“ฉึกๆ”
เศษอิฐ หิน หลังคากระเด็นออกมาแล้วปลิวเข้าทิ่มแทงร่างของหทารแห่งสกุลหนานกงอย่างรวดเร็วตามความแรงของลม
“อ๊าก!”
“โอ้ย!”
ทหารมากมายล้มลงมือกุมบริเวณที่บาดเจ็บปากก็ร้องครวญคราง ในเวลาเดียวกันนั้นลำแสงสีม่วงก็พลิกกลับแล้วพุ่งขึ้นบนฟ้า กลายร่างเป็นพญามังกรสีม่วงตัวขนาดมหึมา คำรามเสียงดังแล้วพุ่งตรงเข้าเล่นงานหนานกงซีรั่วทันที
เมื่อเห็นดังนั้น หนานกงซีรั่วก็ถอยร่นไปด้านหลังสองก้าว ใครจะคาดคิดว่าพญามังกรสีม่วงกลับไม่ยอมเลิกรา มันอ้าปากกว้าง คำรามเสียงดังใส่พร้อมกับพุ่งตัวเข้าหาหนานกงซีรั่วทันที
“เดรัจฉาน ไสหัวออกไปนะ!”
อีกฝ่ายบีบบังคับกันไม่เลิกเช่นนี้ หนานกงซีรั่วจึงได้แต่ต่อสู้อย่างเต็มกำลังเท่านั้น
“ปึ่ง——”
เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นบังเกิดขึ้นบนท้องฟ้า ประชาชนชาวเมืองเฮ่อได้ยินเสียงอื้ออึงขึ้นในหู ส่วนผู้ที่วรยุทธ์อ่อนด้อยเสียหน่อยถึงกับกระอักเลือดออกมาทีเดียว
ไม่นาน เมฆหมอกบนท้องฟ้าก็คลายตัว หนานกงซีรั่วยืนอยู่กลางอากาศ เส้นผมขาวโพลนที่เดิมทีเหยียดตรงสลวย บัดนี้กลับยุ่งเหยิงรุงรังเล็กน้อย
“แมวน้อย ระวังตัวด้วย!”
กำชับอวี้เฟยเยียนเรียบร้อยแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็ทะยานขึ้นไปกลางอากาศ ยืนตรงข้ามกับหนานกงซีรั่ว
“เจ้าเป็นใครกัน?”
เมื่อครู่ จริงอยู่ที่หนานกงซีรั่วไม่ได้เห็นซย่าโหวฉิงเทียนอยู่ในสายตา แต่คราวนี้นางกลับรวบรวมสมาธิอย่างเต็มที่ จนเริ่มเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือ เจ้าต้องตาย!”
ซย่าโหวฉิงเทียนไม่ใช่คนใจอ่อน ในเมื่อเขาต้องการฆ่าล้างตระกูลหนานกงและอีกฝ่ายก็คือผู้พิทักษ์สกุลหนานกง ดังนั้นคนทั้งสองจึงจัดอยู่ในฐานะศัตรูที่ไม่ตายกันไปข้างหนึ่งไม่เลิกรา จึงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกต่อไป
“นั่นคือบรรพชน!”
“บรรพชนปรากฏตัวแล้ว!”
ณ เมืองเฮ่อ ประชาชนต่างก็กำลังเงยหน้ามองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนฟากฟ้า พร้อมกับร้องเสียงหลง
เหตุการณ์เมื่อครู่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทุกคนต่างก็อยากรู้
ที่เบื้องหน้านี้พวกเขาเห็นหนานกงซีรั่วกำลังเผชิญหน้าอยู่กับชายหนุ่มสวมชุดสีม่วง ทำให้ผู้คนต่างรวมตัวเกาะกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันอย่างร้อนระอุ
“เกิดเรื่องกับสกุลหนานกงหรือ? เหตุใดบรรพชนจึงต้องออกมา?”
“เสียงดังสนั่นก่อนหน้านี้เป็นฝีมือของพวกเขา?”
เถ้าแก่แห่งโรงเตี๊ยมเซียนเฮ่อก็ออกมาดูเหตุการณ์นี้เช่นกัน กระทั่งเมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดสีม่วงชัดเจนเต็มตาแล้ว เขาก็ถึงกับเข่าอ่อน ทรุดลงบนพื้นทันที
‘นั่นมันแขกที่เข้ามาพักเมื่อวานมิใช่หรือ?’
‘สวรรค์!’
‘นี่เขาอาจหาญไปต่อกรกลับบรรพชนสกุลหนานกง?’
“เจ้าหนุ่มนี่สามหาวยิ่งนัก!” หนานกงซีรั่วถึงกับเอ่ยปาก ในใจก็พยายามรวบรวมสติและพละกำลัง
นานมากแล้วที่นางไม่ได้เห็นคนหนุ่มที่เก่งกาจเช่นนี้!
ในตอนที่หนานกงอ๋าวเข้ามาขอร้องอ้อนวอนนางให้ออกหน้าช่วยเหลือนั้น ไม่ได้บอกเอาไว้เสียด้วยว่าเพราะเหตุใดเจ้าหนุ่มนี่ถึงได้มาหาเรื่อง คนหนุ่มที่เก่งกาจเช่นนี้ควรจะชักจูงให้มาเป็นพวกเดียวกันสิถึงจะถูกต้อง เหตุใดจึงกลายเป็นศัตรูไปได้?
แต่ว่า ในตอนนี้หนานกงอ๋าวไม่มีเวลาจะมาครุ่นคิดพิจารณาเรื่องนี้อีก เพราะซย่าโหวฉิงเทียนได้เริ่มลงมือแล้ว
“ปึ่ง!”
ฝ่ามือของทั้งสองคนปะทะกัน หนานกงซีรั่วถอยร่นไปด้านหลังสี่ก้าว รู้สึกชาเล็กน้อยที่ฝ่ามือ
พละกำลังแข็งแกร่งยิ่งนัก!
หนานกงซีลั่วตกตะลึงไม่น้อย ความสามารถที่ดุดัน พละกำลังที่แข็งแกร่งเจ้าหนุ่มคนนี้น่ากลัวจริงๆ!
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ หนานกงซีรั่วก็รู้ดีว่า วันนี้ไม่ใช่เขาตายก็คือสกุลหนานกงล่มสลาย ทั้งสองฝ่ายมิอาจอยู่ใต้แผ่นฟ้าเดียวกันได้
“เจ้าหนุ่ม เจ้าบังคับข้าเองนะ!” หนานกงซีลรั่วไม่สนใจอะไรอีกต่อไป นางใช้พละกำลังทั้งหมดรับมือกับซย่าโหวฉิงเทียน
กลางอากาศ ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร จนผู้คนด้านล่างมองไม่เห็นกระบวนท่าที่ทั้งสองใช้ประมือกันได้ชัดเจน ทั้งยังมีสายลมและก้อนเมฆที่เคลื่อนตัวมาบดบังอย่างรวดเร็วอีกด้วย
ส่วนที่บนท้องฟ้า ซย่าโหวฉิงเทียนและหนานกงซีรั่วต่อสู้กันอย่างดุเดือนเลือดพล่าน
บนพื้นล่าง เมื่อปราศจากซย่าโหวฉิงเทียน กองกำลังของสกุลหนานกงก็กลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง
เมื่อครู่แม้ว่าจะมีคนบาดเจ็บ แต่บาดแผลภายนอกเพียงแค่นี้ทำอะไรผู้ฝึกวรยุทธ์ไม่ได้แม้แต่น้อย
การปรากฏตัวของหนานกงซีรั่ว เป็นพลังขับเคลื่อนให้กับพวกเขา กองกำลังทหารที่เดิมทีกำลังเหนื่อยล้าจนล่าถอย บัดนี้กลับมามีกำลังใจอีกครั้ง
บรรพชนจะต้องฆ่าพวกคนสามหาวเหล่านั้นให้สิ้นซากอย่างแน่นอน!
วินาทีนั้น ไม่ว่าจะเป็นกลางอากาศหรือบนพื้นดิน ล้วนแต่กำลังต่ำสู้ห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เรือนที่เดิมทีเคยเป็นของสกุลหนานกงบัดนี้กลับถล่มลงมากลายเป็นเศษซากปรักหักพังเสียงแล้ว
ส่วนตี้อู่หยวนก็อาศัยจังหวะที่ไม่มีสนใจตนเอง แอบย่องหลบหนีไป
แม่เจ้า น่าหวาดกลัวที่สุด!
ยังดีที่เขายังเหลือทางรอดเอาไว้ให้กับตนเอง ไม่ได้แสดงตนยืนอยู่ข้างหนานกงอ๋าวเต็มตัว
ก่อนหน้านี้ตี้อู่หยวนยังหลงคิดไปว่าเสิ่นถูเลี่ยคือผู้ที่เก่งกาจที่สุดไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวรยุทธ์หรือชาติกำเนิดก็ตาม แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่าจู่ๆก็มีบุรุษหนุ่มชุดม่วงกับสาวน้อยชุดสีชมพูผู้ไร้ชื่อไร้แซ่โผล่มา พวกเขาต่างหากที่น่ากลัวที่สุด!
ตี้อู่หยวนเคยได้เห็นอวี้เฟยเยียนใช้พิษด้วยตาของตัวเองมาแล้ว เชี่ยวชาญช่ำชองถึงเพียงนั้น เกรงว่าต่อให้เป็นหัวหน้าเผ่าตันขวาคนปัจจุบันมาเอง ก็ไม่มีทางที่จะปรุงยาพิษที่ร้ายกาจและเข้มข้นถึงเพียงนั้นออกมาได้
ตี้อู่หยวนสงสัยว่าสาวน้อยในชุดสีชมพูจะต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องตันซ้าย
เพราะไม่ใช่ว่าใครที่ไหนโผล่ขึ้นมาก็สามารถเป็นหมอที่เก่งกาจได้!
แม้ว่าตี้อู่หยวนอยากที่จะรู้ยิ่งนักว่าอวี้เฟยเยียนเป็นใครกันแน่ แต่ในใจของเขาก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ต้องพึงระลึกเอาไว้ นั่นก็คือ เอาชีวิตรอด!
มีชีวิตรอดสำคัญกว่าอะไรทั้งสิ้น!
“ซู่ๆ”
ในตอนที่ตี้อู่หยวนกำลังจะก้าวเท้าออกไปนั้น ลูกไฟสีเขียวฟ้าก็ล่องลอยมา
เทพอัคคี!
เมื่อได้พบกับเจ้าลูกไฟดวงนี้ ตี้อู่หยวนก็หลงลืมไปเสียสนิทว่าตนเองต้องหลบหนีเอาชีวิตรอด ตรงกันข้ามเขากลับตื่นเต้นดีใจอย่างที่สุด
ไม่ผิดแน่! นี่คือเทพอัคคีที่ปรากฎตัวบนท้องฟ้าเมื่อคืนนี้!
“เทพอัคคีอย่าเพิ่งไป!” ตี้อู่หยวนโผลเข้าหาเจ้าไฟบรรลัยกัลป์
“หยุดนะ! หยุดเดี๋ยวนี้!”
ใครจะคาดคิดว่าลูกไฟดวงนี้ราวกับเด็กน้อยที่ดื้อรั้นก็ไม่ปาน มันล่องลอยสูงทีต่ำที แล้วจงใจหยุดนิ่งต่อเมื่อตี้อู่หยวนหอบหายใจถี่ ก้าวขาช้าลงเพราะหมดแรง จากนั้นยังล่องลอยวนเวียนรอบกายตี้อู่หยวน ราวกับจงใจจะแกล้งเขาอย่างไรอย่างนั้น
ตี่อู่หยวนรู้ดีว่า เทพอัคคีมีชีวิตจิตใจ หากต้องการจะฝึกฝนเทพอัคคีไม่ใช่เรื่องง่าย
เมื่อคิดได้ดังนั้น ตี้อู่หยวนก็ไม่ไล่ตามเทพอัคคีอีกต่อไป เขาล้วงหยิบขวดยาหลายขวดแล้วเทยาด้านในออกมา
นิสัยเฉพาะตัวของไฟนั่นก็คือชอบเผาผลาญ
ไม่ว่าจะปรุงยาหรือหลอมอาวุธ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เทพอัคคีชื่นชอบทั้งสิ้น
ขอเพียงจับเทพอัคคีแล้วฝึกมันได้ เขาก็สามารถใช้ประโยชน์จากเทพอัคคีได้แล้ว
“เด็กดี ดูสิ! ยาพวกนี้น่าสนุกใช่ไหม? เจ้าชอบหรือเปล่า?” ตี้อู่หยวนรีบเช็ดคราบฝุ่นควันบนใบหน้าให้หมดจด จากนั้นก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยเมตตา
เขาหน้าตาแลดูเป็นคนดี ดังนั้นจึงหลอกลวงผู้อื่นได้ชะงัดนัก
เจ้าไฟบรรลัยกัลป์หยุดชะงัก แล้วค่อยๆล่องลอยเข้ามาหาตี้อู่หยวน
“ใช่ๆ มาเถอะ! ข้าเป็นคนดีนะ!” ตี้อู่หยวตื่นเต้นดีใจจนแทบเก็บอาการไม่อยู่ รีบลอยมาหาข้าเร็วเข้า
ต้องขอบคุณท่านพ่อท่านแม่ที่มอบใบหน้านี้ให้กับเขา ดูสิ แม้กระทั่งเทพอัคคียังรู้สึกว่าเขาเข้าถึงได้ง่ายเลย!
นี่มันเศษขยะหรืออย่างไรกัน!
เทียบไม่ได้เลยแม้กระทั่งปลายก้อยของผลงานของนายท่าน!
เหลือบมองไปที่เม็ดยาของตี้อู่หยวน เจ้าไฟบรรลัยกัลป์พ่นเปลวไฟออกมาชุดใหญ่ ทันใดนั้นบรรดายาเม็ดทั้งหลายรวมทั้งขวดยา ก็ถูกเปลวเพลิงเผาไหม้จนกลายเป็นจุล
‘ร้ายกาจยิ่งนัก’
ตี้อู่หยวนไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าภัยกำลังจะมาถึงตัว ตรงกันข้ามเขากลับกำลังตื่นเต้นดีใจ
‘นี่สินะที่เขาเรียกว่าพลังแห่งเทพอัคคี!’
หากว่าจับเทพอัคคีเอาไว้แล้วนำมาใช้ปรุงยาละก็ จะต้องวิเศษมากอย่างแน่นอน!
“ข้ารู้ว่าของพวกนี้ไม่อยู่ในสายตาของเจ้า ข้ามีวิธีที่จะปรุงยาวิเศษขึ้นมาได้ แต่ว่า ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า!”
ตี้อู่หยวนนั่งยองๆลงที่พื้น ยิ้มอย่างมีชั้นเชิง แลดูคล้ายกับผู้ร้ายที่กำลังล่อหลอกเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น
‘คิดว่าข้าโง่?’
‘หน้าโง่!’
เปลวไฟสีน้ำเงินกำลังลุกโชนทั่วร่างของเจ้าไฟบรรลัยกัลป์ตามอารมณ์โกรธเคืองของมัน ขณะที่จ้องมองตี้อู่หยวนด้วยสายตาดูแคลน
ราวกับต้องการจะแกล้ง เจ้าไฟบรรลัยกัลป์จึงพ่นลูกไฟออกมาจนไหม้ติดเสื้อผ้าของตี้อู่หยวน
“ฮ่าๆ เด็กดี ทำเช่นนี้อันตรายนัก คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีกละ!” ตี้อู่หยวนใช้มือปัดไฟที่ลุกติดบนเสื้อผ้าของตนเองออก ปากก็หยักยิ้มพุดคุยกับเจ้าไฟบรรลัยกัลป์ไปด้วย
เขาคิดไปว่าเจ้าไฟบรรลัยกัลป์กำลังทดสอบเขา ดังนั้นจึงพยายามแสดงให้มันเห็นว่าตนเองนั้นใจดีมากเพียงไหน
หารู้ไม่ว่าเจ้าไฟบรรลัยกัลป์ไม่หลงกล ตรงกันข้ามกลับไล่พ่นลูกไฟใส่ตี้อู่หยวนต่อไป
จวบจนกระทั่งอาการปวดแสบปวดร้อนกับกลิ่นเนื้อไหม้โชยขึ้นมาแตะจมูกนั่นเอง ตี้อู่หยวนถึงได้รู้ว่า เทพอัคคีไม่ได้จับได้ง่ายๆอย่างที่เข้าใจ
“ช่วยด้วย!” ตี้อู่หยวนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น ต้องการที่จะดับไฟให้มอด แต่เจ้าไฟบรรลัยกัลป์กลับไม่มีเจตนาจะปล่อยเขาแต่อย่างใด
เทพอัคคี มีสติปัญญาที่สูงส่ง เจ้าไฟบรรลัยกัลป์ไหนเลยจะดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายคิดไม่ซื่อกับตนเอง
‘เหอะ! คิดจะแยกข้ากับนายท่านออกจากกัน คนเลว!’
เจ้าไฟบรรลัยกัลป์พ่นไฟออกมาด้วยความโกรธเคือง ไม่นาน ลูกไฟสีน้ำเงินก็ล้อมกรอบตี้อู่หยวนเอาไว้ แล้วเริ่มแผดเผาร่างของเขา!