บทที่ 6 บทที่ 66 คนที่จากไปสะท้อนเหมือนน้ำพุร้อน

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

ไท่อินจื่อนั่งลง ท่าทีเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด ดูกระสับกระส่ายชอบกล 

 

ลั่วชิวมองเห็นและครุ่นคิดว่า ภายในสำนักที่นักพรตเฒ่าคนนี้อยู่เมื่อห้าร้อยปีก่อนนั้นเขามีหน้าที่อะไร แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา 

 

 “นายท่าน…จะดื่มอะไรสักหน่อยไหม?” 

 

ไท่อินจื่อฝืนพูดออกมา แต่เพียงแค่พูดออกไปก็รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง…เขารู้สึกได้ถึงสายตาจ้องมองจากคุณหนูสาวใช้ 

 

ดวงตาสีฟ้าที่…เฉียบคมและขี้เล่น 

 

เรื่องดูแลอาหารการกินของนายท่าน…ข้าไม่ได้คิดจะแย่งงานท่านเลยจริงๆ อย่ามองข้าอย่างนี้ ชั่วขณะนั้นไท่อินจื่อก็สั่นสะท้านขึ้นมา 

 

 “ฉันไม่หิว” ลั่วชิวมองดูไท่อินจื่อที่นั่งอย่างกระสับกระส่าย เขามีความคิดอยู่ในใจ 

 

เขายิ้มและพูดเหมือนให้กำลังใจว่า “ไท่อินจื่อ นายยังจำยุทธภพที่เป็นของนายเมื่อห้าร้อยปีก่อนได้ไหม?” 

 

ไท่อินจื่อชะงัก 

 

หลังจากเขาชะงักแล้วก็เริ่มครุ่นคิดขึ้นมา 

 

ห้าร้อยปีก่อน…ยุทธภพที่เป็นของเขางั้นหรือ? 

 

เป็นอย่างไรกัน? 

 

ในขณะที่ไท่อินจื่อกำลังมึนงงก็เหมือนมองเห็นผืนภูเขาและสายน้ำ…นั่นเป็นยุทธภพที่ไกลออกไป  

 

… 

 

กลุ่มคนสามคนของสมาคมเงียบลง 

 

คุณหนูสาวใช้คุ้นเคยกับการรอคอย ส่วนเจ้าของสมาคมก็เพลิดเพลินไปกับกระบวนการของการรอคอย ส่วนภูตดำไท่อินจื่อ ดูเหมือนเขาก็กำลังรออะไรอยู่เหมือนกัน 

 

… 

 

… 

 

ด้านหลังเวทีมีห้องส่วนตัวสำหรับนักดนตรีที่อีกครู่หนึ่งจะขึ้นแสดง ช่างแต่งหน้ากำลังแต่งหน้าให้เฉิงอี้หราน อิงตามกฎของรายการ นักดนตรีที่มาเข้าร่วมในรายการนี้จะกำหนดตามผลโหวตจากผู้ชม…ยิ่งผลโหวตมากและความคาดหวังมากเท่าไร การแสดงก็จะอยู่ด้านหลังมากเท่านั้น 

 

เฉิงอี้หรานขึ้นเวทีเป็นคนแรก 

 

แต่หลี่จื่อเฟิงบอกว่าไม่เป็นอะไร เพราะเขาเชื่อว่าเฉิงอี้หรานจะสามารถสยบหูคนฟังได้ในทันทีที่เริ่มเล่น 

 

 “เดินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ตอนนี้นายไม่ต้องคิดอะไรแล้ว” หลี่จื่อเฟิงกดบ่าของเฉิงอี้หราน มองไปยังเขาที่อยู่ในกระจก “อีกเดี๋ยว ระเบิดความสามารถของนายออกมาให้หมด นับตั้งแต่คืนนี้ไปทุกคนต้องจดจำชื่อของนาย” 

 

หลี่จื่อเฟิงมีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของคนจริงๆ 

 

แม้วิธีที่เขาใช้จะไม่สง่าผ่าเผยสักเท่าไร แต่วิธีของเขาก็ได้ผล ไม่ใช่หรือ? 

 

นักดนตรีใหม่ที่อยู่ในสายตาคนนี้เชื่อใจเขาอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ หลี่จื่อเฟิงเชื่อว่าต่อไปความสัมพันธ์ชนิดนี้จะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก 

 

 “แอบบอกข่าวกับนายสักเรื่องแล้วกัน คุณจงก็มาด้วย” 

 

เวลานี้หลี่จื่อเฟิงพูดอย่างจริงจังว่า “นายรู้หรือยัง ว่าบริษัทให้ความสำคัญกับนายมากแค่ไหน นายจะคิดว่าที่ฉันพูดเรื่องพวกนี้กับนายเป็นการเพิ่มความกดดันให้นายก็ได้ แต่นายต้องรู้เอาไว้ว่าหากเพียงแค่ความกดดันเท่านี้นายยังรับไม่ได้…” 

 

ทันใดนั้นเฉิงอี้หรานก็โบกมือ “ผมอยากอยู่เงียบๆ สักพัก…ก่อนที่จะขึ้นเวที” 

 

 “ก็ดี เมื่อถึงเวลาแล้วฉันจะเรียกนาย” หลี่จื่อเฟิงพยักหน้า “ฉันจะรอนายอยู่ด้านนอกแล้วกัน” 

 

เฉิงอี้หรานนั่งอยู่ในห้องพักผ่อนขนาดไม่ใหญ่นัก เขาวางกีตาร์ของเขาไว้บนหน้าขา ดีดมันเบาๆ พร้อมกับมองตัวเองในกระจก 

 

 “ในที่สุดก็เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว” 

 

 “เธอมองเห็นไหม? ในที่สุดฉันก็เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว นำความฝันของเธอและฉัน…ความฝันของพวกเรา” 

 

ฉันในที่นี่หมายถึงตัวเขาเอง แต่คนที่เขาพูดถึงกลับไม่ใช่หงก้วน แต่ก่อนเฉิงอี้หรานเคยคิดว่าฉันจะหมายถึงเขาและหงก้วน แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงเขาคนเดียว 

 

 “แต่ไม่เป็นไร” เฉิงอี้หรานพูดกับตัวเอง 

 

เพียงแค่เธอในที่นี่…ยังคงเป็นเธอก็พอแล้ว 

 

เฉิงอี้หรานเปลี่ยนจากดีดอย่างสุ่มสี่สุ่มห้ากลายเป็นเพลง เพลงหนึ่งที่แต่งไม่จบ เพลงหนึ่งที่เขาไม่สามารถจบมันได้และก็ไม่ใช่เพลงที่เขาแต่ง 

 

 “เธอ…จะได้ยินไหม?” 

 

วันนี้เขาจะทำให้มันสมบูรณ์ 

 

… 

 

 “เธอ…เธอก็เห็นแล้วใช่ไหม? เฉิงอี้หรานจะได้ขึ้นเวทีเป็นคนแรกแล้ว” 

 

บนที่นั่งคนดู หงก้วนนั่งอยู่เงียบๆ ตำแหน่งที่นั่งของบัตรที่ส่งมาอยู่ใกล้เวทีอย่างเหนือความคาดหมาย ในที่สุดเขาก็เดินเข้ามาแล้ว 

 

มองดูเวทีนี้แล้วก็ทำให้หงก้วนคิดไปถึงบรรยากาศครั้งแรกที่เขาขึ้นบนเวที…แน่นอนว่าเวทีในครั้งนั้นเทียบไม่ได้กับเวทีตรงหน้านี้  

 

มันเป็นเพียงสถานที่เล็กๆ ในตรอกของเมืองเก่า…เป็นบาร์เล็กแห่งหนึ่งเท่านั้น 

 

ในครั้งยังเป็นแค่การรวมกลุ่มกันของหนุ่มสาวไม่กี่คน ซึ่งไล่ตามความฝันทางดนตรีอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าไม่เกรงกลัวดิน 

 

พวกเขาไม่มีโปสเตอร์ของตัวเอง ครั้งแรกที่ขึ้นเวทีก็เขียนแค่ชื่อวงและราคาตั๋วบนกระดานที่ติดตรงหน้าประตูเท่านั้น 

 

หงก้วนยังจำได้ดี ว่าการขึ้นแสดงในครั้งแรกขายตั๋วได้เพียงแค่ห้าใบ ใบละห้าสิบหยวน ไม่พอแม้แต่ค่าอาหารของพวกเขามื้อหนึ่งเลยด้วยซ้ำ  

 

แต่ครั้งแรกนั้นกลับทำให้เขาจดจำไปตลอดชีวิต 

 

พวกเราไม่สมควรจดจำครั้งแรกที่พวกเรา…ไล่ล่าหาความฝันงั้นเหรอ? 

 

วันเวลาล่วงผ่านไป 

 

หงก้วนได้ยินไม่ชัดว่าพิธีกรกำลังพูดอะไร แต่เขาได้ยินเสียงปรบมือ…เขาจึงรู้ว่าเฉิงอี้หรานขึ้นเวทีแล้ว 

 

เสียงปรบมือเกรียวกราวนี้ต้องยกให้เป็นผลงานของพิธีกร แต่หงก้วนคิดว่าน่าจะเป็นเพราะบริษัทเฟยอวิ๋นเช่นกัน 

 

คนหนุ่มเจ็ดแปดคนนั่งอยู่หน้าเวทีถือป้ายไฟที่เขียนชื่อของเฉิงอี้หราน 

 

มีแฟนคลับแล้วเหรอ พัฒนาเร็วจริงๆ 

 

เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้ออกอัลบั้มอย่างเป็นทางการเลย 

 

 “ขอต้อนรับนักดนตรีคนแรกของเรา! เฉิงอี้หราน!” พิธีกรชี้ไปที่นักดนตรีที่เดินออกมา “คนใหม่คนนี้จะระเบิดความสามารถมาสยบพวกเราทุกคนได้หรือไม่? เชิญชมเลยครับ!” 

 

ตรงกลางของเวที เงาร่างคนปรากฏบนทางเดิน เมื่อเเสงไฟสปอตไลท์ส่องไป หงก้วนก็มองเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยแต่กลับแปลกหน้า…ทว่าเขาคิดว่าเฉิงอี้หรานคงมองไม่เห็นเขา เพราะเขานั่งอยู่ในที่มืด 

 

แสงสว่างและความมืดขั้นอยู่ตรงกลางระหว่างเวที แยกออกเป็นโลกสองใบที่แตกต่างกัน 

 

เฉิงอี้หรานไม่ได้โบกมือให้ผู้ชม เขาเพียงแค่เดินถือกีตาร์ออกมาธรรมดาๆ 

 

บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเงียบสงบ 

 

แต่เฉิงอี้หรานดูเหมือนจะเงียบสงบยิ่งกว่าทุกคนที่นี่อีก 

 

เขาเพียงแค่เสียบสายกีต้าร์ไฟฟ้าของเขากับเครื่องเสียงเงียบๆ แขวนมันแล้วหลับตาลง ยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่ด้านหน้าไมโครโฟน 

 

ผู้ชมยังคงนิ่งเงียบ…นิ่งเงียบผิดปกติ 

 

เพราะดูจากท่าทีของเฉิงอี้หรานแล้ว ดูเหมือนเขาตั้งใจจะ…แสดงเดี่ยวที่นี่? วงดนตรีล่ะ? 

 

ไม่มีมือเบส ไม่มีมือกลอง และไม่มีออแกนไฟฟ้า 

 

วาทยกรก็มองอย่างมึนงง…นักดนตรีที่เตรียมจะเล่นและร้องเอง ก็มักจะไม่ใช้วงดนตรีในพื้นที่อยู่แล้ว 

 

แต่คนใหม่คนนี้…ขึ้นเวทีแค่คนเดียว 

 

 “เกิดอะไรขึ้น?” หลี่จื่อเฟิงมองดูจากด้านล่างเวที ขมวดคิ้วขึ้นมา เขารีบโทรศัพท์ทันที “ทำไมถึงมีเฉิงอี้หรานขึ้นเวทีแค่คนเดียว? นักดนตรีคนอื่นๆ ล่ะ?” 

 

 “โปรดิวเซอร์หลี่ ตอนจะขึ้นเวที คุณเฉิงบอกให้พวกเราถอยออกไปและพูดว่าไม่จำเป็นต้องใช้พวกเรา” 

 

 “อะไรนะ?” หลี่จื่อเฟิงโมโหจนอยากโยนโทรศัพท์ทิ้ง “เขาต้องการทำอะไรกันแน่? เขาจะใช้กีตาร์ตัวเดียว…เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?” 

 

 “พวกเราก็ไม่รู้ครับ โมโหอยู่เหมือนกัน…นี่คิดจะแกล้งพวกเราเล่นงั้นเหรอ?” 

 

 “พวกนายรอก่อน” หลี่จื่อเฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ 

 

สิ่งที่เขาต้องทำคือจัดการความเสี่ยง…แต่ปัญหาก็คือเฉิงอี้หรานขึ้นเวทีไปแล้ว หากหยุดในเวลานี้จะดูน่าเกลียดเกินไป 

 

… 

 

 “นี่คือเฉิงอี้หรานงั้นเหรอ?” 

 

บนที่นั่งพิเศษเหนือสตูดิโอ จางชิ่งหรุ่ยมองผ่านม่านที่ถูกเปิดขึ้นไปยังกลางเวทีด้านล่าง…มองดูชายหนุ่มที่น่าจะผ่านจากช่วงวัยหนุ่มเลือดร้อนมาแล้ว 

 

ใบหน้าเรียบง่ายของเฉิงอี้หรานไม่ได้สร้างความประทับใจให้จางชิ่งหรุ่ยมากนัก มีเพียงตอนที่คนคนนี้เดินขึ้นมาบนเวทีเท่านั้นที่สร้างความแปลกใจให้เธอ 

 

 “บอกว่าเขาเล่นดนตรีร็อคไม่ใช่เหรอ?” จางชิ่งหรุ่ยถามอย่างแปลกใจว่า “เพลงแรกเป็นเพลงเดี่ยวงั้นเหรอ?” 

 

 “เฉิงอวิ๋น?” จงลั่วเฉินเพียงแค่เอ่ยถามขึ้นมาสั้นๆ 

 

เฉิงอวิ๋นรีบอธิบายว่า “คุณชายรอง ที่พวกเราวางแผนไว้ไม่ใช่แบบนี้ ตามแผนที่วางเอาไว้ ที่นี่เขาน่าจะต้องร้องซิงเกิลแรก พวกเราเชิญนักแต่งเพลงตัวท็อปมาแต่งเพลงให้เฉิงอี้หราน…นี่อาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดบางอย่าง ผมจะไปคุยกับทีมผู้จัดรายการเดี๋ยวนี้ครับ” 

 

 “ไม่ต้อง” จงลั่วเฉินส่ายหน้าและเอ่ยว่า “ดูสิว่าเขาคิดจะทำยังไง” 

 

จางชิ่งหรุ่ยมองจงลั่วเฉินแวบหนึ่ง จากนั้นก็ยกกล้องส่องทางไกลในมือขึ้นเพื่อมองไปบนเวทีต่อ…เลนส์กล้องส่งให้เธอมองเห็นเวทีได้ชัดขึ้น  

 

แต่ในขณะที่ขยับ จางชิ่งหรุ่ยก็หยุดลงกะทันหัน 

 

เธอเห็นอะไร? 

 

เธอเห็นเพื่อนร่วมชั้นคนนั้นของเธอในแถวแรก! 

 

จางชิ่งหรุ่ยวางกล้องส่องทางไกลในมือลง ขมวดคิ้วขึ้น…ความเคลื่อนไหวของเธอเบาบางมาก เบาบางจนเธอแน่ใจว่าจะไม่ดึงดูดความสนใจของจงลั่วเฉินและเฉิงอวิ๋น 

 

คุณหนูจางหัวใจเต้นแรง แต่ในตอนที่เธอส่องผ่านกล้องส่องทางไกลไปยังบริเวณนั้นอีกครั้ง กลับไม่พบอะไรแล้ว 

 

ตา…ฝาดไปงั้นเหรอ? 

 

ในเวลานี้เองเสียงก็ดังขึ้น…เป็นเสียงของเฉิงอี้หราน  

 

 “มีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชอบร็อคยิ่งกว่าใครๆ มีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอทิ้งเพลงที่ยังแต่งไม่จบเอาไว้ให้ผม คืนนี้ผมตั้งใจจะทำให้มันสมบูรณ์” 

 

เขาเลื่อนมือผ่านไปบนกีตาร์เบาๆ เสียงอันคมชัดเหมือนมีมือวิเศษลอยไปคว้าจับหัวใจของทุกคนในทันที 

 

เฉิงอี้หรานค่อยๆ ลืมตาขึ้น “คำที่ผมเขียนอาจจะไม่ค่อยดี…แต่ขอมอบ ‘Again (อีกครั้ง)’ ให้พวกคุณ” 

 

… 

 

 “นี่คือ…เพลงของเสี่ยวเมิ่ง!” 

 

บนที่นั่งของผู้ชม หงก้วนลุกขึ้นมาในฉับพลัน…และก็เป็นคนแรกที่ลุกขึ้นมา