ทว่ามาตอนนี้ได้พบซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้เสิ่นถูเลี่ยคิดได้ ซย่าโหวฉงิเทียนอายุมากกว่าเขาไม่เท่าไหร่ ทว่าวรยุทธ์กลับเหนือชั้นมากเขามากอยู่หลายขุม เห็นทีว่า เขาจะต้องพยามให้มากเสียแล้ว!
‘ก้าวไปข้างหน้า เสิ่นถูเลี่ย!’
เสิ่นถูเลี่ยเพิ่งจะได้สติ จอมปราชญ์คนหนึ่งก็ล้มมาตรงหน้าของเขาโดยมีพู่กันพิพากษาปักทะลุแผ่นหลัง
“เสี่ยวเลี่ย เจ้ามั่วแต่ทำอะไรอยู่”
ที่เบื้องหลังของจอมปราชญ์อาวุโส คืออวี้เฟยเยียนที่กำลังมีสีหน้าเคร่งเครียด แก้มทั้งสองข้างของนางแดงปลั่งสวยงามราวกับแต่งแต้มเครื่องประทินโฉมเอาไว้ ดวงตาสุกใสแวววาวของอวี้เฟยเยียนมีลูกไฟแห่งความคลั่งแค้นโกรธเคืองกำลังลุกโชนอยู่
“เวลาอย่างนี้เจ้ายังเหม่อลอยได้อีก! ดาบไร้ตา! เจ้าอยากตายหรืออย่างไร?”
อวี้เฟยเยียนคำราม น้ำเสียงของนางชัดเจนเด็ดขาด
“ขอโทษด้วย ข้าไม่ควรเหม่อลอย…” โดนสาวน้อยบ่นว่าอย่างแรงเข้าให้ เสิ่นถูเลี่ยก็ถึงกับหน้าแดงด้วยความเขินอาย นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกต่อว่าต่อหน้าธารกำนัล ทั้งอีกฝ่ายยังเป็นผู้หญิงอีกด้วย
แต่ทว่า ต่อให้ถูกด่าแต่เสิ่นถูเลี่ยก็ไม่เคืองโกรธแม้แต่น้อย เพราะสาวน้อยตรงหน้าสวมใส่ชุดสีชมพูที่ทะมัดทะแมง งดงามสะดุดตา มันเต็มไปด้วยพละกำลังชั้นดีแห่งชีวิต
‘เมื่อครู่นางช่วยชีวิตเขาเอาไว้!’ คิดได้ดังนั้นทำเอาเสิ่นถูเลี่ยพูดไม่ออกบอกไม่ถูกทีเดียว
“เสี่ยวเลี่ย จะชั่วดีอย่างไรเจ้าก็เป็นถึงจักรพรรดิอาวุโส ในเวลาคับขันเนนี้ อย่าทำขายหน้าเด็ดขาด! หากว่าแม้แต่ข้าเจ้ายังสู้ไม่ได้ ยังพ่ายแพ้ คอยดูว่าต่อไปข้าจะล้อเลียนเจ้าอย่างไรบ้าง!”
เห็นอากับกริยาของเสิ่นถูเลี่ย ทำเอาอวี้เฟยเยียนทั้งโกรธเคืองทั้งขำขัน
‘นี่มันเวลาอะไรกันแล้ว ยังมีแก่ใจเหม่อลอยได้!’
ชายหนุ่มเกือบใหญ่หัวใจวัยใส!
“ไม่เด็ดขาด!”
โดนอวี้เฟยเยียนหัวเราะเยาะ ดวงตาของเสิ่นถูเลี่ยก็วาวโรจน์ ราวกับหินภูเขาไฟที่กำลังส่องประกายวาววับก็ไม่ปาน
“เสี่ยวอวี้ ข้าไม่มีวันแพ้ให้กับเจ้า อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง!”
เสิ่นถูเลี่ยกล่าวจบ ก็พุ่งตัวเข้าสู่สนามรบอีกครั้ง
ในเวลานั้นศพที่นอนอยู่บนพื้นล้วนแต่เป็นศพของสกุลหนานกงทั้งสิ้น แม้ว่าสกุลหนานกงจะติดอยู่ในอันดับรั้งท้าย จากบรรดาตระกูลทั้งแปด แต่จะอย่างไรพวกเขาก็เป็นหนึ่งในตระกูลทั้งแปด จึงไม่เคยพ่ายแพ้ชนิดหมดสภาพเช่นนี้มาก่อน
อีกฝ่ายได้ค้นพบแล้วว่า ฝ่ายตรงข้ามทั้งสี่คน ซย่าโหวฉิงเทียนคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ศพที่นอนตายเรียงรายอยู่บนพื้นเกินกว่าครึ่งเป็นฝีมือของเขา
เสียงเป่าปากดังยาว ฉับพลันคนของสกุลหนานกงที่ยังหลงเหลืออยู่ก็เข้ารวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ
ราชาอาวุโสรวมตัวกับจักรพรรดิอาวุโสเข้าโจมตีซย่าโหวฉิงเทียน
‘จะต้องรวบรวมกำลังให้ได้มากและแข็งแกร่งที่สุดเพื่อจัดการเจ้าหนุ่มนี่ให้ได้’
ส่วนทหารที่เหลือแบ่งเป็นสามกลุ่มเข้าโจมตีคนที่เหลืออีกสามคน ซึ่งในบรรดาทหารเหล่านั้นส่วนใหญ่จะเข้าโจมตีอวี้เฟยเยียน
เพราะในสายตาของพวกเขาอวี้เฟยเยียนเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง จะเก่งกาจสักแค่ไหนกันเชียว? เริ่มลงมือกับคนที่อ่อนแอที่สุดก่อนดีที่สุด! จะได้กำจัดพวกมันทิ้งทีละคน!
“พวกโง่เอ้ย พวกเจ้าโง่ดักดานออะไรปานนี้!”
มองดูบรรดาปรมาจารย์และจอมเทวาที่ดาหน้าเข้าโจมตีอวี้เฟยเยียนแล้ว หานจื่อก็เริ่มแยกเขี้ยว จนเผยให้เห็นฟันซี่ใหญ่เลี่ยมเงินของมัน
“คิดจะรังแกแม่นางน้อย ผ่านด่านข้าไปให้ได้ก่อนก็แล้วกัน”
ไม่มีใครทันสังเกตเจ้าสุนัขสีดำตัวยักษ์ และด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้กับหานจื่อ
“อ๋าว——บรู๊ว——”
หานจื่อกระโจนเข้ามา แล้วใช้อุ้งมือของมันตวัดทหารสองคนที่โจมตีอวี้เฟยเยียนจากทางด้านหลังอยู่จนกระเด็นออกไป จากนั้นจึงตามไปนั่งทับทหารหนึ่งในสองคนนั้น
พรวด!
คนผู้นั้นถูกทับจนแบนปัสสาวะอุจจาระไหลเรี่ยราดบนพื้น จนหานจื่อรีบลุกขึ้นแทบไม่ทัน
“แย่จัง น่าสะอิดสะเอียนจังเลย!”
“สกปรกที่สุด!” หานจื่อสะบัดหางไปมา อ้าปากคำราม แล้วกระโจนเข้ากัดขาของทหารอีกคน
“อ๊าก ขาของข้า!”
ปรมาจารย์คนหนึ่งที่ถูกกัดขา จนอาวุธในมือของเขาร่วงลงบนพื้น เขาใช้ขาที่เหลือเพียงข้างเดียวกระโดดเหยงๆหาที่หลบซ่อนตัว
“กร๊วบ!” หานจื่อบดเคี้ยวขาของเขา เสียงกระดูกแตกละเอียดดังสนั่นหวั่นไหว ไม่นานมันก็กินข้างนั้นเข้าไปจนหมด
ไม่ได้กินเนื้อคนมาตั้งนานแล้ว! สมกับที่รอคอย เนื้อคนอร่อยที่สุดเลย!
หานจื่อเลียริมฝีปากแผล็บๆ ที่ปากของมันยังมีเลือดฉาบเอาไว้
“อย่ากินข้า อย่ากินข้า!”
คราวนี้ หลังจากอีกฝ่ายก็ได้รู้ถึงความร้ายกาจของหานจื่อแล้วจึงไม่กล้ามองว่ามันเป็นสุนัขธรรมดาอีกต่อไป
“หึ กลัวแล้ว? วางใจเถอะ ข้าจะปราณีให้เจ้าได้ตายอย่างสบาย!”
หานจื่อตั้งใจจะกินให้อร่อยสักมื้อ หานจื่อกัดคนไปพลาง กินแขน กินขาคนไปด้วยถือเป็นการให้รางวัลฟันของมันด้วยมื้อใหญ่
เมื่ออาหูจัดการจอมเทวาไปได้คนหนึ่ง แล้วหันหลังกลับมาก็ทันเห็นวินาทีที่เจ้าสุนัขสีดำตัวยักษ์กำลังกินหัวคนอยู่พอดิบพอดี มันทำให้เขาปวดสมองขึ้นมาอย่างหนัก
‘คุณชายใหญ่ไปรู้จักมักจี่เป็นเพื่อนกับสามีภรรยาพิสดารอะไรกันเนี่ย!’
เขาเห็นกับตาว่าซย่าโหวฉิงเทียนจัดการราชาอาวุโส ด้วยการบิดหัวหักคอพวกเขา เห็นอวี้เฟยเยียนสาดผงอะไรบางอย่างไปทั่ว ทำให้ปรมาจารย์เจ็ดคนถึงกับล้มคว่ำโดยไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย
ตอนนี้แม้กระทั่งสุนัขที่พวกเขาเลี้ยงก็ยังมีพละกำลังในการต่อสู้ที่มหาศาล จอมปราชญ์อาวุโสอะไร ไม่พอที่จะขัดฟันมันด้วยซ้ำ…
‘ผัวเมียคู่นี้ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!’
‘อย่าทำร้ายจิตใจคนอื่นอย่างนี้ได้ไหมเล่า?’
เทียบกับอาหูแล้ว เสิ่นถูเลี่ยสงบนิ่งกว่าอาหูมากนัก
‘ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น เก่งกาจสมคำล่ำลือ’
แม้ไม่มีใครรู้ว่าประมุขแห่งถ้าจื่ออวิ๋นเป็นใครมาจากไหน แต่ทว่า เขาก็สามารถสร้างชื่อลงที่เมืองอู๋โยวแห่งนี้ได้สำเร็จ
ก่อนหน้านี้เสิ่นถูเลี่ยยังคิดว่าซย่าโหวฉิงเทียนคงจะอยู่ประมาณขั้นราชาอาวุโส เห็นทีดูแล้วตอนนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นคนประเภทเดียวกันกับอวี้เฟยเยียน เป็นคนพิสดาร เมื่อพวกเขาต่อสู้นั้นพละกำลังที่แสดงออกมามักจะอยู่เหนือกว่าที่ขั้นพวกเขาสำเร็จไปมากนัก!
สองคนนี้เหมาะสมกันจริงๆ!
ในตอนที่ซย่าโหวฉิงเทียนจัดการราชาอาวุโสจนกระเด็นออกไปอีกคนนั่นเอง เสียงสั่นสะเทือนเลือนลั่นก็ดังขึ้น
ท้องฟ้าแปรปรวน เมฆดำก่อตัวกันราวกับคลื่นขนาดใหญ่ที่เคลื่อนมาบดบังท้องฟ้าที่สว่างใส ท่ามกลางมวลเมฆนั้น หญิงสูงวัยผมขาวรูปร่างเตี้ยแคะยืนอยู่
“ใครกันที่บังอาจมาก่อเรื่องที่สกุลหนานกง?”
หญิงสูงวัยผู้นั้นแม้ว่าจะผมขาวโพลน แต่โฉมหน้าของนางยังแลดูราวกับอายุสี่สิบรำไรเท่านั้นเอง
เมื่อกองทัพทหารของสกุลหนานกงเห็นการปรากฎตัวของนางก็โห่ร้องอย่างฮึกเหิมด้วยความดีใจ แต่ละคนคุกเข่าลงทันที
“บรรพชน!”
“บรรพชนช่วยข้าน้อยด้วย!”
ที่แท้คนผู้นี้ก็คือบรรพชนแห่งตระกูลหนานกง หนานกงซีรั่วนั่นเอง
บุคคลที่ถูกเรียกว่าบรรพชน ก็คือผู้ที่ทุกคนในตระกูลยกย่องเคารพว่าเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์สูงสุดของแต่ละตระกูล หรือก็คือไพ่ไม้ตายใบสุดท้ายของตระกูลนั่นเอง
ตระกูลใหญ่ๆล้วนแต่มีผู้เฒ่าประหลาดที่มีอายุยืนยาวคอยคุ้มครองปกปักษ์รักษาเผ่าพันธุ์ของตนเองอยู่ทั้งสิ้น เนื่องด้วยว่าวรยุทธ์ของพวกเขาสูงส่งยิ่งนัก ดังนั้นจึงมีอายุยืนยาวกว่าคนธรรมดามาก
บรรพชนเฒ่าเหล่านี้ปกติแล้วจะไม่แสดงตัวออกมา เพราะอายุอานามของพวกเขามากขนาดนี้แล้ว นอกเสียจากเสาะแสวงหาที่จะฝึกฝนวรยุทธ์ให้สูงยิ่งขึ้นไปแล้วก็มีเพียงการอยู่อย่างสงบไม่เสาะแสวงหาสิ่งอื่นใดอีก ทั้งยังไม่มีสิ่งใดต้องอาลัยอาวรณ์
นอกเสียจากตระกูลของตนต้องพบกับคราวเคราะห์ที่จะถูกล้างตระกูลนั่นแหละพวกเขาจึงปรากฎตัว
หนานกงซีรั่วอายุอานามปาเข้าไปสองร้อยกว่าเข้าไปแล้ว นางคือจอมเทพอาวุโสขั้นหก
แม้ว่าจักรพรรดิอาวุโสกับจอมเทพอาวุโสจะห่างกันเพียงขั้นเดียว แต่จอมเทพอาวุโสแบ่งย่อยไปอีกเป็นเก้าขั้น
ซึ่งกว่าที่จะสำเร็จแต่ละขั้นอยากเสียยิ่งกว่ายาก
หนานกงซีรั่วสำเร็จอยู่ที่จอมเทพอาวุโสขั้นหกแล้วหยุดชะงักมากว่าสามสิบปีแล้วก็ยังไม่สำเร็จเสียที
หากมิใช่หนานกงอ๋าวคลานเข้าไปที่เรือนอาวุโส คุกเข่าโขกศีรษะคำนับขอร้องให้หนานกงซีรั่วออกมาละก็ นางก็คงยังพำนักอยู่ในเรือนอาวุโสเป็นแน่
“หึ”
แม้ว่าจู่ๆเฒ่าประหลาดประจำตระกูลหนานกงก็ปรากฏตัวออกมา แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็มิได้สนใจแม้แต่น้อย มือของเขายังต่อสู้ไม่หยุด เขาจัดการเด็ดหัวจักรพรรดิอาวุโสไปอีกคนต่อหน้าต่อตาหนานกงซีรั่ว
หนานกงซีลั่วไม่เคยพบเห็นหนุ่มสาวคนไหนที่สาวหาวมุทะลุดุดันเช่นนี้มาก่อน นี่นางถึงกับออกมาด้วยตัวเองแล้ว แต่เขาก็ยังไม่หยุดมือ ยังคงสังหารลูกหลานตระกูลหนานกงต่อหน้าต่อตานางได้ น่าโมโหที่สุด!
สำหรับการปรากฏตัวของหนานกงซีลั่ว ซย่าโหวฉิงเทียนตอบรับเพียงแค่ ‘หึ!’ เพียงคำเดียว
เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนเริ่มต้นให้เช่นนี้ คนที่เหลืออีกสามคนจึงไม่ไปให้ความใจหนานกงซีลรั่วอีกต่อไป ตรงกันข้ามกับใช้โอกาสนี้เด็ดหัวทหารของสกุลหนานกงอีกหลายคน
“รนหาที่ตาย!” หนานกงซีรั่วเป็นบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุด ต่อให้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลทั้งแปด ขอเพียงนางออกหน้า ก็ยังคงได้รับความเคารพยำเกรงจากคนบางกลุ่มอยู่บ้าง
ตอนนี้ เจ้าหนุ่มที่อายุยังน้อยนี่กลับกล้าไม่เห็นนางอยู่ในสายตา น่าโมโหที่สุดเลย!
หนานกงซีลั่วโมโหโกรธาเป็นอย่างมาก นางเพียงแค่สะบัดมือ ลำแสงสีแดงก็พัดพาเอากระแสลมแรงพุ่งตรงเข้าหาซย่าโหวฉิงเทียนทันที
“รนหายที่ตายใช่ไหม!”
ซย่าโหวฉิงเทียนประกบนิ้วทั้งสิบเข้าหากัน เกิดเป็นแสงสีม่วงโอบล้อมตัวเขาอวี้เฟยเยียนและพวกเอาไว้ ลำแสงสีม่วงและลำแสงสีแดงจึงปะทะกันอย่างจัง
“ปึ่ง!” เสียงดังสนั่นหวั่นไหว เรือนของจวนสกุลหนานกงที่อยู่รายล้อมอยู่รอบกายพังทลายลง