บทที่ 6 บทที่ 65 กลายเป็นปลาเค็มแล้ว

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

เฉิงอวิ๋นคิดว่าในตอนแรกที่เจ้าสัวจงอยากให้ตระกูลจงกับตระกูลจางเกี่ยวดองกัน เหตุผลส่วนใหญ่น่าจะเป็นเพราะเจ้าสัวจงอาจมีความรู้สึกพิเศษกับคุณผู้หญิงจาง 

 

จากมุมเล็กๆ ทำให้เขาดูออกได้ไม่ยากว่าเจ้าสัวจงรู้สึกแบบนั้น ความรู้สึกของผู้คนในยุคนั้นกับคนในยุคปัจจุบันมีมุมที่แตกต่างกันอยู่บ้าง 

 

แต่ต่อมาความคิดนี้ก็ค่อยๆ ลดลง…เพราะคุณหนูจางผู้นี้เป็นผู้สืบทอดตระกูลที่ถือว่าโดดเด่นคนหนึ่ง  

 

ทรัพย์สินที่อยู่เบื้องหลังของตระกูลจางนั้นยากประเมินค่าได้…และคนร่ำรวยที่ผู้คนรู้จักในประเทศยังยากจะเทียบเทียมได้ 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลอันมั่งคั่งสวมเสื้อผ้าราคาไม่กี่สิบหยวน และขับรถฟ็อลคส์วาเกินที่ราคาต่อคันเพียงแสนกว่าหยวนออกมาข้างนอก 

 

เจ้าสัวจงเคยผ่านความยากลำบากมามาก ต่อมาก็ได้เข้าร่วมกองทัพ จึงใช้ชีวิตอย่างประหยัดมัธยัสถ์…บางทีเจ้าสัวจงอาจจะชอบคนรุ่นเยาว์ที่เป็นเช่นนี้ 

 

 “คุณหนูจาง มาแล้วหรือครับ” 

 

เมื่อจางชิ่งหรุ่ยจอดรถนอกสถานีโทรทัศน์แล้ว เฉิงอวิ๋นก็รีบเดินเข้าไป “คุณชายรองรอคุณหนูอยู่ด้านในแล้วครับ” 

 

 “งั้นไปกันเถอะค่ะ” จางชิ่งหรุ่ยพยักหน้า “เดินเข้าทางประตูข้างได้ไหม?” 

 

 “คุณหนูวางใจได้ ผมเตรียมเอาไว้แล้ว” เฉิงอวิ๋นรีบพยักหน้าและเอ่ยว่า “โปรดตามผมมา” 

 

เขารู้ว่าจางชิ่งหรุ่ยไม่ชอบปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานีโทรทัศน์ในคืนนี้มีบุคคลมีชื่อเสียงมาไม่น้อย ทำให้ประตูทางเข้าเต็มไปด้วยกล้องและแฟนคลับของเหล่าดารารออยู่จำนวนมาก 

 

 “ฉันอาจจะต้องกลับก่อน” จางชิ่งหรุ่ยก้มหน้าเอ่ยเบาๆ “เพราะเดี๋ยวฉันยังต้องไปหาคุณย่าที่โรงพยาบาลอีก ฉันจะมาดูแค่คนใหม่ที่บริษัทอยากดันเท่านั้น” 

 

นี่เป็นบริษัทที่ตระกูลจงและตระกูลจางร่วมกันก่อตั้งขึ้นมา จางชิ่งหรุ่ยมีจำนวนหุ้นในบริษัทเฟยอวิ๋นพอๆ กันกับจงลั่วเฉิน ส่วนหุ้นที่เหลือก็อยู่ในนามของบริษัทใหม่ 

 

ในเมื่อได้ลงทุนในบริษัทนี้แล้ว ดังนั้นถึงเธอจะไม่สนใจแค่ไหนก็ต้องมาดูบ้าง 

 

ในงานครบรอบวันเกิดของจางหลี่หลันฟางนั้นก็ไม่มีประกาศเรื่องการหมั้นหมายของเธอกับตระกูลจง ซึ่งถือว่าจางหลี่หลันฟางได้ถอยให้เธอแล้วหนึ่งก้าว 

 

หลังจากเรื่องราวผ่านไปแล้วก็ไม่พูดถึงอีก ทั้งสองตระกูลยังคงรักษาทัศนคติอันคลุมเครือต่อไป 

 

ดังนั้นจางชิ่งหรุ่ยถึงรู้ว่าอย่างน้อยเธอก็ต้องสนใจเรื่องบริษัทใหม่บ้าง…ถือว่าเป็นการตอบแทนที่คุณย่าเคยอ่อนข้อให้ 

 

ส่วนคุณย่าของเธอ หลังจากงานครบรอบวันเกิดแล้วก็ค่อนข้างเงียบและมักจะใจลอยเสมอ…แต่ก่อนคุณย่าของเธอจะจัดการเรื่องธุรกิจของตระกูลจางอย่างละเอียดรอบคอบ แต่มาช่วงนี้กลับไม่ค่อยสนใจมากนัก 

 

แต่สิ่งที่ทำให้จางชิ่งหรุ่ยแปลกใจก็คือ…จางหลี่หลันฟางในตอนนี้ดูแตกต่างออกไปจากปกติ 

 

เหมือนเป็นคุณย่าธรรมดาคนหนึ่งที่มีเรื่องในใจ 

 

จางชิ่งหรุ่ยครุ่นคิดขณะเดินตามเฉิงอวิ๋นผ่านทางพิเศษเข้าไปในสถานีโทรทัศน์ 

 

 “รอเดี๋ยว ไม่ได้ไปที่สตูดิโองั้นเหรอ?” ทันใดนั้นจางชิ่งหรุ่ยก็หยุดเท้าลง 

 

ชั่วขณะนั้นเฉิงอวิ๋นก็ยิ้มและเอ่ยว่า “คุณหนูจาง พวกเรามีสถานที่รับชมพิเศษสำหรับบุคคลสำคัญ อีกอย่างนายน้อยรู้ว่าคุณหนูไม่ชอบสถานที่วุ่นวาย จึงจัดห้องที่เงียบสงบเอาไว้ห้องหนึ่ง คุณหนูวางใจได้ จะไม่มีใครเข้าไปรบกวนพวกคุณ” 

 

 “อืม…ก็ดี” จางชิ่งหรุ่ยพยักหน้า 

 

เธอไม่ได้รู้สึกดีเป็นพิเศษต่อจงลั่วเฉินและก็ไม่ได้รังเกียจ แต่ก็ไม่อยากเข้าใกล้คนคนนั้นมากนัก…อย่างน้อยก็จะไม่พูดคุยอะไรมาก 

 

เธอรู้สึกว่าภายในของชายหนุ่มผู้ดูสมบูรณ์แบบคนนี้ เป็นเหมือนความว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรเลย  

 

เหมือนผิวหนังภายนอกของเขาดูสมบูรณ์แบบ แต่ด้านในกลับไม่มีกระดูก? 

 

 “เดี๋ยวก่อน” 

 

ตอนนี้จางชิ่งหรุ่ยหยุดลงอีกครั้ง และเดินไปอีกมุมหนึ่งของทางเดิน ซึ่งตรงนั้นมีคนอยู่สองคน เฉิงอวิ๋นเห็นดังนั้นก็รู้สึกสงสัย  

 

ผู้หญิงสองคนนี้ 

 

เฉิงอวิ๋นมีความจำดีมาก ถ้าหากเขาความจำไม่ดีแล้วจะฝ่าฟันคนนับหมื่นมาติดตามจงลั่วเฉินได้อย่างไร? 

 

เขาจำหนึ่งในผู้หญิงสองคนนี้ได้ทันที เขาเคยเห็นมาก่อน…และยังเคยสืบประวัติมาก่อนด้วย 

 

หลายเดือนก่อน ตอนที่จงลั่วเฉินมาถึงเมืองนี้ ก็ได้พบผู้หญิงคนนี้ที่ร้านกู่เย่ว์ไจของจางชิ่งหรุ่ย เขาจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้ชื่อเริ่นจื่อหลิง เป็นรองบรรณาธิการสำนักพิมพ์ค่อนข้างมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง 

 

 “สวัสดีค่ะ คุณเริ่น” 

 

ตอนนี้เริ่นจื่อหลิงกับหลีจื่อกำลังนั่งยองๆ บนพื้นและเคาะกระเป๋าเป้ เริ่นจื่อหลิงชะงัก เงยหน้าขึ้นมา “คุณหนูจาง! เธอนี่เอง ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะ” 

 

ไม่เพียงแต่เคยสัมภาษณ์หญิงสาวเจ้าของร้านขายของโบราณผู้นี้ แต่ต่อมาก็ได้รู้ว่าจางชิ่งหรุ่ยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเพียงคนเดียวของลูกเลี้ยงของเธออีก เริ่นจื่อหลิงจึงตื่นเต้นขึ้นมาชั่วขณะ “เธอเองก็มาที่นี่ด้วยงั้นเหรอ?” 

 

จางชิ่งหรุ่ยยิ้มและเอ่ยว่า “ฉันมาดูนิดหน่อยน่ะค่ะ” 

 

 “อ๋อ…” เริ่นจื่อหลิงพยักหน้า “จริงสิ ฉันเคยอ่านข้อมูลของบริษัทเฟยอวิ๋น จำได้ว่าบนรายชื่อผู้บริหารมีชื่อเธอด้วย ครั้งนี้ตั้งใจมาดูคนใหม่ของบริษัทใช่ไหม?” 

 

จางชิ่งหรุ่ยพยักหน้า “คุณเริ่นประสาทสัมผัสไวจริงๆ ค่ะ” 

 

“แน่นอน ก็ฉันใช้มันหากินนิ” 

 

“อืม…ดูแล้ว พวกคุณคงอยู่รอรายการที่จะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้าใช่ไหมคะ?” 

 

“ใช่แล้ว” เริ่นจื่อหลิงถอนหายใจ “เจ้าของสำนักพิมพ์มอบหมายงานมา ไม่อยากมาก็ต้องมา…ฉันไม่ได้หมายความถึงอะไรไม่ดีหรอกนะ แต่ฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไร” 

 

จางชิ่งหรุ่ยส่ายหน้าแสดงออกว่าไม่เป็นไรอย่างใจกว้าง “อืม…มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ? ฉันเห็นคุณกับเพื่อนร่วมงานของคุณเหมือนกำลังพูดคุยอะไรกัน?” 

 

เริ่นจื่อหลิงกลอกตาขาว “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ แค่การจัดที่นั่งที่นี่ต่างไปจากเดิม เมื่อกี้ฉันเพิ่งจะทะเลาะกับคนจัดรายการมาเอง” 

 

จางชิ่งหรุ่ยพยักหน้า ทันใดนั้นก็หันหน้าไปมองเฉิงอวิ๋นที่เดินเข้ามายืนอยู่ด้านหลังเธออย่างระมัดระวัง “เฉิงอวิ๋น คุณไปดูสิว่าพอช่วยอะไรคุณเริ่นได้บ้างไหม” 

 

 “ได้ครับ” เฉิงอวิ๋นรีบพยักหน้าและเอ่ยว่า “ผมจะไปคุยกับคนจัดรายการสักหน่อย ให้เขาจัดที่นั่งที่ดีที่สุดให้คุณเริ่น” 

 

 “ว้าว จะลำบากเกินไปหรือเปล่า?” 

 

พี่เริ่น…เห็นชัดเลยว่าพี่ตั้งใจ! 

 

หลีจื่อที่มองทะลุทุกอย่าง…ล้วงเอาซาลาเปาออกมากินลูกหนึ่ง 

 

 “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ได้ช่วยคนแล้วฉันก็มีความสุข” จางชิ่งหรุ่ยยิ้ม “แต่ก่อน ฉันก็เคยได้ลั่วชิวช่วยเหลือเหมือนกันค่ะ” 

 

เมื่อเธอเห็นเฉิงอวิ๋นรีบเดินจากไป และคิดว่าคงจะไปพูดคุยกับคนจัดรายการแล้ว เธอถึงพูดขึ้นมาว่า “จริงสิคะ ช่วงนี้ลั่วชิว…เป็นยังไงบ้าง เขาสบายดีไหม?” 

 

 “ก็ดีนะ กินได้ นอนได้ เยาะเย้ยฉันได้” เริ่นจื่อหลิงตอบโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเธอก็รู้สึกแปลกๆ จึงถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “เอ๋ พวกเธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันไม่ใช่เหรอ? เจอกันทุกวัน ยังมาถามฉันอีกทำไม?” 

 

จางชิ่งหรุ่ยพูดอย่างมึนงงว่า “แต่ก่อนพวกเราก็ไม่ค่อยได้เจอกันสักเท่าไร…ตอนนี้ได้ยินทางมหา’ลัยบอกว่าเขาขอลาออกไปแล้ว หลังปิดเทอมฤดูร้อนก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยค่ะ” 

 

 “ลา…ออก?” 

 

 “คุณเริ่น ดูจากท่าทางของคุณแล้ว…” จางชิ่งหรุ่ยขมวดคิ้ว “คุณไม่รู้ใช่ไหมคะ?” 

 

 “ฮะๆ ฉันจะไม่รู้ได้ไง?” เริ่นจื่อหลิงหัวเราะฮะๆ อีกหลายคำ “ฉันก็ต้องรู้สิ…ฮ่าๆๆๆ เขาสบายดี ไม่เป็นอะไร ขอบคุณที่เป็นห่วง!” 

 

ฉันจะไปรู้…ได้ไง! 

 

ลั่วชิว…แกตายแน่! 

 

… 

 

… 

 

ทำไมเจ้าของสมาคมถึงมาอยู่ที่นี่? 

 

เหตุใดคุณหนูสาวใช้ผู้เลวร้ายที่สุดของสมาคมถึงได้มาอยู่ที่นี่? 

 

สำคัญที่สุดก็คือเขามาถึงที่นี่ก่อนนานแล้ว 

 

แต่ไหนแต่ไรมาก็มีเพียงเจ้าของสมาคมเท่านั้นที่รับรู้ความเคลื่อนไหวของภูตดำ ภูตดำจะไม่รู้ความเคลื่อนไหวของเจ้าของสมาคม…หรือเจ้าของสมาคมจะรู้ถึงการกระทำเล็กน้อยของเขาจึงมาตรวจสอบ?  

 

สิ่งนี้ทำให้ไท่อินจื่อที่กำลังจะสร้างข่าวใหญ่รู้สึกเศร้าใจ หลังจากมองสปอร์ตไลท์ของสตูดิโอส่งไปที่มุมสี่สิบห้าองศาแล้ว เขาก็รีบเข้าไปรายงานตัวทันที 

 

 “นายท่าน…มาได้อย่างไรขอรับ?” 

 

เจ้าของสมาคมที่เพิ่งถ่ายรูปบนเวทีให้โยวเย่เสร็จเหมือนจะอารมณ์ดีไม่น้อย จึงพูดล้อเล่นว่า “ถ้าฉันบอกว่าฉันมาตรวจสอบนาย นายจะดีใจไหม?” 

 

 “ดี ดีใจสิขอรับ!” 

 

ร่างกายของไท่อินจื่อแข็งทื่อ “ต้องดีใจสิ จะไม่ดีใจได้ยังไง! ข้าดีใจมาก! เหมือนมีไอเซียนเข้ามาในร่าง เหมือนมีดอกไม้เบ่งบานไปทั่ว! เหมือนได้กลายเป็นเทพ! ให้ตายสิ…ข้า ข้าไม่รู้ว่าจะพูดยังไงแล้ว…” 

 

 “งั้นก็นั่งลงเถอะ” ลั่วชิวเพียงแค่โบกมือ “คืนนี้นอกจากเฉิงอี้หรานแล้วยังมีนักดนตรีที่ฉันชอบอีกคน ในเมื่อนายมาแล้วก็มาดูด้วยกันเถอะ” 

 

 “รับ รับคำสั่งขอรับ” 

 

ไท่อินจื่อไม่กล้าทำตัวโอหังต่อหน้าเจ้าของสมาคม จึงนั่งเพียงแค่หนึ่งส่วนสามของเก้าอี้เท่านั้น 

 

น่า…จะไม่มีอะไร? ไท่อินจื่อถอนหายใจ 

 

 “อืม…ให้หงก้วนมาด้วยเหรอ” คิดไม่ถึงว่าเจ้าของสมาคมจะพูดเบาๆ ขึ้นมา “เป็นความคิดที่น่าสนใจดี” 

 

ไท่อินจื่อรู้สึกว่าตัวเองต้องตายแน่นอน จึงกลายเป็นปลาเค็ม*ไปแล้ว… 

 

 

 

*ปลาเค็มในที่นี่หมายถึงสภาวะที่หมดสิ้นความหวัง