บทที่ 122 ของขวัญจากพี่จิ่ว โดย Ink Stone_Romance
อวี๋หวั่นและอวี๋เฟิงเข้าไปในตัวตำบลมาครั้งหนึ่ง อวี๋เฟิงเห็นว่าน้องสาวทำงานหนัก เดิมทีจึงคิดว่าจะให้อวี๋หวั่นกลับบ้านไปพักผ่อน แต่เมื่อท่านพ่อมีเรื่องจะคุยกับพวกเขา อวี๋เฟิงจึงเดินนำน้องสาวเข้าห้องไป
ลุงใหญ่นั่งลงที่โต๊ะ ชี้ไปยังกล่องซึ่งวางอยู่ข้างตู้เสื้อผ้า “อาหวั่น ด้านในมีกล่องไม้แดงใบหนึ่ง เจ้าหยิบมันออกมา”
“อื้ม” อวี๋หวั่นพยักหน้า เปิดกล่องใบใหญ่ออก แล้วหยิบกล่องไม้แดงด้านล่างขึ้นมา “ท่านลุงใหญ่ นี่”
“เปิดดูสิ” ลุงใหญ่กล่าว
อวี๋หวั่นหยิบกล่องซึ่งทำจากไม้แดงมาเปิดดู ในตอนแรกเธอคิดว่าสิ่งที่อยู่ก้นกล่องจะเป็นของล้ำค่า ที่ไหนได้กลับเป็นหนังสือเก่าๆ เล่มหนึ่ง
หนังสือเล่มนี้ดูเหมือนว่าจะเก่าพอสมควร กระดาษเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ตัวหนังสือก็เลือนราง ทว่ารูปภาพด้านข้างตัวหนังสือกลับยังนับว่าชัดเจนอยู่
อวี๋หวั่นพลิกไปพลิกมาอยู่สักพัก “นี่คือ…”
ลุงใหญ่พลิกหนังสือไปหน้าสุดท้าย “เจ้าอ่านดูสิ”
หน้านี้มีตัวหนังสือเขียนว่า ‘ห้าแพะนำสันติ สี่สมุทรสงบสุข สามดาวจรัสแสง สองมังกรชิงลูกแก้ว หนึ่งใบไม้รู้สารท’
แต่รูปภาพประกอบนั้นไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะภาพของหนึ่งใบไม้รู้สารทนั้น เรียกได้ว่าเลือนรางไปทั้งหมด
หนังสือเล่มนี้ประหลาดเสียจริง ตรงที่มีรูปก็ไม่มีตัวหนังสือ ตรงที่มีตัวหนังสือก็ไม่มีรูป
ลุงใหญ่ถอนหายใจ กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังกังวลเรื่องอะไร คิดว่าหอเทียนเซียงไม่ได้กู้ชื่อให้ข้าจนทำให้ข้ารู้สึกน้อยใจ แต่ว่าแท้จริงแล้ว อาหารทั้งห้าอย่างนี้ ข้าไม่ได้เป็นคนคิดขึ้นมา”
อวี๋หวั่นมองไปยังลุงใหญ่ด้วยความงุนงง
ลุงใหญ่จึงพูดต่อ “นี่เป็นของของพ่อเจ้า ในตอนที่เจอเขาที่ข้างถนน หนังสือเล่มนี้ก็อยู่ในผ้าที่ห่อเขามา”
ทารกที่ถูกทิ้งคนอื่นๆ อาจมีป้ายหยก หนังสือหายาก หรือจดหมายติดตัวมา แต่พ่อของเธอกลับมีตำราอาหารอยู่ในห่อผ้า
หรือว่าปู่ของเธอจะเป็นพ่อครัว?
อวี๋หวั่นครุ่นคิดอย่างจริงจัง
พ่อของเธอเติบโตในสกุลอวี๋ เป็นคนสกุลอวี๋ เธอก็เป็นคนสกุลอวี๋ เรื่องอื่นๆ เธอไม่ได้สนใจเท่าไรนัก
อวี๋หวั่นส่งหนังสือเล่มนั้นคืนให้ลุงใหญ่
ลุงใหญ่ชะงัก “เอ่อ…”
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “ท่านลุงใหญ่เก็บไว้เถอะ ข้าไม่มีฝีมือในการทำอาหาร เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์”
ลุงใหญ่คล้ายกับจะพูดอะไร แต่ก็มิได้พูดออกมา สุดท้ายก็จำต้องเก็บหนังสือกลับที่เดิม
ถึงตอนนี้ อวี๋เฟิงไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับเรื่องที่หอเทียนเซียงมิได้กู้ชื่อเสียงท่านพ่อของเขาคืนมา แต่เขาเพียงหมดความเคารพในหอเทียนเซียงก็เท่านั้น
“กิจการรุ่งเรืองถึงเพียงนั้น ข้าก็คิดว่าจะมีแต่คนที่เชื่อใจได้เสียอีก”
อวี๋หวั่นหัวเราะแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ไม่เคยได้ยินหรือว่า ไม่ฉ้อฉลก็ไม่อาจทำธุรกิจ”
อวี๋เฟิงพลันเหยียดหลังตรง แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่เป็นพ่อค้าที่ฉ้อฉลหรอก!”
อวี๋หวั่นรู้สึกขบขันกับท่าทางจริงจังของเขา “เอาล่ะๆ ไม่เป็นก็ไม่เป็น”
ทว่าต่อให้ไม่ฉ้อฉล ก็ไม่อาจซื่อสัตย์ได้ ในวงการนี้ คนซื่อสัตย์มีแต่จะขาดทุนอยู่ร่ำไป
แต่เรื่องเหล่านี้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องถกเถียงกับอวี๋เฟิง อวี๋หวั่นจึงเดินถืออัวอัวโถวซึ่งป้าสะใภ้ใหญ่ทำกลับไป
ทันทีที่อวี๋หวั่นออกไป อวี๋เฟิงก็เรียกบิดามารดาและอวี๋ซงมา “ใช่สิ ข้าอยากถามสักหน่อย ว่าพวกท่านรู้จักคุณชายวั่นที่มาใหม่หรือไม่?”
คางของอวี๋ซงพาดอยู่บนโต๊ะ เขาตอบอย่างมิได้ใส่ใจ “ไม่รู้จัก”
หลายวันมานี้เขาพักรักษาตัวอยู่ในบ้าน แม้แต่ลานบ้านยังไม่ได้ออกไป นับประสาอะไรกับคุณชายคนนั้น
ป้าสะใภ้ใหญ่ส่ายหัว “ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้เล่า เกิดอะไรขึ้นกับคุณชายวั่นหรือ? ข้าได้ยินว่านายอำเภอจำเขาได้ด้วย เป็นคนที่เก่งกาจเสียจริง”
จำได้? ฟังดูสูงส่งไปหน่อยสำหรับนายอำเภอกระมัง?
“ไม่มีอะไร ข้าก็แค่ถามเฉยๆ” เดิมทีอวี๋เฟิงอยากบอกฐานะของเยี่ยนจิ่วเฉาให้ทุกคนรู้ แต่คิดไปคิดมา กลับรู้สึกว่าเขาไม่พูดจะดีกว่า ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ทำให้คนผู้นั้นโกรธเคือง จนสร้างความเดือดร้อนให้กับคนในบ้าน เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็คงจะลำบากไม่น้อย
“ไม่มีอะไรแล้วเรียกมาทำไม!” อวี๋ซงกลอกตาแล้วเดินกลับห้องไป
อวี๋เฟิงขมวดคิ้ว “เหตุใดช่วงนี้เขาอารมณ์เสียง่ายเหลือเกิน?”
ป้าสะใภ้ใหญ่ตอบว่า “เป็นอย่างนี้ตั้งแต่หลังจากคนสกุลกัวย้ายเข้ามา”
“คนสกุลกัวหรือ” อวี๋เฟิงไม่ได้พูดอะไร เขายังคงเยือกเย็นดังเคย เขาเองก็ไม่ชอบสกุลกัว แต่อย่างไรเสียช่วงนี้คนสกุลกัวก็ทำตัวปกติ มิได้สร้างเรื่องสร้างราวอีก
ในห้องข้างๆ กัวเซี่ยนเฉี่ยวหลับไปแล้ว แต่สามีภรรยายังคงตื่นอยู่
อาหารเย็นได้กินเนื้อ กัวต้าโย่วนั่งแคะฟันบนเก้าอี้
ตู้จินฮวาเปิดถุงเงินผ้าฝ้ายออก แล้วหยิบเหรียญทองแดงและก้อนเงินออกมานับ
ทันใดนั้นเองก็นึกบางอย่างออก ตู้จินฮวาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านว่าสกุลอวี๋ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้วใช่หรือไม่เล่า พวกเรามาที่นี่ไม่กี่วัน ได้กินเนื้อทุกมื้อ! ใช้ชีวิตดีกว่าอยู่ที่บ้านเสียอีก!”
ตั้งแต่ครานั้นที่ป้าสะใภ้ใหญ่นำเนื้อรมควันและเนื้อพะโล้จำนวนไม่น้อยกลับบ้านเดิม ตู้จินฮวาก็เดาว่าสกุลอวี๋ไม่ได้ยากจนเหมือนแต่ก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้น ครอบครัวที่ไม่มีแม้แต่โจ๊กจะกินเช่นนี้ จะมีปัญญาหอบเนื้อกลับไปบ้านมากเพียงนั้นได้อย่างไรกัน?
แต่นางก็มิได้คาดคิดว่าสกุลอวี๋ไม่เพียงไม่ยากจนข้นแค้น ซ้ำยังมีเงินมากกว่าครอบครัวของนางอีก
“ทำไม? เจ้าอิจฉารึ?” กัวต้าโย่วดูดขี้ฟัน หันมาแล้วกล่าวว่า “ได้ ครั้นท่านพ่อยังอยู่ ไม่ได้บอกว่าจะให้เสี่ยวเฟิงกับลูกสาวคนโตของเราแต่งงานกันหรอกรึ? นายท่านสกุลอวี๋ก็เห็นดีเห็นงามด้วยนี่!”
ตู้จินฮวาตวัดหางตาใส่เขา “ท่านจะเอาอะไรกับคำพูดในวงเหล้า!”
กัวต้าโย่วกล่าวอย่างมีความสุขว่า “หากอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ข้าก็ย่อมมีวิธีทำให้มันเป็นจริง”
“ข้าไม่ต้องการ!” ตู้จินฮวาหยิบเงินที่นับเสร็จเก็บใส่ถุง มัดถุงจนแน่น แล้วเก็บไว้กับตัว “ลูกสาวข้างดงามเช่นนี้ ก็ต้องได้เป็นสะใภ้ในตระกูลใหญ่โต แค่ชาวนาจากชนบทคนหนึ่ง จะไปคู่ควรอะไร?”
กัวต้าโย่วหัวเราะร่วน “พวกเขาทำการค้า แถมจ้างชาวบ้านได้ทั้งหมู่บ้านเชียว”
ตู้จินฮวาขึ้นเสียงในทันใด “นั่นยังเรียกว่าเป็นการค้าได้รึ? ท่านไม่เห็นหรือว่าพวกเขาขายอะไร! เต้าหู้เน่า! ให้เปล่าข้าก็ยังรู้สึกสะอิดสะเอียน! ข้ารู้ พวกเขาอยากได้เงิน อยากเป็นเศรษฐีแบบสกุลหลัว แต่ทำได้หรือไม่เล่า? เรื่องแบบนี้ ไม่รู้จักตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงาตัวเองเสียบ้างเลย!”
ในสมองของกัวต้าโย่วก็ปรากฏภาพของนางเจียงและบุตรสาวขึ้นมา “สะสวยกว่าคนสกุลหลัวอีกนา…”
ตู้จินฮวาคว้าไม้กวาดด้านข้างขึ้นมาแล้วปาใส่เขา!
กัวต้าโย่วยกมือขึ้นปัด “มารดาเจ้าเถอะ! อยากตายหรือ!”
“หึ!” ตู้จินฮวากลอกตา
กัวต้าโย่วกระแอม “ไม่เช่นนั้น…ให้ลูกสาวเราแต่งเข้าสกุลหลัวดีหรือไม่? ข้ารู้ว่าสกุลหลัวมีลูกชายสองคน พวกเขาล้วนสนใจลูกสาวบ้านเรา”
ตู้จินฮวาไม่พูดอะไรอีก
กัวต้าโย่วเริ่มมีโทสะ “ทำไม? สกุลหลัวเจ้าก็ยังดูแคลนรึ? เยว่เอ๋อร์อายุสิบเจ็ดแล้วนะ!”
ตู้จินฮวาเรื่องมากเหลือเกิน จึงทำให้เรื่องออกเรือนของบุตรสาวล่วงเลยมาจนป่านนี้ แม้ว่าสตรีในรัชสมัยนี้จะออกเรือนช้ากว่าในยุคก่อนๆ แต่สตรีที่ออกเรือนหลังอายุสิบเจ็ดนั้นพบเห็นได้ยากยิ่ง
“ท่านแม่ มีด้ายสีหรือไม่?” ขณะที่ตู้จินฮวากำลังใคร่ครวญอย่างหนัก กัวเซี่ยนเยว่ก็เคาะประตูจากด้านนอก
ตู้จินฮวาตะโกนใส่ตอบว่า “ไม่มี เจ้าไปถามป้าเจ้านู่น!”
กัวเซี่ยนเยว่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา หันหลังแล้วเดินจากไป
“ข้าเพิ่งใช้หมดไปพอดี รอประเดี๋ยว ข้าจะใช้เสี่ยวเฟิงไปถามอาสะใภ้สามให้” คนในสกุลกัวเพียงคนเดียวที่ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่เกลียดก็คือกัวเซี่ยนเยว่ ขณะที่กำลังจะเรียกอวี๋เฟิงให้ไปยืมด้ายมา กัวเซี่ยนเยว่ก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ไม่จำเป็นต้องลำบากพี่ใหญ่หรอก ข้าจะไปเอง”
“เจ้ารู้จักบ้านหรือ?” ป้าสะใภ้ใหญ่ถามอย่างไม่วางใจ
กัวเซี่ยนเยว่พยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ “รู้จักเจ้าค่ะ บ้านที่อยู่ทางตะวันตกสุด”
กัวเซี่ยนเยว่เดินออกไปแล้ว ป้าสะใภ้ใหญ่ก็มีครัวต้องเก็บกวาด จึงมิได้ไปกับนางด้วย
ระหว่างทางเดินไปบ้านของอวี๋หวั่น จ้าวเหิงก็กำลังเดินกลับบ้าน เขาจึงพบกับกัวเซี่ยนเยว่ใกล้สระน้ำพอดี
จ้าวเหิงเหลือบไปมองแวบหนึ่ง ก็พบว่าเป็นดรุณีที่ไม่คุ้นหน้า จึงเดินไปโดยไม่แม้จะหันมามองอีก
กัวเซี่ยนเยว่กลับรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก จ้าวเหิงเดินห่างไปไกลแล้ว แต่นางก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง
ไม่นาน นางก็ตระหนักได้ว่าตนเสียอาการ เมื่อเดินมาถึงประตูบ้านอวี๋หวั่น ก็พบว่ามีบุรุษอีกคนหนึ่งยืนอยู่
บุรุษผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ สวมผ้าคลุมสีเงิน เขาดูประหนึ่งแสงจันทร์ผ่องในยามราตรี
หากรูปร่างหน้าตาของจ้าวเหิงสามารถทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้แล้ว บุรุษผู้นี้ก็คงต้องเรียกว่าทำให้ตกตะลึงเลยทีเดียว
นี่มิใช่คนงามดุจหยก บุรุษไร้สอง แต่คนผู้นี้ควรแก่การอยู่บนสวรรค์ จะมาพบเห็นบนโลกมนุษย์ได้อย่างไร?
กัวเซี่ยนเยว่หน้าแดงระเรื่อ แม้แต่ลมหายใจก็ยังติดขัด
อวี๋หวั่นเดินถือกะละมังน้ำที่เถี่ยตั้นน้อยอาบแล้วออกมา เธอเงยหน้ามาเห็นกัวเซี่ยนเยว่จากระยะไกล นางกำลังเดินมาทางนี้ คล้ายจะมาบ้านของเธอ
อวี๋หวั่นเทน้ำทิ้งไป และหันไปเอ่ยทักทายนาง “น้องเยว่”
กัวเซี่ยนเยว่ไม่ได้ยิน
อวี๋หวั่นกะพริบตาด้วยความแปลกใจ แล้วเรียกนางอีกครั้ง
กัวเซี่ยนเยว่ได้สติกลับมา ทั้งรู้สึกประหม่าและขวยเขิน ใบหน้าของนางแดงจนดูราวกับมีเลือดหยดออกมา
นางเดินก้มหน้าเข้าไป “ท่านพี่”
อวี๋หวั่นเห็นนางหน้าแดง จึงเอ่ยถามว่า “เจ้าร้อนหรือ?”
กัวเซี่ยนเยว่ใช้มืออันเย็นเฉียบทาบกับใบหน้าของตน พลางหลุบตาลงต่ำ “ใช่…ใช่ ข้าเดินมาจึงรู้สึกร้อน”
อวี๋หวั่นร้อง ‘อ้อ’ ขณะที่กำลังจะเอ่ยถามนางว่ามีเรื่องอะไรหรือไม่ ‘คุณชายวั่น’ ซึ่งอยู่บ้านข้างๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “มานี่หน่อย”
น้ำเสียงประหนึ่งออกคำสั่ง ทว่าเสียงช่างไพเราะ ทุ้มต่ำและนุ่มลึก
กัวเซี่ยนเยว่รู้สึกว่าหัวใจของนางกำลังเต้นรัว
ขะ…เขาเรียกนางหรือ?
เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว ก็เห็นอวี๋หวั่นวางกะละมังไม้แล้วเดินไป
“มีอะไร” อวี๋หวั่นเงยหน้ามองเยี่ยนจิ่วเฉาผู้ซึ่งสูงกว่าตนหนึ่งศีรษะเห็นจะได้
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งกล่องกำมะหยี่ให้เธอ
“คืออะไรหรือ?”
“หึ”
เยี่ยนจิ่วเฉาทำท่าทำทางคล้ายกับขี้คร้านจะสนใจ แค่นเสียงขึ้นจมูก เดินเข้าบ้านไปพร้อมทั้งปิดประตูดังปัง
ใช่แล้วละ ปิดประตูดังปัง เสียงดังมาก!
เมื่อเห็นว่าอีกเพียงชุ่นเดียว บานประตูก็คงกระแทกหน้าเธอจนจมูกยุบลงไป อวี๋หวั่นก็เหยียดริมฝีปาก เจ้างูพิษนี่ เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก?
ช่างเถอะๆ เธอยังติดค้างเขาเรื่องผู้จัดการชุย ทนหน่อยๆ!
อวี๋หวั่นเดินถือกล่องกำมะหยี่กลับมา “น้องเยว่นั่งก่อนเถอะ”
กัวเซี่ยนเยว่เหลือบมองไปยังประตูบ้านข้างๆ ซึ่งปิดสนิท แล้วมองไปยังกล่องกำมะหยี่ในมืออวี๋หวั่น “คนเมื่อครู่คือใครหรือ? เหตุใด…ไร้มารยาทเช่นนี้?”
“เขาคือ…คุณชายวั่น เพิ่งย้ายมาใหม่” อวี๋หวั่นหยุดพูด หลังจากนั้นก็พูดต่อว่า “อารมณ์ไม่ค่อยดี เจ้าอย่าไปมีเรื่องกับเขานะ”
“อ่อ” กัวเซี่ยนเยว่พยักหน้าพลางตกอยู่ในห้วงความคิด สายตาไปหยุดอยู่ที่กล่องซึ่งเยี่ยนจิ่วเฉามอบให้อวี๋หวั่น นางอ้าปากพะงาบ
“น้องเยว่มีเรื่องอะไรหรือ?” อวี๋หวั่นวางกล่องเอาไว้บนโต๊ะ แล้วหันไปชงชาให้กัวเซี่ยนเยว่
“ขอบคุณท่านพี่” กัวเซี่ยนเยว่รับถ้วยชา เบนสายตากลับมา พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้ามายืมด้ายสีจากท่านพี่”
“ด้ายสีหรือ เจ้าอยากได้สีอะไรละ?” อวี๋หวั่นถาม
“สีแดงและสีเงิน ท่านพี่มีหรือไม่?” กัวเซี่ยนเยว่กล่าวเสียงค่อย
“มีๆ ข้าไปหยิบให้” อวี๋หวั่นเดินเข้าห้องไปหยิบด้ายสี
จากนั้นก็มีเสียงสนทนาของพี่สาวและน้องชายดังมาจากด้านใน
“ท่านพี่ๆ! บ้านเรามีแขกหรือ?”
“พี่เยว่ของเจ้าไง รีบไปใส่เสื้อผ้าเร็ว!”
“ไอ้หยา กางเกงตัวนี้คับแล้วละ! ข้าใส่ไม่เข้าแล้ว!”
“ก็เจ้าอ้วนขึ้นนี่ เดือนที่แล้วพี่เพิ่งเย็บกางเกงให้”
“ไม่ใช่สักหน่อย! ข้าไม่ได้อ้วน!”
กัวเซี่ยนเยว่ได้ยินบทสนทนาของสองพี่น้อง ก็พลันรู้สึกอิจฉาขึ้นมา นางกับน้องสาวมิได้สนิทสนมกันถึงเพียงนี้ ทว่านางก็ไม่ได้รู้สึกอิจฉาได้นานเท่าไรนัก เพราะสายตาของนางถูกกล่องกำมะหยี่บนโต๊ะดึงดูดไปเสียก่อน
……………………………………….