บทที่ 121 ปริศนาในอดีต โดย Ink Stone_Romance
เยี่ยนจิ่วเฉายืนตัวเกร็ง
เขายกมือขึ้นแกะแขนของอวี๋หวั่นซึ่งเกาะก่ายเอวของเขาอยู่ ทว่าทำอย่างไรก็แกะไม่ออก
ก็เธอเป็นดรุณีชาวบ้านที่ต้องทำไร่ไถนานี่!
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่แกะแล้วก็ได้ เขามองอวี๋หวั่นด้วยสายตาเย็นชา ดูซิว่าจะมาไม้ไหน!
ไหนเลยจะรู้ว่างอตัวรออยู่นานแสนนาน ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น เยี่ยนจิ่วเฉาจึงแกะแขนของเธออีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้แกะแขนของเธอออกได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่เขายังไม่ทันได้ยืดหลังตรง อวี๋หวั่นก็ใช้แรงเหวี่ยง แล้วล้มลงไปบนที่นอน
เยี่ยนจิ่วเฉา “?!”
ปิ่นปักผมของอวี๋หวั่นหลุดออก เส้นไหมสีดำสนิทตกลงมา เส้นผมของอวี๋หวั่นเป็นสีดำขลับดุจผ้าต่วน ขับให้สีผิวยิ่งดูขาวผ่องขึ้นไปอีก
อวี๋หวั่นนอนหันข้าง เส้นผมปรกใบหน้า คิ้วและดวงตาสวยได้รูป
สายตาของเยี่ยนจิ่วเฉาไปหยุดค้างที่ดวงหน้าของเธอครู่หนึ่ง เขากระแอมเล็กน้อย แล้วเบนสายตาไปมองอัญมณีหลากสีซึ่งห้อยระย้าอยู่เหนือเตียง
แสงสะท้อนผ่านอัญมณีเหล่านี้ และตกลงมายังเงาของอวี๋หวั่นซึ่งกอดเขาเอาไว้
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่เคยประสบพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนในชีวิต ดูเหมือนว่า…เขาเองก็มิได้รู้สึกรังเกียจเท่าไรนัก
นอนตัวแข็ง กะพริบตาปริบๆ
อวี๋หวั่นหลับไปครู่หนึ่ง ก็พลิกตัวอีกครั้ง ครั้งนี้เธอปล่อยมือจากเขาแล้ว ทั้งยังดึงผ้าห่มมาคลุมตัวให้เขาด้วยความเคยชิน
ครั้งนี้เธอคิดว่าเขาคือเถี่ยตั้นน้อย
เยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งไม่รู้ความจริง “…”
เยี่ยนจิ่วเฉาผินหน้ามามองอวี๋หวั่น ที่จริงแล้วมิได้มีแต่เยี่ยนจิ่วเฉาที่ยามนอนน่ารักกว่าปกติมาก อวี๋หวั่นก็เช่นกัน ดวงตาของเธอดูสงบนิ่งยามหลับตา ดวงหน้าของเธอยังคงความอ่อนเยาว์และไร้เดียงสาของดรุณี
เยี่ยนจิ่วเฉาโน้มตัวเข้าไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ครั้นโน้มเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นก็มีเสียง ‘ฟอด’ ดังขึ้น ใบหน้าของอวี๋หวั่นถูกหอมเข้าเต็มเปา
เยี่ยนจิ่วเฉาเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าเด็กน้อยจ้ำม่ำซึ่งไม่รู้ว่าปีนขึ้นเตียงมาตั้งแต่เมื่อไร เอนตัวไปหอมแก้มของอวี๋หวั่น
เด็กทั้งสามส่ายก้นดุกดิก แทรกตัวเข้ามาเบียดจนท่านพ่อของพวกเขากระเด็นออกไปหนึ่งแสนแปดพันหลี่! ทำหน้าบูดบึ้ง!
……
ผู้จัดการชุยรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ได้ หลังจากวันนั้น เขาก็ไม่กล้ามายังหมู่บ้านเหลียนฮวาอีกเป็นเวลานาน
ข่าวเกี่ยวกับหอเทียนเซียงนั้นไม่อาจซาไปได้ง่ายๆ อย่างที่กล่าวกันว่า ‘ไม้ใหญ่ย่อมต้านลม’ ไม่กี่ปีมานี้หอเทียนเซียงเจริญรุ่งเรืองอย่างรุดหน้า ไม่รู้ว่าคนมากเท่าไรที่รู้สึกริษยาพวกเขา พ่อค้าที่ญาติดีกับพวกเขาก็ยังหวังให้พวกเขาล้ม นับประสาอะไรกับผู้ไม่หวังดีเล่า
สวี่เซ่ายังนับว่ามีหลักการ กระนั้นบุตรชายของเขาก็มักลากเขามาพัวพัน เรื่องที่สวี่เฉิงเซวียนทำ ผู้คนล้วนมาคิดบัญชีกับสวี่เซ่าบิดาบังเกิดเกล้าของเขา เมื่อสาขาย่อยบนถนนเสวียนอู่ปิดตัวลง ที่เหลืออีกหกสาขาก็ได้รับผลกระทบไปด้วย
ในขณะเดียวกัน เรื่องที่พ่อครัวใหญ่หยางลอกเลียนสูตรอาหารของเพื่อนร่วมงานก็แพร่สะพัดออกไป ใครเป็นคนแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปนั้นมิอาจตามสืบได้ ภายในระยะเวลาเพียงคืนเดียว ทั้งเมืองหลวงก็รู้เรื่องอื้อฉาวของหอเทียนเซียงแล้ว
เรื่องในอดีตของพ่อครัวใหญ่หยางและลุงใหญ่ก็ถูกเปิดเผยเช่นกัน
“ได้ยินว่าในตอนนั้นพ่อครัวใหญ่อวี๋ดูแลเขาเป็นอย่างดี!”
“เดิมทีฝีมือของเขาไม่ดี เป็นพ่อครัวใหญ่อวี๋ที่สอนเขา!”
“ลอกเลียนสูตรอาหารของพ่อครัวใหญ่อวี๋เนี่ยนะ ทำลงได้อย่างไรกัน?”
“ไม่ว่าอย่างไรก็เรียกว่าอกตัญญู”
“ข้ายังได้ยินมาอีกว่าคนแซ่หยางผู้นั้นจ้างมือสังหารตามฆ่าคนอีกนะ!”
“คนแซ่หยางนั่นมันเลวเสียยิ่งกระไร! คนเขามีบุญคุณ แต่กลับตอบแทนเขาแบบนี้น่ะหรือ?!”
ไม่นาน ข่าวว่าลุงใหญ่ขาหักก็แพร่ออกไป ผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเนรคุณอย่างพ่อครัวใหญ่หยางก็ตกเป็นจำเลยในเรื่องนี้ อีกทั้งผู้คนยังมิวายเล่าเรื่องกันปากต่อปากอย่างเกินจริง
“พวกเจ้าเคยฟังมาแล้วหรือยัง? เป็นพ่อครัวใหญ่หยางให้คนชนขาของพ่อครัวใหญ่อวี๋จนหัก! หลังจากนั้นก็เสแสร้งเป็นคนดี เชิญหมอมารักษาให้พ่อครัวใหญ่อวี๋ ที่จริงก็อยากขโมยสูตรอาหารของเขา! เดิมทีขาของพ่อครัวใหญ่อวี๋สามารถรักษาให้หายได้! แต่เขาให้หมอใส่ยาทำให้ขาของพ่อครัวใหญ่อวี๋หมดหนทางรักษา!”
กว่าเรื่องนี้จะถึงหูของลุงใหญ่ พ่อครัวใหญ่หยางก็ถูกทางการจับไปแล้ว เหตุผลมิใช่เพราะเขาขโมยสูตรอาหาร หากแต่เป็นเพราะจ้างวานฆ่า เสมียนหนุ่มที่ถูกส่งเข้าเมืองหลวงคนนั้นก็ถูกอิ่งลิ่วจับได้พร้อมนำตัวส่งถึงปากประตูจวนจิงจ้าวเรียบร้อย
กลุ่มคนร้ายมองปราดเดียวก็จำได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้เองที่จ้างพวกเขาไปสังหารคน และเมื่อถูกจับไปทรมาน เสมียนหนุ่มผู้นี้ก็สารภาพว่าผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือพ่อครัวใหญ่หยาง
หอเทียนเซียงลบชื่อพ่อครัวใหญ่หยางออกอย่างเป็นทางการ อาหารที่เขา ‘คิดค้น’ ขึ้นก็จะไม่วางขายในหอเทียนเซียงอีกต่อไป ทว่าพวกเขามิได้กู้ชื่อเสียงของลุงใหญ่แต่อย่างใด
สวี่เซ่าก็เดือดดาลกับเรื่องนี้เช่นกัน บุตรชายถูกทำร้ายจนขาแข้งหัก ภัตตาคารพังไม่เหลือชิ้นดี แถมชื่อเสียงของเขาก็ถูกทำลายย่อยยับ จะให้เขากู้ชื่อของพ่อครัวเก่าที่เป็นต้นเหตุของหายนะนี้ไปทำไมเล่า!
อวี๋เฟิงนั่งสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ในห้อง!
อวี๋หวั่นกล่าวปลอบใจเขาว่า “ช่างมันเถอะพี่ใหญ่ พวกเขาก็เป็นพวกอันธพาลดีๆ นี่แหละ ไม่มีวันยอมรับว่าตัวเองทำผิด คิดได้แค่ว่าพวกเราสร้างความยุ่งยาก ขัดขวางช่องทางหาเงิน พี่ใหญ่ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาหรอก เปลืองสมองเปล่าๆ”
ที่จริงอวี๋เฟิงก็ไม่ได้สนใจพวกเขา เขารู้สึกผิดต่อบิดาของตน
เมื่อก่อนที่บิดาของเขาทำงานอยู่ที่หอเทียนเซียง หอเทียนเซียงก็เกื้อหนุนจุนเจือเป็นอย่างดี บัดนี้เขาแข้งขาพิกลพิการ กลับไปทำงานไม่ไหว กลับเป็นเช่นนี้…
“อาหวั่น เสี่ยวเฟิง พวกเจ้ามานี่หน่อย ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย” จู่ๆ ลุงใหญ่ก็เดินใช้ไม้เท้าพยุงเข้ามาในห้องของอวี๋เฟิง
………………………………..