ตอนที่ 130-2 ตายเสียเถอะ คนเลว!

จำนนรักชายาตัวร้าย

วินาทีต่อมา ซย่าโหวฉิงเทียนก็ตรงเข้าบีบคอของหนานกงเช่อ

 

 

“ใครทำ?” เสียงของซย่าโหวฉิงเทียนทั้งแปลกและคุ้นเคยในคราวเดียวกัน

 

 

การเคลื่อนไหวของซย่าโหวฉิงเทียนรวดเร็วเสียจนหนานกงเช่อไม่มีโอกาสได้ตอบโต้

 

 

“พวกเจ้าทำอะไรกับหลิงเอ๋อร์?” จนกระทั่งถึงประโยคนี้ หนานกงเช่อถึงได้ฟังออกชัดเจน

 

 

“ท่านคือเจ้าปีศาจน้อย?”

 

 

หนานกงเช่อกล่าวเสียงรอดไรฟัน ดวงตาดุร้ายจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนตาไม่กระพริบ ไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าชีวิตของตนเองกำลังตกอยู่ในเงื้อมือของอีกฝ่าย

 

 

“เหอะ”

 

 

เมื่อเขาจดจำได้ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไปซ้ำเขายังลงมือรุนแรงมากขึ้นอีกด้วย

 

 

“ตอบคำถามข้ามา!”

 

 

แม้ว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าจะมีดวงตาและเส้นผมสีดำสนิท รูปร่างหน้าตาของเขาจึงไม่เหมือนกับเจ้าปีศาจน้อยที่หนานกงเช่อรู้จักเลยแม้แต่น้อย ทว่าหนานกงเช่อกลับแน่ใจว่าอีกฝ่ายคือเจ้าปีศาจน้อยอย่างแน่นอน

 

 

“เจ้าปีศาจน้อย หลิงเอ๋อร์ตายแล้ว นางตายเพราะเจ้า! ฮ่าๆ!”

 

 

ในเรื่องของวรยุทธ์และพละกำลัง หนานกงเช่อรู้ดีว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซย่าโหวฉิงเทียน แต่เขาก็ยังเยาะเย้ยถากถางอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ

 

 

“หลิงเอ๋อร์ต้องการปกป้องเจ้า ไม่ยอมบอกที่อยู่ของเจ้า ในเมื่อนางทนไม่ได้ที่จะควักหัวใจของเจ้า เช่นนั้นก็มีเพียงแต่ควักหัวใจตัวเองเพื่อเปลี่ยนให้กับข้า!”

 

 

“ปากเจ้าก็บอกว่าเห็นหลิงเอ๋อร์เป็นดั่งน้องสาวแท้ๆ แต่สุดท้ายก็เป็นต้นเหตุทำให้นางต้องตาย!”

 

 

“หุบปากนะ!”

 

 

อวี้เฟยเยียนทนฟังไม่ได้อีกต่อไป นางก้าวไปด้านหน้า “เพี้ยะ เพี้ยะ” ตวัดฝ่ามือตบหน้าหนานกงเช่ออย่างแรง

 

 

“คนที่ให้ร้ายหลิงเอ๋อร์คือใครกันแน่ เจ้ารู้ดีที่สุด!”

 

 

อวี้เฟยเยียนคว้ามือของหนานกงเช่อขึ้นมา ปลายนิ้วแตะจุดชีพจรที่ข้อมือของเขา

 

 

“หึ คนที่ร่างกายอ่อนแอโรคร้ายรุมเร้าคนหนึ่งนะหรือ! หนานกงเช่อ หน้าของเจ้าโบกแป้งกลบเอาไว้เท่าไหร่! ถึงแกล้งป่วยได้หน้าตาเฉย ปากเอาแต่ร้องว่าต้องการเปลี่ยนหัวใจ เสแสร้งแกล้งทำต่างๆนานา คิดเพียงอย่างเดียวก็คือต้องการให้ร้ายฉิงเทียนสินะ! จนสุดท้าย หลิงเอ๋อร์ที่น่าสงสารต้องกลายเป็นเหยื่อสังเวยให้กับความเห็นแก่ตัวของเจ้า”

 

 

“ไม่ใช่! ไม่ใช่ข้า!” หนานกงเช่อส่ายหน้าไปมาอย่างแรง

 

 

“ข้าต่างหากที่เป็นพี่ชายแท้ๆของหลิงเอ๋อร์ ข้ารักน้องหลิงเอ๋อร์ที่สุด!”

 

 

“เจ้าปีศาจน้อย หากว่าเจ้าไม่กลับมามันจะดีสักเพียงไหนกัน? ปีนั้น ทำไมเจ้าต้องกลับมาที่สกุลหนานกงด้วย? หลิงเอ๋อร์ต้องตายทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า เจ้าฆ่าหลิงเอ๋อร์!”

 

 

เสิ่นถูเลี่ยที่ยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดอยู่ข้างๆ พอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดขึ้นมาได้ไม่ยาก

 

 

‘หนานกงเช่อเจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร?’

 

 

‘แกล้งป่วยโกหกว่าต้องเปลี่ยนหัวใจ?’

 

 

‘สุดท้ายกลับทำร้ายน้องสาวตัวเอง?’

 

 

‘ว่าที่ผู้สืบทอดสกุลหนานกงกลับเป็นคนวิปริตเช่นนี้?’

 

 

หนานกงเช่อถูกอวี้เฟยเยียนแฉจนหมดเปลือก

 

 

ซย่าโหวฉิงทียนที่ได้ยินดังนั้นในที่สุดก็ทนไม่ไหวอาละวาดออกมา

 

 

“เจ้าแกล้งป่วย? เจ้าเจตนาอย่างนั้นหรือ?” เดิมทีซย่าโหวฉิงเทียนหลงคิดไปว่าหนานกงเช่อร่างกายไม่แข็งแรง จำเป็นต้องเปลี่ยนหัวใจ ดังนั้นซย่าจื่ออวี้ถึงได้กล้าทำเรื่องสิ้นคิดทำร้ายตัวเองเช่นนี้ขึ้นมาได้

 

 

‘นึกไม่ถึงเลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่หนานกงเช่อสร้างขึ้นเองทั้งยังแสดงละครตบตาทุกคนเองอีกด้วย ชั่วช้าเกินไป’แล้ว!

 

 

“ใช่ ข้าเจตนา!” หนานกงเช่อเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก แล้วหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

 

 

“ใครใช้ให้ในสายตาของหลิงเอ๋อร์มีเพียงแต่เจ้า เจ้าปีศาจน้อย แต่ข้าที่เป็นพี่ชายแท้ๆของนางกลับถูกทอดทิ้งเอาไว้ด้านหลัง! ข้าแค้นจนอยากจะให้เจ้าไปตายเสียตอนนี้!

 

 

“เพราะอะไรคนที่ตายต้องเป็นหลิงเอ๋อร์ ไม่ใช่เจ้า!”

 

 

“เพราะอะไรคนที่สมควรตายกลับไม่ตาย แต่คนที่ไม่สมควรตายกลับต้องตาย!”

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็คลายมือที่กำลังบีบคอหนานกงเช่อออก ทว่าวินาที่หนานกงเช่อกำลังโซซัดโซเซไร้เรี่ยวแรงอย่างคนหมดสิ้นทุกอย่างนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็คว้าหมับที่ไหล่ซ้ายของหนานกงเช่อด้วยมือเดียว

 

 

“กร๊อบๆ——”

 

 

พริบตากระดูกแขนซ้ายของหนานกงเช่อถูกซย่าโหวฉิงเทียนบีบจนแหลกละเอียด

 

 

“อ๊าก!” หนานกงเช่อ หนานกงเช่อร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้น มือขวาที่ยังเหลืออยู่เอื้อมออกไปกำลังจะกุมไหล่ซ้าย ทันใดนั้นซย่าโหวฉิงเทียนก็ทะยานเข้ามาถีบไปที่ไหล่ขวาของหนานกงเช่ออย่างจัง

 

 

“กร๊อบ ผลัวะ!”

 

 

แขนขวาของหนานกงเช่อขาดสะบั้นและกระเด็นออกไปตามแรงถีบของซย่าโหวฉิงเทียน เขาร้องครวญคราวด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสขณะที่กลิ้งไปมาอยู่บนพื้น เหงื่อเม็ดโตไหลหยดกราวลงพื้น ไม่นานเสื้อผ้าของหนานกงเช่อก็เปียกชุ่มไปทั้งแผ่นหลัง

 

 

“พวกเจ้าฆ่าข้าเสียเถอะ! ฆ่าข้า!” หนานกงเช่อครวญคราง เลือดสดๆกำลังออกมาจนท่วมร่าง

 

 

“อยากตาย? ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!”

 

 

อวี้เฟยเยียนรีบเร่งห้ามเลือดให้กับหนานกงเช่อ ทั้งยังป้อนยาเพื่อรักษาชีวิตเขาเอาไว้

 

 

หนานกงเช่อก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา ทำร้ายหนานกงจื่อหลิง ไม่ว่าจะเป็นซย่าโหวฉิงเทียนหรืออวี้เฟยเยียนก็ไม่มีทางที่จะปล่อยเขาไปง่ายๆอย่างแน่นอน

 

 

จะให้เขาตายอย่างสบายๆ มันง่ายเกินไป!

 

 

เ**้ยมโหดเหลือเกิน…

 

 

เมื่อมองเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ก็ทำให้อาหูถึงกับหัวใจสั่นสะท้านไปหลายต่อหลายครั้ง ส่วนตี้อู่หยวนเองก็ถึงกับหัวหดด้วยความหวาดกลัว

 

 

‘ไหนใครบอกว่าเจ้าปีศาจน้อยเติบโตมาบนแผ่นดินหลัวอวี่ซึ่งเป็นที่ๆคนชั้นต่ำอาศัยอยู่มิใช่หรือ?’

 

 

‘ที่ๆต่ำต้อยเช่นนั้น จะมียอดฝีมีที่เก่งกาจถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน?’

 

 

ยังมีเมื่อครู่นี้ ที่ตี่อู่หยวนแอบเหลือบมองไปที่ศพของจักรพรรดิอาวุโสทั้งสี่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกพิษจนตาย ซ้ำร้ายพิษเช่นนี้เขาไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนเลยอีกด้วย

 

 

ก่อนหน้านี้ตี้อู่หยวนยังดูถูกดูแคลนอวี้เฟยเยียนอยู่เลย แต่เมื่อเห็นทุกอย่างถึงได้เข้าใจ อีกฝ่ายมีความสามารถอย่างแท้จริง!

 

 

วิชาพิษที่สูงส่งเช่นนี้ หาใช่หมอธรรมดาจะสามารถทำได้ไม่!

 

 

‘หนานกงอ๋าวทำเช่นนี้คงมิเท่ากับกำลังขุดหลุมฝังตนเองหรอกใช่ไหม!’

 

 

‘เขาคงจะไม่ได้กำลังอาหาเรื่องหาราว สุดท้ายลากตันขวาให้รับเคราะห์ไปด้วยหรอกนะ!’

 

 

คิดได้ดังนั้น วิธีการแรกที่ตี้อู่หยวนคิดได้นั่นก็คือ เขาจะต้องทำตัวให้ไม่มีตัวตน ดังนั้นจึงอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายไม่ทันได้สังเกตเผ่นหนีออกไป

 

 

แต่ทว่า ยังไม่ทันที่ตี้อู่หยวนจะได้ย่างก้าวออกจากจวนสกุลหนานกง ทหารของสกุลหนานกงก็ล้อมกรอบเขาและคณะของอวี้เฟเยียนเอาไว้

 

 

‘หรือว่าทหารพวกนี้จะเป็นกองกำลังที่ทรงแสนยานุภาพที่สุดของสกุลหนานกง?’

 

 

อวี้เฟยเยียนกวาดสายตามองไปรอบๆ ราชาอาวุโสสองคน จักรพรรดิอาวุโสสิบคน จอมปราชญ์อาวุโสยี่สิบคน ที่เหลือคือปรมาจารย์ และจอมเทวา

 

 

ตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลหนึ่ง มีกำลังเพียงเท่านี้เองสินะ——

 

 

“คุณชายเสิ่นถู!” หัวหน้ากองทัพนั้นตรงเข้ามาที่คารวะเสิ่นถูเลี่ย

 

 

“เรื่องในวันนี้เป็นเรื่องภายในของสกุลหนานกงเรา ขอท่านอย่าได้เข้ามายุ่งย่าม!”

 

 

“หึๆ เจ้าผิดแล้ว!”

 

 

เสิ่นถูเลี่ยคาบหญ้าจิ้งจอกเขียวเอาไว้ในปากพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่สดใส และมันสะดุดตาเหลือเกินในสายตาของอีกฝ่าย

 

 

“ในเมื่อพวกเขาคือสหายของข้า เช่นนั้นพวกเรามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน!”

 

 

“เสิ่นถูเลี่ย!”

 

 

ราชาอาวุโสอีกคนหนึ่งก้าวออกมาด้านหน้า

 

 

“ท่านรู้หรือไม่ว่าการกระทำและคำพูดของท่านในตอนนี้เท่ากับเป็นตัวแทนของสกุลเสิ่นถู? ท่านต้องการเป็นปฏิปักษ์กับสกุลหนานกงของเรา เสิ่นถูฮั่นรู้เรื่องนี้หรือไม่?”

 

 

เสิ่นถูฮั่น ผู้นำตระกูลเสิ่นถูคนปัจจุบัน บิดาของเสิ่นถูเลี่ย แม้ว่าอีกฝ่ายถึงกับยกบิดามาข่มขู่ แต่เสิ่นถูเลี่ยก็ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

 

 

“ข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องรายงานท่านพ่อทุกเรื่อง อีกอย่าง เรื่องทุกสิ่งที่ข้าตัดสินใจกระทำ ท่านพ่อก็วางใจยิ่งนัก!”

 

 

เสิ่นถูเลี่ยเป่าปาก หญ้าจิ้งจอกเขียวในปากของเขาก็ล่องลอยขึ้นไปกระทบกับศีรษะของเขาแผ่วเบา

 

 

“อย่าพูดมาก จะสู้ก็ลงมือได้เลย! ข้าไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว!” เสิ่นถูเลี่ยพับแขนเสื้อขึ้น เขากำลังอยากจะทดสอบฝีมืออยู่พอดี ดูว่าในช่วงนี้ที่เขาฝึกฝนฝีมือกับซย่าโหวฉิงเทียนบ่อยๆนั้นผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง

 

 

“ดี! เสิ่นถูเลี่ย ในเมื่อท่านรนหาที่ตาย เช่นนั้นก็อย่ามาว่าพวกข้าทีหลังก็แล้วกัน! ทุกคน ลุย!”

 

 

กองทัพนับร้อยคนบุกเข้าโจมตีคนเพียงสี่คน จะให้มองอย่างไรก็ย่อมต้องบอกว่ากองทัพของสกุลหนานกงกำลังเป็นต่อ

 

 

แต่สิ่งที่เห็นเหล่านี้ กลับกลายเป็นเพียงแค่เปลือกนอกไปในทันที เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนถีบจอมปราชญ์อาวุโสจนกระเด็นปลิวออกไป ฉับพลันร่างของจอมปราชญ์อาวุโสก็ขาดเป็นสองท่อนกลางอากาศ นั่นทำให้กองทัพของสกุลหนานกงเข้าใจในทันที เพราะการกระทำนี้ มีผลโดยตรงว่ากองทัพสกุลหนานกงจะอยู่หรือไป

 

 

ลูกถีบเพียงครั้งเดียวก็สามารถจัดการจอมปราชญ์อาวุโสได้แล้ว?

 

 

เสิ่นถูเลี่ยถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่งกว่าจะได้สติกลับมา เข้าถุยหญ้าจิ้งจอกเขียวในปากทิ้งไป ดวงตาวาวโรจน์ลึกล้ำ สีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนคือประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นจริงๆ!

 

 

ปีก่อน ข่าวที่ว่าประมุขแห่งจื่ออวิ๋นเข้าห้ำหั่นกับสกุลเหวินเพื่อรักษาน้ำอมฤทธิ์ไท่จี๋ลือกันให้ทั่วทั้งอู๋โยวมาตั้งนานแล้ว

 

 

ประมุขแห่งสกุลเหวินเก่งกาจเพียงใดใครๆก็รู้ แต่เขากลับไม่ได้น้ำอมฤทธิ์ไท่จี๋จากถ้ำจื่ออวิ๋นไปเลยแม้แต่หยดเดียว ในตอนนั้นเสิ่นถูฮั่นถึงกับร้องตะโกนว่ายอดคนแห่งยุคได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว

 

 

เพียงแต่ นับตั้งแต่ตอนนั้น เทพมังกรประมุขแห่งจื่ออวิ๋นก็หายหน้าหายตาไปโดยไม่มีข่าวคราวอีกเลย

 

 

เห็นทีว่าในวันนี้ สกุลหนานกงคงจะต้องสิ้นชื่อแน่แล้ว!

 

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นถูเลี่ยก็รู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก เมื่อก่อนบิดาของเขามักจะพูดอยู่เสมอว่า ‘เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน’

 

 

ในตอนนั้น เสิ่นถูเลี่ยที่ได้รับการขนานามว่าเป็น ‘คนหนุ่มที่เก่งกาจอันดับหนึ่ง’ แต่กลับไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก เพราะเขาคิดว่าอย่างน้อยที่สุดเขาก็ยังหนุ่มยังแน่น เพราะเขาก็ยังไม่ได้เก่งกาจที่สุด ไม่มีเป้าหมายที่ต้องคอยไล่ตาม ทั้งยังไม่มีแรงที่จะต่อสู้เพื่อให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นอีกด้วย