‘จักรพรรดิอาวุโส? สี่คน?’
อวี้เฟยเยียนกวาดสายตามองไปรอบกายแล้วหยักยิ้มเยือกเย็น จากนั้นนางจึงเลิกกระโปรงขึ้นเผยให้เห็นชุดฝึกวรยุทธ์สีชมพูที่อยู่ด้านใน
ฆ่าคน แน่นอนว่าชุดต้องเบาสบายคล่องตัวเสียหน่อย!
“ฆ่านาง!” หนานกงอ๋าวสั่งการด้วยสีหน้าเ**้ยมเกรียม มือก็กุมที่หน้าอกของตนเองเอาไว้
แม้ว่าเขาจะเป็นถึงราชาอาวุโส แต่ร่างกายของเขาก็ห่อหุ้มเอาไว้ด้วยเลือดเนื้อ เมื่อครู่ร่างของเขากระแทกเข้ากับหุบเขาจำลองอย่างรุนแรง ขณะนี้จึงรู้สึกเจ็บหน้าอกอยู่ไม่น้อย
เขาจำแทบไม่ได้แล้วว่าตนเองบาดเจ็บครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน
ดูเหมือนว่าหลังจากที่เขาสำเร็จขั้นราชาอาวุโสแล้วก็ไม่มีใครกล้าจะมาท้าทายเขาอีก สาวน้อยตรงหน้านี้เป็นคนแรก
‘ล้วงคองูเห่า เท่ากับรนหาที่ตาย!’
หลังจากได้รับคำสั่งจากหนานกงอ๋าวแล้ว ฟ้า ดิน กว้าง ไกล ทั้งสี่ก็ชักอาวุธขึ้นมา
“หนานกงอ๋าว เจ้ามันไร้สามารถ! “
อวี้เฟยเยียนสบประมาทแล้วตวัดสายตามองหนานกงอ๋าวที่หลบไปซ่อนตัวเสียไกลลิบ
คบหากับซย่าโหวฉิงเทียนมาเป็นเวลานาน อวี้เฟยเยียนจึงคุ้นชินกับความมุทะลุดุดัน ใช้ตัวเองเป็นทัพหน้าไปเสียทุกเรื่องของเขาไปแล้ว
แต่ทว่าตอนนี้ผู้ที่สำเร็จถึงราชาอาวุโสขั้นปลายเมื่อถูกผู้ที่มีวรยุทธ์ต่ำกว่าตนเองถึงสองขั้นเขามาท้าทาย สิ่งแรกที่เขาทำกลับเป็นการหลบซ่อนตัว ขี้ขลาดตาขาวที่สุด!
“ไม่ต้องพูดมาก พวกเจ้ารีบลงมือเร็วเข้า!” หนานกงอ๋าวยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก พร้อมกับออกคำสั่ง
เขาไม่ได้โง่! นังเด็กเมื่อวานซืนนี่ยังมีความสามารถถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าชายชุดสีม่วงนั่นจะสำเร็จถึงขั้นไหนแล้ว
เขาจะต้องรักษาพลังเอาไว้ เพื่อต่อกรกับศัตรูที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า
อวี้เฟยเยียนไหนเลยจะไม่รู้ว่าหนากงอ๋าวกำลังคิดอะไรอยู่
หน้าโง่!
คิดจะประมือเดี่ยวกับซย่าโหวฉิงเทียน?
นอกเสียจากตาย นางก็ไม่มีคำอื่นใดจะมาสาธยายได้อีกแล้ว!
จักรพรรดิอาวุโสทั้งสี่กรายร่างเป็นสายลมสี่สายพุ่งเข้าใส่อวี้เฟยเยียน ส่วนหนานกงอ๋าวที่ยืนอยู่ด้านข้างกำลังยิ้มเยาะ
มีพรวรรค์แล้วเป็นอย่างไร? มีสุนัขสีดำตัวใหญ่คอยช่วยเหลือแล้วอย่างไร? ก็มีเพียงแค่สองมือเท่านั้น จะมาต่อกรกับคนถึงสี่คนได้อย่างไร?
ในขณะที่หนานกงอ๋าวกำลังลำพองใจคิดว่างานนี้เขาต้องเป็นฝ่ายกำชัยชนะแน่แล้วนั่นเอง อวี้เฟยเยียนก็ตะโกนว่า
“หานจื่อ กลั้นหายใจ”
หลังจากนั้น กลีบดอกไม้สีชมพูล่องลอยขึ้นในอากาศพร้อมกับกลิ่นหอมของดอกไม้ที่กำจายออกมาพร้อมกัน กลีบดอกไม้เหล่านั้นปิดล้อมคนห้าคนกับหมาหนึ่งตัวเอาไว้
“อ๊าก!” เพียงแค่ได้ยินเสียงร้องโหยหวน กลีบดอกไม้สีชมพูร่วงหล่นลงมา สีของมันค่อยๆเข้มขึ้นจนกลายเป็นสีแดงอันงดงาม
“พลิ้ว——”
เมื่อสายลมพัดมา กลีบดอกไม้จึงร่วงหล่นไปติดที่เสื้อผ้าของหนานกงอ๋าวแน่น
หนานกงอ๋าวแตะกลีบดอกไม้นั้นขึ้นมา จึงพบว่าปลายนิ้วของเขาอุ่นร้อนและเปียกชื้น จวบจนกระทั่งเขาเพ่งมองโดยละเอียดแล้วก็ต้องตกตะลึง
ของเหลวอุ่นที่เปรอะเปื้อนอยู่บนกลีบดอกไม้ไม่ใช่สิ่งอื่นใด แต่เป็นเลือดมนุษย์!
เลือดสีแดงที่ประดับอยู่บนกลีบดอกไม้สดทำให้หนานกงอ๋าวต้องตระหนก นี่มันเลือดของใครกัน?
นังเด็กเมื่อวานซืนนั่น ยังจะ…
ในขณะที่หนานกงอ๋าวกำลังขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นั่นเอง เลือดสีแดงสดที่ปลายนิ้วของเขาก็กลับกลายเป็นสีฟ้า แพร่กระจายออกไปทุกทิศทางจากปลายนิ้วอย่างรวดเร็ว ไม่นานนิ้วชี้ซ้ายของหนานกงอ๋าวก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน
แย่แล้ว
กลีบดอกไม้นี้มีพิษร้ายแรง!
เมื่อรู้ดังนั้น หนานกงอ๋าวจึงคว้ากระบี่ตวัดตัดนิ้วชี้ของตนเองจนขาดสะบั้น
เจ็บเหลือเกิน!
ในที่สุดหนานกงอ๋าวก็ได้รู้ซึ้งว่าการที่ถูกตัดนิ้วทั้งเป็นมันเจ็บปวดทรมานถึงเพียงนี้นี่เอง
เขากัดฟันอดทน ขณะที่ฉีกชายเสื้อพันแผลที่นิ้วชี้ของตนเองไปพลาง แววตาของเขาฉายแววเคียดแค้น
น่าโมโหที่สุด!
น่าโมโหที่สุด!
แม้ว่าตระกูลหนานกงอยู่ในอันดับที่ไม่สูงเท่าไหร่นักจากบรรดาตระกูลทั้งแปด ทั้งคนเก่งในตระกูลก็มีไม่มาก แต่ไม่ว่าจะอย่างไรตัวเขาก็สำเร็จถึงขั้นราชาอาวุโสขั้นปลาย ออกไปข้างนอกจึงมีผู้คนไม่น้อยที่ยังนับหน้าถือตาเขาอยู่
แต่ในวันนี้เขากลับมาเพลี่ยงพล้ำ ด้วยน้ำมือของเด็กเมื่อวานซืนเช่นนี้ได้ น่าโมโหที่สุด!
หนานกงอ๋าวเงยหน้าขึ้นอย่างดุร้าย จึงพบว่าบรรดากลีบดอกไม้สีแดงเลือดเมื่อครู่กลายเป็นสีน้ำเงินประหลาด เสียงกรีดร้องเมื่อครู่ก็ยิ่งโหยหวนมากยิ่งขึ้น
แม้ว่าจะมีกลีบดอกไม้ที่เล็กละเอียดบดบังสายตาของหนานกงอ๋าวเอาไว้ แต่เขาก็ยังสามารถคาดเดาได้ว่าที่ด้านในกำลังเกิดอะไรขึ้นบ้าง
นังเด็กเมื่อวานซืนนั่นถึงกับใช้พิษ!
ต่ำช้าที่สุด!
หากว่าอวี้เฟยเยียนได้ล่วงรู้ในสิ่งที่หนานกงอ๋าวคิด นางจะต้องหัวเราะเยาะเป็นแน่
นางนั้นเป็นหมอ แน่นอนว่าย่อมต้องใช้พิษเป็น นี่เป็นวิธีที่ช่วยลดทอนความวุ่นวายต่างๆนานาไปได้มาก หรือว่าจะให้นางท้าชนกับผู้ชายอกสามศอกพวกนั้นตรงๆ? นั่นต่างหากถึงเป็นการสูญเสียกำลังโดยใช่เหตุ!
ความเจ็บปวดที่นิ้วมือค่อยๆเพิ่มมากขึ้นและมันกำลังกระตุ้นเตือนให้กับหนานกงอ๋าวได้รับรู้
เพราะมีกลีบดอกไม้ขวางกั้นอยู่ เขาจึงมองไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหลังแผงกลีบดอกไม้ แต่ในขณะเดียวกันคนที่อยู่ด้านหลังกลีบดอกไม้ก็มองไม่เห็นเหตุการณ์ภายนอกเช่นกันนะสิ!
เมื่อคิดได้ดังนั้นหนานกงอ๋าวก็ตวัดสายตามุ่งร้าย ชักดาบออกมาแทงเข้าไปที่ใจกลางของดอกไม้นั้น
“ฉึก——”
ในตอนนั้นเองเสียงสบถของหญิงสาวดังขึ้น กลีบดอกไม้นั้นแตกออกเป็นชิ้นๆกระจัดกระจายไปทั่ว
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ทำเอาหนานกงอ๋าวต้องพยายามเป็นอย่างมากที่จะหยัดยืนต่อไปให้จงได้ เพราะร่างของเขาถอยร่นไปด้านหลังอย่างรุนแรง เพื่อหลบหลีกไปอีกด้าน
“พลิ้ว——”
เศษของกลีบดอกไม้แตกเป็นเสี่ยงๆร่วงหล่นลงบนพื้นดิน บนพื้นหญ้า และร่วงหล่นลงในสระน้ำ ไม่นาน พื้นหญ้าก็กลับกลายเป็นสีเหลือง ปลาในสระก็หงายท้องลอยคลอพากันตาย
สำหรับจักรพรรดิอาวุโสที่ยังเป็นๆอยู่เมื่อครู่ บัดนี้กลับกลายเป็นสี่ศพที่มีสีน้ำเงินเข้มนอนตายอยู่บนพื้นไปเสียแล้ว
บนร่างของพวกเขายังมีร่องรอยบาดแผลเล็กๆที่ยังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด แต่ทว่าเลือดนั้นกลับไม่ใช่สีแดงแต่เป็นสีน้ำเงิน!
พิษชนิดนี้น่ากลัวยิ่งนัก!
หนานกงอ๋าวรู้สึกหวาดกลัวจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาไม่เคยพบเห็นพิษที่ร้ายแรงเช่นนี้มาก่อน
สาวน้อยผู้นี้เป็นใครกันแน่?
วินาทีนั้น หนานกงอ๋าวล้มเลิกการเดาก่อนหน้านี้ของตนเองอย่างสิ้นเชิง
หลัวอวี่สถานที่ๆยากจนข้นแค้นล้าหลังเช่นนั้น ไม่มีทางที่จะมีหมอที่เก่งกาจถึงเพียงนี้ได้ นางจะต้องเป็นชาวอู๋โยวอย่างแน่นอน!
ซึ่งคนที่ใช้พิษได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ เห็นทีบนแผ่นดินอู๋โยวคงจะมีเพียงแค่ตันขวาเท่านั้นที่พอจะเทียบเทียมได้
‘ตันขวา?’ เมื่อคิดได้ดังนั้น หนานกงอ๋าวก็คาดไม่ถึง
‘นางคงจะไม่ใช่ชาวตันขวาหรอกใช่ไหม?’
หนานกงอ๋าวที่แต่ไหนแต่ไรมามักที่จะวางแผนเล่นสกปรกมาโดยตลอด ตอนนี้กลับต้องมาเจออวี้เฟยเยียนใช้พิษเล่นงานเข้าให้ จึงคิดถึงชาวตันขวาที่เชี่ยวชาญการใช้พิษขึ้นมาในทันที
อีกทั้งในตอนนี้ผู้เฒ่าแห่งตันขวาตี้อู่หยวนก็พำนักเป็นแขกอยู่ในจวนสกุลหนานกง มีเพียงเขาที่รู้ว่าหนานกงจื่อหลิงตายแล้ว หรือว่าตันขวาต้องการที่จะจับปลาในน้ำขุ่น?
“หนานกงอ๋าว ออกมาเสียดีๆ!” อวี้เฟยเยียนขี่อยู่บนหลังหานจื่อ ตาก็จ้องมองไปที่ด้านหลังหุบเขาจำลอง
แม้ว่าอีกฝ่ายจะมองเห็นตำแหน่งที่ตนเองหลบซ่อนตัวอยู่ก็ตามที แต่หนานกงอ๋าวก็ไม่มีท่าทีลนลานแม้แต่น้อย
“แม่นางเสี่ยวอวี้ เจ้าต้องการเป็นปฏิปักษ์กับสกุลหนานกงจริงหรือ?!” หนานกงอ๋าวค่อยๆขยับตัวอย่างช้า เพื่อถ่วงเวลา
“เหอะ ใช่แล้วเป็นอย่างไร?!”
อวี้เฟยเยียนไม่รอให้หนานกงอ๋าวมีโอกาสได้ตั้งตัว นางแตะที่ศีรษะของหานจื่อ ทันใดนั้นหานจื่อก็กระโจนพุ่งเข้าใส่หน้าผาจำลองทันที
ปึ่ง!
หินก้อนหนึ่งถูกหานจื่อกระโจนเข้าใส่จนแตก หนานกงอ๋าวจึงอาศัยจังหวะนั้นมุดเข้าไปในช่องถ้ำ สักพักก็เกิดเสียง ‘ตึ่ง’ ดังสนั่น แล้วทุกอย่างก็สงบลง หนานกงอ๋าวหายตัวไปเสียแล้ว!
“แม่นางน้อย ไอ้สารเลวนั่นมันมุดหนีลงไปใต้ดินแล้ว!” หานจื่อใช้จมูกดมกลิ่น พร้อมกับใช้อุ้งมือของมันตะกุยพื้นไปด้วย
“หนานกงเหล่าฉู่ (เหล่าฉู่ แปลว่า หนู) ไสหัวออกมาแล้วมาสู้กับข้าให้รู้เรื่อง!”
ที่แท้แล้ว ที่พื้นของจวนสกุลหนานกงมีค่ายกลอยู่ ดังนั้นหนานกงอ๋าวจึงได้มุดพื้นหลบหนีไปได้
เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดสกุลหนานกงถึงได้ตกต่ำลงเรื่อยๆ
ผู้นำตระกูล เป็นสิ่งตัดสินความรุ่งเรืองหรือตกต่ำของตระกูลได้เป็นอย่างดีทีเดียว หนานกงอ๋าวไม่เพียงแต่ต่ำช้าไร้ซึ่งความละอาย ทั้งยังขี้ขลาดรักตัวกลัวตาย แม้แต่ความกล้าหาญที่จะออกมาต่อสู้ยังไม่มีเลยสักนิด เขาถือเป็นจุดล้มเหลวสำหรับสกุลหนานกง!
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ในตอนนั้นเอง ซย่าโหวฉิงเทียน เสิ่นถูเลี่ย อาหู ตี้อู่หยวนและหนานกงเช่อก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้อง
“ฉิงเทียน…”
เพียงแค่เห็นซย่าโหวฉิงเทียนเข้ามา อวี้เฟยเยียนราวกับได้พบกับใจของตนเองก็ไม่ปาน ความดื้อรั้นและแข็งแกร่งเมื่อครู่กลายเป็นน้ำตาเม็ดโตหยดแหมะอาบแก้มนวล
“หลิงเอ๋อร์ตายแล้ว ฉิงเทียน หลิงเอ๋อร์ตายแล้ว!” นางโผลเข้าหาอ้อมกอดของซย่าโหวฉิงเทียนร่ำไห้ด้วยความเสียใจ
สิ่งที่อวี้เฟยเยียนบอกกล่าว ทำให้มือของซย่าโหวฉิงเทียนที่กำลังโอบประคองนางอยู่นั้นแข็งกร้าวขึ้นมา
ทว่าหนานกงเช่อที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไป
เมื่อครู่ในขณะที่เขากำลังรับรองซย่าโหวฉิงเทียนและเสิ่นถูเลี่ยนั้น จู่ๆก็มีเสียงอึกทึกครึกโครมดังสนั่นหวั่นไหวดังขึ้น และทิศทางของเสียงก็ดังมาจากเรือนของหนานกงจื่อหลิง
นั่นทำให้หนานกงเช่อแทบนั่งไม่ติด “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
แต่ทว่า ไม่ต้องรอให้หนานกงเช่อได้พูดอะไร ซย่าโหวฉิงเทียนก็พุ่งตัวเข้าออกมาจากห้องรับรองเสียแล้ว และเมื่อเข้ามาในเรือนของหนานกงจื่อหลิงแล้วเห็นสภาพเศษซากหน้าผาจำลองที่เละเทะย่อยยับ หนานกงเช่อก็เริ่มรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีขึ้นมาในทันที