ่งถือว่าเป็นความสัมพันธ์อันดีสำหรับเขาทั้งคู่
หลังจากนั้นก็ยังติดต่อกันบ้างแต่ไม่คิดว่าจะได้พบเจอกันที่นี่ บางทีโชคชะตาก็ช่างประหลาดดียิ่งนัก
“ฮ่าฮ่าไม่ได้พบกันนานเลย” ผู้อาวุโสเต๋าพูดด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้วหล่ะครับ ไม่ได้ผมกันนานเลย” ซูจิ้งยิ้มแล้วเขาได้พูดต่อว่า “ผมได้ยินมาว่าผู้อาวุโสบรรลุเป้าหมายในการแกะสลักแล้ว แถมยังชนะจนได้รางวัลมาไม่น้อยเลยนี่ครับ”
“นั่นก็ต้องขอบคุณไม้ไผ่ของคุณหล่ะนะ เพราะไม้ไผ่ของคุณทำให้งานแกะสลักของฉันบรรลุได้ซักที”
ผู้อาวุโสเต๋าพูดออกมาก่อนจะเดินมาจับมือ เขาเองก็ได้งานแกะไม้ไผ่มาให้ผู้อาวุโสเซี่ยด้วยเช่นกัน
หนึ่งเพื่อแสดงความยินดีในการเปิดพิพิธภัณฑ์ อีกหนึ่งคือนำมาแสดงผลงานของเขา ตัวอาวุโสเต๋าก็พอจะบอกได้เหมือนได้เกิดใหม่เป็นครั้งที่สอง เพราะว่าเขานั้นได้บรรลุทุกสิ่ง และได้เผยแพร่แนวคิดของเขาผ่านผลงานได้จนเป็นที่เลื่องลือ
เวลาผ่านไปคนเริ่มเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งคนที่ซูจิ้งอยากเจอที่สุดก็มาถึงนั่นคือไคจิ้ง
ตอนแรกเขาเองก็โกรธไคจิ้งเหมือนกัน คนๆนี้ต่อให้เดินสวนกันก็ไม่ได้มีอะไรน่าสังเกตุ ต่อให้สังเกตุเห็นก็ไม่มีอะไรน่าจดจำ แต่ตอนนี้นั้นต่างกันนั่นก็เพราะเรื่องมนุษย์แมงมุมที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น
ไคจิ้งนั่งรถสปอร์ตมา เขานั้นอยู่ในชุดสูทพิเศษ ใส่แว่นกันแดด หน้าค่อนข้างเรียว ดูแล้วค่อนข้างหนุ่ม
ตามีตีนกาที่หางตา แต่เหมิอนเขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้น เขาเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มด้วยรอยยิ้ม
เดินอย่างกวนโอ๊ย ข้างหลังเขาเองก็มีชายวัยกลางคนที่แต่งตัวแนวคล้ายๆกันเดินตามเข้ามาเหมือนจะเป็นผู้จัดการของเขา
“นั่นมันไคจิ้งไม่ใช่หรอ เขามาได้ไงกัน”
“เขาไม่น่าใช่คนที่จะสนใจเรื่องประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรมอะไรพวกนั้นนะ” ทุกคนที่นั่นต่างจ้องมองเขาด้วยท่าทีที่โกรธเกรี้ยว และดุดัน ไม่ว่าเดินไปตรงไหน ไม่มีใครที่จะไม่เขม่นเขาซักคนเดียว ความจริงก็ไม่ได้มีคนสนใจเขาเช่นนี้มาหลายปีแล้วแต่เพิ่งเป็นที่เขม่นตาผู้คนเมื่อไม่นานมานี้ เขาคิดไปเองคนเดียวเป็นเพราะเขานั้นดูโดดเด่นจึงได้ไปร่วมงานจนทั่ว ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ที่สาบสูญ หรือแม้แต่พื้นที่ทางประวัติศาสตร์
“ดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักมนุษย์แมงมุมจริงๆนะ”
“ก็อาจจะแต่หมอนี่ไม่ยอมบอกว่าตัวจริงของมนุษย์แมงมุมเป็นใคร”
ซูจิ้งมองไคจิ้งอยู่ไกลๆเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรกระโตกกระตากเพียงถามว่า “นี่คุณรู้จักไคจิ้งด้วยหรอถึงชวนเขามาได้”
เฉียนไจบิงได้ตอบไปว่า “ฉันว่าฉันไม่รู้จักเขานะ ได้ยินมาว่าเขาบอกว่าถูกชวนนะแต่ก็เพิ่งมา
ดูเหมือนจะกะจังหวะมาตอนหลังจากที่ผู้อาวุโสเซี่ยเปิดงานเสร็จแล้วซะด้วย
ฉันคิดว่าเขาเลือกมาที่นี่เพียงเพื่อโปรโมทตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่ว่าผู้อาวุโสเซี่ยไม่อยากไล่เขาไปนะแต่ด้วยที่เขาเป็นที่นิยมในช่วงนี้เลยทำอะไรมากไม่ได้
เขาแค่จะให้มาช่วยสร้างชื่อเสียงนิดหน่อยแต่ไม่คิดว่าจะทำตัวแบบนี้”
ซูจิ้งพยักหน้าพลางนึกว่าถ้าผู้อาวุโสเซี่ยรู้จักไคจิ้งจริงเขาสมควรเข้าไปคุยด้วย แต่นี่ไคจิ้งกลับเดินผ่านไปหน้าตาเฉย ถ้าเป็นเพื่อนกันจริงคนไม่หักหน้ากันขนาดนี้ ถ้าผู้อาวุโสไม่รู้จักล่ะก็เขาก็ไม่ต้องไว้หน้าแล้วหล่ะ