บทที่ 721 ประหลาดใจ

บัลลังก์พญาหงส์

เมื่อเรื่องวุ่นวายผ่านไป แม้นขุนนางใหญ่ทุกคนไม่ยินดีเท่าไร แต่ก็ไม่อาจต่อต้านได้อีก อย่างไรสิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวองค์ชายเจ็ดไม่ยินดีเอง คนอื่นยังพูดอะไรได้อีก? เพียงแค่มองใบหน้าจงรักภักดีซื่อสัตย์ขององค์ชายเจ็ด หากเป็นมนุษย์ ไม่ว่าใครก็ต้องอับอายขายขี้หน้า อีกทั้งยังไม่อาจจะไปผลักดันองค์ชายเจ็ดได้อีก องค์ชายเจ็ดมีคุณธรรมขนาดนั้น ตนเองเข้าไปขวางแล้วจะเรียกว่าอะไร?

 

 

ไม่มีคนพูด ถาวจวินหลันก็ไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นสงสัย จึงพูดสรุปว่า “ในเมื่อไม่มีใครเห็นต่าง ก็ทำตามนี้แล้วกัน”

 

 

องค์ชายเจ็ดกวาดตามองทุกคน สุดท้ายก็พูดว่า “เลื่อนพิธีขึ้นครองราชย์ออกไปอีกหน่อยดีหรือไม่?”

 

 

บรรดาขุนนางทั้งหลายกลับเห็นด้วย เหตุผลก็ง่ายเพียงนิดเดียว หรือให้ซวนเอ๋อร์ขึ้นมาเป็นฮ่องเต้จริง? หากฮ่องเต้ยังเป็นหลี่เย่ ซวนเอ๋อร์เพียงถูกแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท นั่นก็ยังไม่สมเหตุสมผล มีที่ไหนกันที่งานพิธีขึ้นครองราชย์แล้วตัวฮ่องเต้ไม่ได้ปรากฏตัวออกมา?

 

 

ทุกคนจึงตกลงกันตามนี้ หลังจากนั้นถาวจวินหลันก็จูงซวนเอ๋อร์กลับวังตวนเปิ่น ส่วนเรื่องอื่นก็ให้พวกขุนนางไปถกเถียงกันเอง ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นสตรีไม่ควรอยู่ที่นี่นานเกินไป

 

 

ตอนที่ออกไปนั้น เฉินฟู่ก็มอบหนังสือราชโองการให้กับถาวจวินหลัน

 

 

ถาวจวินหลันรับมาถือไว้โดยที่ไม่ได้คิดมาก พอออกมาจากตำหนักไท่จี๋ขึ้นเกี้ยวนุ่มมาแล้ว นางถึงได้รู้สึกตัวทีหลังว่าเฉินฟู่มอบหนังสือราชโองการให้นาง ข้างในนั้นย่อมต้องมีอะไรแอบแฝงเป็นแน่ อย่างไรตามปกติแล้วหนังสือราชโองการถูกเปิดออกอ่านแล้ว ก็ต้องให้คนเอาไปเก็บไว้ แต่ตอนนี้เฉินฟู่กลับมอบให้นาง

 

 

ถาวจวินหลันเปิดหนังสือราชโองการออก ก่อนกวาดตาอ่านเร็วๆ ครั้งหนึ่ง สุดท้ายก็ต้องตะลึงงันไป เนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังสือราชโองการก็เหมือนที่เฉินฟู่อ่าน สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนก็คือตรงกลางมีประโยคเพิ่มขึ้นมาอีกหลายประโยค

 

 

ความตั้งใจของหลี่เย่คือหากนางอยากหนุนซวนเอ๋อร์ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เช่นนั้นก็ต้องจัดการฆ่าองค์ชายเจ็ดที่คิดต่างเสีย หากนางไม่ได้คิดอยากหนุนซวนเอ๋อร์เป็นฮ่องเต้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องอ่านครึ่งหลังของหนังสือราชโองการออกมา

 

 

กลายเป็นว่ามอบเรื่องนี้ให้ถาวจวินหลันจัดการโดยตรง หากนางต้องการ เช่นนั้นก็เก็บแผ่นดินนี้เอาไว้ได้ หากนางไม่คิดจะแบกรับภาระหนักนี้ไว้ ก็โยนให้องค์ชายเจ็ดได้เลย

 

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคำว่า ‘จัดการฆ่า’ ความสัมพันธ์ขององค์ชายเจ็ดและหลี่เย่ก็ถือว่าลึกซึ้งมากนัก แต่สิ่งที่หลี่เย่ให้ความสำคัญมากที่สุดก็ยังเป็นความปลอดภัยของพวกนางแม่ลูก จากสองคำนี้ก็เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวของหลี่เย่แล้ว อย่างไรหลี่เย่ก็ไม่ใช่คนที่อ่อนโยนเหมือนภายนอก

 

 

ถาวจวินหลันคิดถึงประโยคสุดท้ายที่หลี่เย่เขียนบนฝ่ามือของนาง หลี่เย่บอกว่า มีคนคุกคามก็จัดการฆ่า

 

 

คนคุกคามนี่ย่อมต้องรวมถึงองค์ชายเจ็ดด้วย แน่นอนว่าต้องรวมถึงขุนนางทุกคน

 

 

ดังนั้นนางทำเช่นนี้ก็เพราะจงใจลองเชิงองค์ชายเจ็ด แต่คิดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะคิดเหมือนกันกับนาง นางยอมรับว่านางทำตัวน่ารังเกียจเกินไป โดยเฉพาถเทียบกับคุณธรรมขององค์ชายเจ็ด ความคิดของนางก็ดูสกปรกมาก แต่หลี่เย่คิดเช่นเดียวกับนาง นางก็รู้สึกดีขึ้นอย่างน่าประหลาด บางทีนี่อาจเรียกว่า การรวมตัวของคนใจหยาบ

 

 

เหม่อลอยไปพักหนึ่ง ถาวจวินหลันก็ม้วนเก็บหนังสือราชโองการด้วยสีหน้านิ่งเฉย คิดว่าให้องค์ชายเจ็ดหรือคนอื่นเห็นหนังสือราชโองการฉบับนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด

 

 

มิเช่นนั้น หากองค์ชายเจ็ดรู้เนื้อหาแล้วจะหนาวเหน็บใจเพียงใด?

 

 

ต้องยอมรับว่าองค์ชายเจ็ดเป็นคนดีจริงๆ หากเป็นคนอื่นเห็นโอกาสดีขนาดนี้คงตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว แต่องค์ชายเจ็ดกลับไม่เคยสั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่ความมุ่งมั่นนี้ก็น่าเลื่อมใสแล้ว

 

 

ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ ถาวจวินหลันถอนหายใจเบาๆ

 

 

แม้จะรู้สึกผิด แม้จะรู้สึกว่าตนเองน่ารังเกียจและสกปรก แต่หากมีโอกาสอีกครั้ง นางก็ไม่ลังเลที่จะทำเช่นเดิม มนุษย์ล้วนเห็นแก่ตัว นางเป็นคนดีเกินไปไม่ได้ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงตลบหลังคนอื่นเพื่อปกป้องตนเองและครอบครัว

 

 

ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาวอาจจะหมายถึงสิ่งนี้ สถานการณ์บีบบังคับ ตนอยู่ในตำแหน่งนี้ แม้ไม่ยินยอมแต่ก็ไร้วิธีทาง

 

 

ขณะที่นางกำลังเหม่อลอย ซวนเอ๋อร์ก็เอ่ยปากพูดทำลายความ “ท่านแม่ ท่านว่าท่านพ่อจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ขอรับ?”

 

 

ถาวจวินหลันตะลึงไป จากนั้นก็พยักหน้าอย่างมั่นใจ “ต้องฟื้นขึ้นมาได้แน่”

 

 

“คนเหล่านั้นน่ากลัวเหลือเกิน” ซวนเอ๋อร์แก้มพองลมบ่นพึมพำออกมา “พวกเขาต้องไม่ชอบข้าเป็นแน่”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ใจก็อ่อนยวบเหมือนสายน้ำ เอ่ยปลอบประโลมว่า “พวกเขาไม่ชอบก็ช่างเถิด หลังจากนี้ซวนเอ๋อร์โตขึ้น พวกเขาต้องไว้หน้าเจ้าเพื่อรักษาชีวิตทั้งนั้น ถึงเวลานั้นเจ้าไม่ชอบพวกเขา พวกเขาก็ยิ่งกลัว”

 

 

“ให้เสด็จอาเจ็ดปราบพวกเขาขอรับ” ซวนเอ๋อร์พูดอย่างโกรธเคือง แต่แล้วก็พูดน้ำเสียงสลด “ทำไมเสด็จอาเจ็ดถึงไม่กล้าเป็นฮ่องเต้ขอรับ? เพราะกลัวพวกเราหรือ?”

 

 

ถาวจวินหลันไม่รู้จะตอบอย่างไร สุดท้ายก็ทำได้เพียงลูบหัวของซวนเอ๋อร์ “เรื่องนี้ซวนเอ๋อร์ลองคิดเองเถิด เข้าใจแล้วค่อยมาบอกแม่ดีหรือไม่? เรื่องนี้แม่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

 

 

ซวนเอ๋อร์ได้ยินว่าถาวจวินหลันก็ไม่รู้ จึงไม่ได้ถามอะไรอีก พยักหน้าอย่างรู้ความ “ขอรับ ข้าจะคิดเอง”

 

 

ซวนเอ๋อร์โผเข้าไปโอบถาวจวินหลันเอาไว้ พลางจัดท่าทางของตนเองอย่างระมัดระวัง เลี่ยงไม่ให้สัมผัสโดนท้อง ได้ยินซวนเอ๋อร์ปลอบนางเช่นนี้ก็ให้รู้สึกชื่นใจ และใจอ่อนยวบไปด้วยความอ่อนโยนและอบอุ่น

 

 

นางมีลูกชายเชื่อฟังรู้ความเช่นนี้ต้องดีใจยิ่ง ต่อให้นางต้องเอาตำแหน่งฮองเฮามาแลก นางก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

 

ส่วนเรื่องที่ซวนเอ๋อร์พูดว่าพรุ่งนี้หลี่เย่จะฟื้น ถาวจวินหลันกลับหัวเราะพลางพยักหน้า “อืม หลังจากไปถึงแล้ว ซวนเอ๋อร์ก็เล่าเรื่องวันนี้ให้ท่านพ่อฟัง บอกให้เขารีบตื่นขึ้นมา”

 

 

ซวนเอ๋อร์พยักหน้าอย่างจริงจัง

 

 

หลังจากกลับไปวังตวนเปิ่นแล้ว เรื่องแรกที่ถาวจวินหลันทำก็คือรีบเก็บหนังสือราชโองการให้ดี

 

 

รอจนถอดชุด ปลดปิ่นออกจากศีรษะแล้ว ซวนเอ๋อร์ก็นอนหลับลึกอิงแอบบนไหล่ของหลี่เย่ไปแล้ว

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มพลางมองไปยังชุนฮุ่ย ชุนฮุ่ยจึงพูดเสียงเบาว่า “อาจเป็นเพราะวันนี้ตื่นเช้าไป ตอนนี้ในห้องอบอุ่น ซวนเอ๋อร์ถึงได้ง่วงเพคะ”

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า “ไม่เป็นไร ให้เขานอนที่นี่ดีแล้ว” นางพูดพลางช่วยกระชับผ้าห่มให้สองพ่อลูก

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดว่าซวนเอ๋อร์แอบคล้ายหลี่เย่ โดยเฉพาะตอนที่ทั้งสองคนหลับสนิทเช่นนี้ ตรงหว่างคิ้วคล้ายกันมาก เพียงแต่ซวนเอ๋อร์ยังเด็ก จึงไม่มีรัศมีอะไรมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความอบอุ่นและสง่างามเหมือนบุรุษงามดั่งหยกของหลี่เย่

 

 

แต่นิสัยของซวนเอ๋อร์คงไม่ใช่เช่นนี้ ถาวจวินหลันนึกถึงนิสัยของซวนเอ๋อร์ ก็คิดว่าซวนเอ๋อร์ต้องเป็นจอมแผนการ ทั้งยังไม่อบอุ่นมากเท่าไรนัก

 

 

จัดการกับสองพ่อลูกเสร็จแล้ว ถาวจวินหลันก็ออกไปข้างนอก เนื่องด้วยเมื่อเช้าทานข้าวเช้าเกินไป ตอนนี้นางจึงเริ่มหิวขึ้นมาบ้างแล้ว อีกทั้งนางยังมีบางเรื่องต้องไปจัดการ แม้ไม่มีพิธีขึ้นครองราชย์วันที่สองเดือนสองแล้ว แต่ก็ยังเป็นวันสำคัญ ดังนั้นยังต้องให้ความสำคัญรอบครอบเหมือนเดิม

 

 

ข้างนอกนางไม่ยุ่ง พูดแค่เพียงเรื่องในวังหลังก็ยุ่งมากพอแล้ว ผ่านไปไม่นานอิงเฟยก็มาถึง เพื่อช่วยนางจัดการเรื่องกระจุกกระจิกเหล่านี้

 

 

อิงเฟยย่อมต้องสนใจผลลัพธ์เมื่อเช้าที่ถาวจวินหลันไปราชสำนัก พอเห็นถาวจวินหลันก็ถามทันที

 

 

ถาวจวินหลันตอบทีละคำถาม

 

 

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน ชุ่นฮุ่ยกลับรีบวิ่งเข้ามา ดูตื่นเต้นอยู่ในที “ชายารัชทายาทเพคะ เมื่อครู่นี้องค์รัชทายาทขยับแล้วเพคะ! ทั้งยังตะโกนไม่ได้ศัพท์ออกมาด้วย!”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจจนลุกพรวด เสียงก็พาลลากสูงไปด้วย “จริงหรือ?!”

 

 

ชุนฮุ่ยพยักหน้าตื่นเต้น “จริงเพคะ! บ่าวได้ยินชัดเจนเพคะ!!” เรื่องเช่นนี้นางจะกล้าพูดมั่วๆ ได้อย่างไร?

 

 

ถาวจวินหลันหันไปมองอิงเฟย

 

 

อิงเฟยรีบโบกมือ “เจ้าไปเถิด เรื่องที่เหลือข้าจัดการเอง” นางไปดูหลี่เย่ไม่ได้ จึงตัดสินใจอยู่ที่นี่เพื่อจัดการธุระ และเปิดโอกาสให้ถาวจวินลัน

 

 

ถาวจวินหลันตื่นเต้นจนไม่สนใจว่าตัวเองกำลังท้อง เดินก้าวยาวกึ่งวิ่งไปดูหลี่เย่อย่างกระวีกระวาด ปี้เจียวเห็นก็ตกใจจนดึงนางเอาไว้ “แม้การไปหาองค์รัชทายาทจะสำคัญ แต่ชายารัชทายาทเองก็ต้องระวังครรภ์ด้วยนะเพคะ”

 

 

ถาวจวินหลันประคองท้องเอาไว้ รู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย รีบลดฝีเท้าลง แต่อย่างนั้นก็ยัง เร็วกว่าปกติอยู่ดี

 

 

ปี้เจียวจนปัญญา ทำได้แค่เดินตามไป ไม่กล้าละสายตามองไปที่อื่นเลย

 

 

พอพุ่งเข้าไปในห้อง สถานการณ์ที่คาดหวังกลับไม่เป็นจริง หลี่เย่ยังนอนสงบนิ่ง แต่โจวอี้กลับยุ่งวุ่นวายอยู่ข้างใน ซวนเอ๋อร์นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้าแดงก่ำ หน้านิ่งไม่พูดจา พอเห็นก็อยากจะหลบให้รู้แล้วรู้รอด

 

 

แม้ถาวจวินหลันจะผิดหวัง แต่ก็ยังแอบซ่อนเอาไว้ เลิกคิ้วถามโจวอี้อย่างไม่สบายใจ “เกิดอะไรขึ้น?”

 

 

บนใบหน้าของโจวอี้มีรอยยิ้มอย่างหาได้ยาก แต่กลับไม่ตอบออกมาตรงๆ เอาแต่พูดอ้อมแอ้มว่า “เรื่องนี้ต้องถามองค์ชายซวนเอ๋อร์พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ชุนฮุ่ยกระแอมไอ กระซิบข้างหูถาวจวินหลันเบาๆ ”องค์ชายซวนเอ๋อร์ปัสสาวะราดที่นอนพ่ะย่ะค่ะ อาจเพราะเมื่อเช้าเสวยข้าวต้ม เมื่อครู่หลับสบายถึงได้เผลอตัวเพคะ”

 

 

ถาวจวินหลันกลั้นหัวเราะไม่ได้อีกต่อไป ไม่ใช่ว่าการที่ซวนเอ๋อร์ปัสสาวะราดที่นอนจะน่าขบขัน แต่ปฏิกิริยาของซวนเอ๋อร์นั้นน่าขบขันนัก เด็กปัสสาวะราดที่นอนถือเป็นเรื่องปกติ แต่ซวนเอ๋อร์ไม่ปัสสาวะราดที่นอนมาหนึ่งปีแล้ว ดังนั้นวันนี้ปัสสาวะราดที่นอนกะทันหัน กลับน่าแปลกใจเล็กน้อย

 

 

แต่เห็นซวนเอ๋อร์มีท่าทีเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ไม่อยากเย้าแหย่เขา จึงถามถึงอาการของหลี่เย่แทน “ไม่ได้บอกว่าองค์รัชทายาทฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ? ทำไมไม่เห็นเหมือนอย่างว่าเลย?”

 

 

โจวอี้มองไปที่ทางซวนเอ๋อร์วูบหนึ่ง พลางช่วยกระชับผ้าห่มให้หลี่เย่ ก่อนพูดว่า “อาจเป็นเพราะองค์รัชทายาทรู้สึกถึงความชื้นบนร่างกาย ถึงได้สะดุ้งตื่นขึ้นมาชั่วครู่ หรืออาจจะละเมอ แต่ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ขยับได้พูดคุยได้ หรือเพราะเรื่องที่ซวนเอ๋อร์ปัสสาวะราดที่นอน ย่อมเป็นเรื่องดีทั้งนั้น อย่างน้อยก็อธิบายว่าหลี่เย่ยังมีความรู้สึกรับรู้ โดยเฉพาะการรับรู้ต่อโลกภายนอก

 

 

นางยังคาดเดาไปอีกว่า บางทีเขาคงรับรู้คำพูดทุกคำ เรื่องทุกเรื่องที่พวกเขาทำกับหลี่เย่

 

 

พอคิดเช่นนี้ถาวจวินหลันก็ตื่นเต้น รีบพูดสั่งว่า “เร็ว ไปเชิญหมอหลวงมา!”