บทที่ 6 บทที่ 64 ช่องว่างที่ไม่อาจลบล้างแม้จะสะดวกสบาย

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

สุดท้ายหม่าโฮ่วเต๋อก็รู้สึกว่า สิ่งที่นักเขียนเขียนถึงเมื่อสามสิบปีก่อนกับคดีนี้ดูลึกลับเกินไป และนักเขียนก็ยังตายไปแล้วด้วย  

 

เซอร์หม่าส่ายหน้า “แต่เรื่องราวเกิดขึ้นที่นี่ ไม่ใช่ต่างประเทศสักหน่อย? ฉันว่านะเหล่าฉิน พวกเราวางเรื่องสมมติฐานนี้ลงก่อน นายดูสิว่ายังมีเบาะแสอื่นๆ ที่จะบอกฉันอีกไหม?” 

 

 “พบรอยเท้าบริเวณที่เกิดเหตุ” เหล่าฉินเองก็น่าจะรู้สึกว่าเรื่องที่เขาพูดนั้นไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไร จึงไม่ได้ดื้อดึงต่อ “หลังจากลบรอยเท้าของตำรวจและคนที่มาแจ้งข่าวออก ก็เหลือรอยเท้าของคนแปลกหน้าเพียงคู่เดียว หากดูตามความลึกของรอยเท้า น่าจะเป็นของคนที่ค่อนข้างผอม อาจจะเป็นผู้ชายรูปร่างเพรียวบางหรือผู้หญิง” 

 

 “เป็นร่องรอยที่ฆาตกรทิ้งเอาไว้งั้นเหรอ?” หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้ว 

 

เหล่าฉินส่ายหน้า “ไม่แน่ บางทีคนแจ้งความอาจจะไม่ใช่คนแรกที่พบเห็น ก่อนหน้าเขาอาจจะมีใครมา แต่เลือกที่จะไม่แจ้งตำรวจ…เพียงแต่ว่า?” 

 

 “เพียงแต่ว่าอะไร?” 

 

 “หากเป็นคนที่อยู่ในสภาวะหวั่นวิตกตามปกติ รอยเท้าจะไม่เป็นแบบนั้น…” เหล่าฉินเอียงหัวและพูดอย่างประหลาดใจ “รอยเท้านี้ดูเหมือนค่อยๆ เดินจากไปอย่างสงบ” 

 

 “อืม…บนร่างของผู้ตายยังมีบาดแผลอื่นๆ อีกไม่ใช่เหรอ? เกิดอะไรขึ้น?” 

 

 “ทั้งหมดเป็นบาดแผลจากสัตว์” เหล่าฉินขมวดคิ้วเอ่ยว่า “มีทั้งแมวทั้งสุนัข…ดูสับสนวุ่นวายมาก” 

 

 “สัตว์เล็กพวกนี้ก็กินคนได้งั้นเหรอ?” หม่าโฮ่วเต๋อชะงัก…เขารู้สึกว่าคดีฆาตกรรมในครั้งนี้ดูซับซ้อนขึ้นไปเรื่อยๆ 

 

สุดท้ายแล้วเซอร์หม่าก็ไม่ได้เบาะแสอะไรที่ใช้ประโยชน์ได้ เขาจึงเกาหัวเดินออกจากห้องทำงานของเหล่าฉิน สูบบุหรี่กลับไปยังห้องของเขา  

 

ช่วงนี้ เซอร์หม่าเป็นอิสระมาก และกลับเข้าสู่รูปแบบเดิมของเขา  

 

เพราะอะไรกัน? 

 

ก็เพราะนักสืบหนุ่มจากสำนักงานในมณฑลไม่รู้ว่าไปไหน เขาไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว แต่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่รู้ว่าไปทำอะไร 

 

สิ่งเดียวที่หม่าโฮ่วเต๋อรู้ก็คือ เขายังไม่ได้ออกจากเมืองนี้ 

 

 “อา…น่ารำคาญจริงๆ!” หม่าโฮ่วเต๋อสูบบุหรี่หมดม้วนหนึ่งแล้วก็ยังไม่มีเบาะแสจึงพึมพำกับตัวเองว่า “ไปเล่นเกมไมน์สวีปเปอร์ก่อนดีกว่า” 

 

… 

 

… 

 

หงก้วนกำลังซักเสื้อผ้าให้ภรรยาของเขา ตอนนี้ห่างจากเวลาคลอดของจินจื่อเหยาเพียงแค่สองอาทิตย์เท่านั้น 

 

ลุงเจ้าของร้านซ่อมรถไม่ได้รั้งหงก้วนให้มาทำงานในช่วงนี้ เขาให้หงก้วนลาหยุดและให้ค่าจ้างตามเดิมอย่างใจกว้าง 

 

 “หงก้วน มีคนตามหาคุณแน่ะ!” 

 

เมื่อหงก้วนที่อยู่ในห้องน้ำได้ยินเสียงของภรรยา ก็วางของลงและเดินออกไป มีคนมาคนหนึ่งจริงๆ 

 

เป็นคนแก่คนหนึ่ง…ที่มาส่งของ? คนแก่ทรงผมหัวระเบิด? ล้ำสมัยขนาดนี้เลยเหรอ? 

 

เขามองท่าทางของภรรยาตนเองแวบหนึ่ง คงจะถูกคนแก่ล้ำสมัยคนนี้ทำให้ตกใจเช่นกัน จึงลอบมองอย่างระมัดระวัง 

 

 “เอ่อ…ลุงครับ คุณมาส่งของงั้นเหรอ?” หงก้วนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ 

 

 “ฉันจะมาส่งของไม่ได้เหรอ?” คงแก่ถลึงตาโตและดึงสัญลักษณ์บนหน้าอกเสื้อของตนเองลงมา “บริษัทส่งของสุ่ยเปี่ยว ไม่เคยได้ยินเหรอ?” 

 

 “ไม่เคยได้ยินจริงๆ…” หงก้วนส่ายหน้า จากนั้นก็พูดว่า “แต่ผมไม่ได้ซื้ออะไรนะ?” 

 

แต่คนแก่หัวระเบิดคนนี้กลับดูรำคาญมาก เมื่อวางของลงแล้วก็ให้หงก้วนเซ็น จากนั้นก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดอะไรอีก  

 

 “ของอะไรน่ะ?” จินจื่อเหยาเอ่ยถามอย่างสนใจ 

 

หงก้วนส่ายหน้าพร้อมเปิดห่อ ความเป็นจริงแล้วมันเป็นเหมือนถุงใส่พวกเอกสารและก็บางมาก ด้านในคงไม่สามารถใส่อะไรได้มาก 

 

หงก้วนล้วงเอาซองจดหมายเล็กๆ ออกมา หลังจากเปิดแล้ว หงก้วนก็หันมองภรรยาของตัวเองและพูดอย่างแปลกใจว่า “นี่เป็นบัตรผ่านของสถานีโทรทัศน์…” 

 

อีกทั้งยังเป็นบัตรผ่านเข้าร่วมชมรายการชั้นหนึ่งอย่างรายการ ‘นักดนตรี’ ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น…หงก้วนขมวดคิ้ว นอกจากเฉิงอี้หรานแล้ว เขาก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่ายังจะมีใครส่งของเช่นนี้มาให้เขาอีก 

 

แต่…ทำไมต้องส่งมาด้วย? 

 

… 

 

… 

 

 “คนเยอะทีเดียว” 

 

ลั่วชิวมองดูผู้คนที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง คนเหล่านี้กำลังรอที่จะเข้าไปข้างใน แน่นอนว่ามีบางคนถูกจัดเอาไว้เพื่อแสดงต่อหน้ากล้อง และก็มีบางคนโชคดีได้รับเลือกมา… 

 

เจ้าของสมาคมก็ว่าง เขาเบื่อจนใช้เวลาชีวิตแลกซื้อข้อมูลอันไร้ประโยชน์ 

 

นี่คือสตูดิโอของรายการ ‘นักดนตรี’ หากจะถามว่าเจ้าของสมาคมกับคุณหนูสาวใช้มาทำไม?  

 

ไม่สู้ถามว่ายังมีที่ไหนในโลกนี้ที่ทั้งสองคนไปไม่ได้อีก 

 

 “มีคนแปดร้อยคนจากสาธารณะเป็นคนตัดสิน” โยวเย่มองดูสถานการณ์โดยรอบ จากนั้นก็เอ่ยเตือนอย่างรู้หน้าที่ว่า “นายท่านคะ คุณเริ่นกับคุณหลีจื่อก็มา อยู่ทางนั้นแน่ะค่ะ”  

 

ลั่วชิวก็เหลือบมองแวบหนึ่ง “เป็นแค่นักข่าวมาที่นี่เท่านั้น ไม่ต้องสนใจ…พวกเราเข้าไปกันเถอะ” 

 

เจ้าของสมาคมพาสาวใช้ของตัวเองเดินผ่านหน้าเจ้าหน้าที่ไปอย่างสงบ ไปนั่งลงตรงที่นั่งสุดท้ายของแถวแรกก่อนเวลาเปิดอย่างเป็นทางการจะเริ่มต้นขึ้น 

 

คนจะรู้ว่าที่นี่มีคนนั่งแล้ว แต่จะไม่มีใครรู้ว่าคนที่นั่งนั้นเป็นใคร…หลังผ่านไปแล้วก็จะไม่มีใครคิดออก แม้แต่ความทรงจำก็จะหายไปด้วย 

 

เจ้าของสมาคมลดความรู้สึกคงอยู่ของตนเองและโยวเย่ลงเกือบถึงศูนย์ 

 

 “ทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นเธอใช้โทรศัพท์เลย?” ครั้งนี้ลั่วชิวหยิบโทรศัพท์ออกมาและปิดเสียง 

 

แม้จะทำให้ความรู้สึกคงอยู่หายไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงทำสิ่งที่คนปกติทำ แม้ว่าการกระทำนี้อาจจะดูไม่จำเป็นก็ตาม 

 

ลั่วชิวก็สังเกตเห็นการกระทำของตัวเอง แต่ตัวเขาก็ให้คำอธิบายกับตัวเองว่า บางทีเขาอาจจะกำลังรักษาส่วนที่เป็นมนุษย์เอาไว้ 

 

และก็ไม่ได้มีอะไรที่ไม่ดี 

 

 “โยวเย่ไม่จำเป็นต้องใช้ค่ะ” คุณหนูสาวใช้ยิ้มและเอ่ยว่า “ฉันจะได้ยินเสียงเรียกของนายท่านเสมอ ไม่จำเป็นต้องใช้ของประเภทนี้” 

 

ไม่เหงาเหรอ? 

 

ลั่วชิวเกิดความคิดนี้ขึ้นในใจ 

 

เขาคิดถึงภาพที่โยวเย่นั่งอยู่คนเดียวในสมาคม 

 

เธอนั่งอยู่ในความมืดด้วยหลังตรง วางสองมือไว้บนหน้าขา หลับตาอยู่ตรงนั้นเงียบๆ…รอให้มีคนมาเพื่อจะได้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง 

 

ส่วนนาฬิกาโบราณข้างผนังก็ยังคงเคาะต่อไป 

 

เสียงเคาะสำหรับเธอนั้นเป็นเพียงเวลาที่ไร้ความหมาย 

 

 “แต่ก่อนมนุษย์ก็ไม่เห็นต้องใช้ของแบบนี้” ลั่วชิวมองดูโทรศัพท์ของตัวเองและเอ่ยว่า “เผชิญหน้าพูดคุยกัน ตามองตา บางครั้งก็จับมือกันหรือนั่งด้วยกัน แต่ก็มักจะต้องอยู่ใกล้กัน” 

 

 “แต่หากระยะทางไกลก็จำเป็นต้องใช้มัน” โยวเย่เอ่ย “นี่ถือเป็นความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์” 

 

 “แต่ก็มีระยะห่าง…” ลั่วชิวมองไปบนเวทีและเอ่ยขึ้นว่า “แต่ก็ไม่เห็นต้องหายไปเพราะมีของสิ่งนี้เลย” 

 

แต่เมื่อพูดถึงตรงนี้ ลั่วชิวก็ส่ายหน้า ชี้ไปยังกลางเวทีและเอ่ยว่า “ยังไม่เริ่มต้น แต่ในเมื่อได้มาแล้ว ฉันจะถ่ายรูปให้เธอเอง” 

 

เจ้าของสมาคมพลิกมือ ทันใดนั้นกล้อง Hasselblad 500C* ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา 

 

ลั่วชิวจูงมือโยวเย่มาที่กลางเวที ยิ้มและเอ่ยว่า “ครั้งหนึ่งคุณเคยอยู่ที่นี่ โอเคไหม?” 

 

แสงไฟบนเวทีสว่างขึ้นชั่วขณะ 

 

… 

 

… 

 

 “หืม แปลกจริง ใครเปิดไฟบนเวทีกัน?” 

 

ตอนที่จงลั่วเฉินกำลังเดินบนทางเดิน ก็ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่รีบเดินผ่านไป แน่นอนว่าเขาไม่ได้สนใจ  

 

เขาเพียงกำลังเดินไปห้องพิเศษพร้อมกับเฉิงอวิ๋น ด้านล่างสตูดิโอมีที่นั่งสำหรับผู้เข้าชมธรรมดาและที่นั่งชั้นหนึ่งสำหรับผู้ตัดสิน แต่ก็ต้องมีที่นั่งเอาไว้สำหรับแขกวีไอพีด้วยเช่นกัน 

 

เฉิงอวิ๋นไม่คิดว่าคุณชายรองจะมาร่วมงานนี้ด้วย…แต่หลังจากรับรู้ความต้องการของจงลั่วเฉินแล้ว เขาก็รีบจัดการในทันที สำหรับเหตุผลนั้น ในเมื่อเจ้านายไม่พูดเขาก็ไม่กล้าถาม 

 

นี่เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของผู้ติดตามที่ดี 

 

หัวหน้าสถานีโทรทัศน์ช่องนี้ถือว่าเป็นคนซึ่งอยู่ภายใต้ตระกูลของคุณชายรองผู้นี้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะจัดสถานที่ดังกล่าว 

 

 “คุณชายรอง รออยู่ที่นี่สักครู่นะครับ ผมจะไปหาอะไรมาให้ดื่มและจะไปดูด้วยว่าเฉิงอี้หรานเตรียมตัวเป็นยังไงบ้าง จากนั้นผมก็จะไปรอคุณหนูจางที่หน้าประตูและพาเธอมาที่นี่” 

 

 “ไปเถอะ” จงลั่วเฉินพยักหน้า 

 

เขานั่งลงและไม่ได้เปิดม่านด้านหน้าขึ้น เพียงแค่นั่งหลับตาเงียบๆ เขาไม่ได้สนใจกับการแข่งขันแบบนี้ 

 

เขาเพียงอยากจะดูว่าเฉิงอี้หรานจะทำได้ถึงขนาดไหน…คืนนี้จะเป็นเหมือนครั้งที่อยู่ในคลับ K&C ไหม สามารถทำให้ผู้ชมทั้งแปดร้อยคนในที่นี่หลงใหลได้หรือเปล่า  

 

 “ถ้าหากว่ามี…เวทมนตร์แบบนั้นอยู่จริงๆ” จงลั่วเฉินหัวเราะเบาๆ และพูดกับตัวเอง “ก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะลงทุน” 

 

… 

 

ด้านนอกสถานีโทรทัศน์ หงก้วนถือบัตรผ่านด้วยสีหน้าลังเล…ไม่รู้ว่าควรเข้าไปดีหรือไม่  

 

เขายังคงมีเบอร์โทรศัพท์ของเฉิงอี้หรานอยู่ 

 

แต่เขาก็ไม่ได้โทรหาเฉิงอี้หรานมานานแล้ว 

 

 

 

* Hasselblad 500C คือกล้องฟิล์มรุ่นหนึ่ง