บทที่ 722 สัมพันธ์

บัลลังก์พญาหงส์

หมอหลวงมาถึงอย่างเร็ว ถาวจวินหลันให้เขาไปจับชีพจรหลี่เย่ทันที

 

 

หลังจากหมอหลวงตรวจพบชีพจรของหลี่เย่แล้ว ก็มีท่าทีตื่นเต้นขึ้นมาทันที “องค์รัชทายาทใกล้ฟื้นขึ้นทุกทีแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ทุกคนในห้องได้ยินดังนั้นก็ยินดีคล้ายเป็นบ้า โดยเฉพาะถาวจวินหลัน นางกำกระโปรงของตนเองจนแน่น ก่อนหัวเราะอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ในใจก็เอ่ยขอบคุณสวรรค์

 

 

หลี่เย่เป็นคนที่สวรรค์ลิขิตจริงๆ

 

 

ถาวจวินหลันก้าวขึ้นไปจับมือของหลี่เย่อย่างแรง และกระชับจนแน่นด้วยยินดี ช่วงนี้ต้องกรอกข้าวต้มเข้าปากหลี่เย่เพื่อประทังชีวิต แต่ข้าวต้มก็เพียงแค่รักษาชีวิตเอาไว้เท่านั้น หลี่เย่จึงผ่ายผอมลงพอสมควร ข้อมือก็เริ่มเห็นกระดูกข้อต่อชัดเจน จับแล้วเหมือนโครงกระดูก

 

 

โชคดีที่หลี่เย่ฟื้นขึ้นมาแล้ว หากเป็นอย่างนี้ต่อไป สุดท้ายสิ่งที่คร่าชีวิตของหลี่เย่คงไม่ใช่ยาพิษ แต่เป็นร่างกายอ่อนแอ

 

 

หลังจากนั้น หลี่เย่ก็ไม่มีวี่แววจะฟื้นขึ้นมา

 

 

ถาวจวินหลันใจร้อน คิดว่าควรปลุกหลี่เย่สักหน่อยหรือไม่ แต่พอคิดถึงคำพูดของหมอหลวง นางก็ต้องอดกลั้นไว้

 

 

ก็เหมือนเวลาคนนอนหลับ ปลอดโปร่งเมื่อตื่นขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่หากถูกคนปลุกขณะกำลังหลับสบาย ร่างกายจะรู้สึกอย่างไร? แม้ใช้การนอนมาเทียบกับอาการของหลี่เย่ตอนนี้ไม่ได้ทั้งหมดก็ตาม

 

 

สรุปความหมายของหมอหลวงมีอยู่สี่คำ ‘ปล่อยตามธรรมชาติ’

 

 

ครั้งนี้ถาวจวินหลันไม่ได้ให้หมอหลวงปิดบังอาการของหลี่เย่ แม้เรื่องขึ้นครองราชย์ตกลงกันวันนี้แล้ว แต่เวลานี้ก็ควรจ่ายยาสงบใจให้ขุนนางเหล่านั้นกินสักเม็ด

 

 

เชื่อว่าข่าวนี้กระจายออกไป บรรดาขุนนางเหล่านั้นต้องสงบเงียบขึ้นมาก

 

 

ไม่ต้องพูดถึงพวกขุนนางใหญ่ แม้แต่ถาวจวินหลันก็สงบใจไปเยอะ นางไม่ได้ร้อนใจเหมือนตอนที่ไม่รู้ว่าหลี่เย่จะฟื้นขึ้นเมื่อไร ก่อนหน้านี้เหมือนกับเดินอยู่ในความมืดมองไม่เห็นแสงแม้เพียงน้อยนิด ทุกอย่างล้วนอาศัยกำลังตนเอง แต่ตอนนี้นางเริ่มมองเห็นแสงแล้ว แม้ยังไม่รู้ว่าไกลเพียงใด แต่ก็มองเห็นอย่างชัดเจน ตนเองจะเดินออกไปได้ก็เป็นเพียงปัญหาของเวลาว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น

 

 

หลังจากสงบใจแล้ว ถาวจวินหลันก็รอให้หลี่เย่ฟื้นขึ้นมาอย่างอดทน

 

 

ระหว่างนี้ก็ผ่านไปห้าหกวันแล้ว ระหว่างนั้นเขาเริ่มขยับตัวมากขึ้น บางครั้งพูดพึมพำไม่เป็นศัพท์คล้ายละเมอ แล้วยังมีบางครั้งที่ป้อนข้าวต้มอยู่ยังกลืนเข้าไปเอง

 

 

อาการเหล่านี้ถือเป็นจุดเริ่มต้น ถาวจวินหลันหลับฝันว่ามีคนมาลูบท้อง จึงตื่นขึ้นมาด้วยท่าทางสะลึมสะลือ ถึงได้เห็นว่าหลี่เย่ฟื้นแล้ว แม้ตกใจแต่ก็ไม่ได้แปลกใจนัก

 

 

หลี่เย่ลืมตาขึ้นมาแล้ว ก็อมยิ้มมองนาง ไม่รู้ว่าฟื้นมานานเพียงใดแล้ว

 

 

ถาวจวินหลันกับหลี่เย่นอนข้างกัน สายตาสอดประสานกับอีกฝ่าย

 

 

ผ่านไปนาน กระบอกตาของถาวจวินหลันก็ร้อนผ่าว แต่นางกลับแย้มยิ้ม พูดด้วยท่าทางดีใจว่า “ท่านฟื้นแล้ว”

 

 

หลี่เย่ยิ้มน้อยๆ ตอบรับคำเสียงเบา “อืม”

 

 

ถาวจวินหลันรีบพุ่งเข้าไปกอดหลี่เย่พลางร้องไห้ หลายวันมานี้นางหวาดกลัวมากเหลือเกิน นางเจอเรื่องมามากแต่กลับไม่กล้าแสดงความอ่อนแอ ตอนนี้ถือว่านางหปลดปล่อยได้แล้ว

 

 

หลี่เย่เห็นก็เข้าใจว่าถาวจวินหลันต้องลำบากมากจึงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยกมือขึ้นมาลูบหลังถาวจวินหลันเบาๆ นอนมานานหลายวัน ร่างกายของเขาย่อมผ่ายผอม แม้ยังขยับได้ แต่ก็ไม่ได้คล่องแคล่วนัก

 

 

นางกำนัลที่เฝ้าเวรดึกได้ยินเสียงร้องไห้ของถาวจวินหลันก็ให้ตกใจตื่น รีบส่งเสียงถามจากข้างนอก

 

 

พอได้ยินว่าหลี่เย่ฟื้นแล้ว คนทั้งวังตวนเปิ่นก็ถูกปลุกขึ้นมา

 

 

วังตวนเปิ่นพลันวุ่นวายเต็มไปด้วยแสงไฟทั้งคืน

 

 

หมอหลวงรีบมาอย่างกะทันหัน ทั้งจับชีพจร ทั้งฝังเข็ม ทั้งนวด ทรมานลำบากอยู่นาน หมอหลวงเหงื่อโชกเต็มตัวเตรียมเก็บงาน หลี่เย่ก็ดูดีขึ้นมากแล้ว

 

 

พอฟ้าสว่าง หลี่เย่ก็รอให้โจวอี้พยุงตนเองออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ได้ นอนอยู่บนเตียงมานานขนาดนี้ หลี่เย่กระวีกระวาดร้อนใจอยากยืดเส้นยืดสาย

 

 

แต่ตอนนี้เห็นชัดว่าเขาไม่ควรเดินไปไหนมาไหนด้วยตนเอง ดังนั้นจึงต้องให้คนประคองเอาไว้

 

 

หลี่เย่บอกให้โจวอี้ปล่อยตัวเองไว้ที่ระเบียง ส่วนตัวเขาก็จับระเบียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ถาวจวินหลันเองก็ก้าวขึ้นไปหา จับอีกด้านของเขาเอาไว้

 

 

หลี่เย่ยืนตัวตรง หลังยืนตรงเหมือนกับต้นไผ่ก็มิปาน

 

 

หลี่เย่ให้โจวอี้ถอยออกไป ไม่ให้เหลือคนอยู่ตรงนี้แม้เพียงสักคน เขาอยากพูดคุยกับถาวจวินหลัน

 

 

แต่ทั้งสองคนยืนมองแสงอาทิตย์สีแดงสดข้างขอบฟ้าเงียบๆ ผ่านไปนานเท่าไรแล้วที่พวกเขาไม่ได้ดูทิวทัศน์อย่างผ่อนคลายและเงียบสงบเช่นนี้?

 

 

ตราบจนพระอาทิตย์พ้นก้อนเมฆออกมาทั้งดวง แสดงตัวตนออกมาอย่างสมบูรณ์ แสงอาทิตย์สาดส่างไปทั่วพื้นที่ หลี่เย่ถึงได้ยื่นมือออกมา ทำให้แสงอาทิตย์ที่มีความอบอุ่นแฝงอยู่นั้นส่องมาที่มือของเขา ความรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกับเขายื่นมือออกไปประคองแสงอาทิตย์สายนั้นเอาไว้

 

 

หลี่เย่เบนหน้ามองถาวจวินหลัน ยิ้มน้อยๆ “ผ่านไปหมดแล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันมองมือข้างนั้นของหลี่เย่ ก็ยิ้มออกมาน้อยๆ รู้สึกผ่อนคลายทั้งกายและใจ “ใช่เพคะ ผ่านไปหมดแล้ว หลังจากนี้ไม่มีคนทำอะไรพวกเราได้อีกแล้วเพคะ”

 

 

ในที่สุดหลี่เย่ก็ได้สานฝันของเขา และนางเองก็เช่นกัน

 

 

นางเคยคิดว่าหากพวกเขาสามารถฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกันได้ เป็นสามีภรรยากันไปทั้งชีวิต นั่นจะดีมากเพียงใด และตอนนี้คนที่ใช้ชีวิตก้าวเดินไปกับเขาตลอดไปก็มีเพียงนาง นางพอใจมาก และซาบซึ้งมากเช่นกัน

 

 

“เจ้าอยากอยู่ที่วังไหน?” หลี่เย่ถามออกมาเช่นนี้ด้วยท่าทางคาดหวัง “หลังจากนี้ที่นั่นจะเป็นที่อยู่ของพวกเรา ควรเลือกให้ดี”

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิด “ตำหนักกานลู่ดีหรือไม่? ที่นั่นอยู่ใกล้ตำหนักไท่จี๋ ท่านไปมาทุกวันก็สะดวก”

 

 

หลี่เย่ครุ่นคิด คิดว่าถาวจวินหลันต้องไม่ยินยอมอาศัยอยู่ในสถานที่ที่ฮองเฮาเคยอยู่เป็นแน่ อีกทั้งตำหนักกานลู่ก็ไม่แย่ ถือว่าเป็นตำหนักที่อยู่ในตำแหน่งดีและกว้างขวางในวังหลวง เขาจึงพยักหน้า “เช่นนั้นก็อาศัยที่นั่นเถิด อีกครู่ให้โจวอี้เข้ามา ไปจัดการบูรณะตำหนักกานลู่ให้เรียบร้อย แล้วก็ควรเปลี่ยนชื่อด้วย”

 

 

ถาวจวินหลันกลับไม่ใส่ใจสิ่งเหล่านี้ แต่หลี่เย่วางแผนอนาคตของพวกเขาด้วยท่าทางตื่นเต้นเช่นนี้ นางก็จะทำให้หมดสนุกไม่ได้เช่นกัน จึงยิ้มพลางเสนอความเห็นอีกอย่าง

 

 

ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง แม้จะบอกว่าล้วนเป็นเรื่องสัพเพเหระ แต่บรรยากาศก็อบอุ่นอย่างไม่มีที่เปรียบ บรรดาข้ารับใช้ยืนดูอยู่ไกลๆ รู้สึกเพียงเกิดความอิจฉาขึ้นในใจ

 

 

ถาวจวินหลันไม่ได้พูดเรื่ององค์ชายเจ็ด หลี่เย่ก็ไม่ได้ถาม ทั้งสองคนมีความคิดว่าต่างฝ่ายต่างรู้กันไม่จำเป็นต้องพูดออกมา ไม่เพียงเรื่องนี้ แม้แต่เรื่องอื่นก็ไม่มีใครยกขึ้นมาพูดเช่นเดียวกัน

 

 

สุดท้ายตำหนักกานลู่ก็ถูกหลี่เย่เปลี่ยนเป็นวังพญาหงส์ ‘พญาหงส์’ สองคำนี้ถือเป็นการแสดงฐานะของถาวจวินหลัน นางเป็นฮองเฮา ย่อมเป็นหงส์ในฝูงมนุษย์ ไร้มนุษย์คนใดเทียบเคียง บัลลังก์พญาหงส์ เกียรติยศของฮองเฮาไม่ว่าใครก็เทียบไม่ติด

 

 

พอถาวจวินหลันเห็นสองคำนี้ก็หัวเราะออกมา เข้าใจความคิดของหลี่เย่อย่างทะลุปรุโปร่ง หลี่เย่ทำเช่นนี้ก็ให้นางรู้สึกซึ้งใจ ไม่ว่านางได้ความเคารพและความสำคัญจากคนอื่นมากเพียงได้ ก็ไม่อาจเทียบได้กับความเคารพและความรักจากหลี่เย่

 

 

ใกล้ถึงวันพิธีขึ้นครองราชย์เข้ามาแล้ว อาจเป็นเพราะว่าเลื่อนเวลาไปนาน และล่าช้ามานานขนาดนี้ กรมพิธีการจึงพูดอย่างหนักแน่นว่าต้องจัดงานพิธีครั้งนี้ให้เคร่งขรัด ใช้โอกาสครั้งนี้ประกาศบอกทั้งใต้หล้า ปลอบประโลมราษฎร

 

 

แน่นอนว่าเป็นความคิดของหลี่เย่เช่นกัน

 

 

หลี่เย่สั่งให้คนทำชุดพญาหงส์สง่างามหรูหราเป็นพิเศษ แต่ถาวจวินหลันกลับเสียดายเล็กน้อย ตอนนี้ท้องของนางเริ่มใหญ่จนเห็นชัดมากแล้ว ต่อให้ทำเสื้อผ้าใหญ่เพียงใด ก็ยังเห็นร่างกายเทอะทะของนางได้อยู่ดี ยิ่งชุดพญาหงส์สวยงามมาก นางก็ยิ่งมีราศีน้อยลง

 

 

แต่ถาวจวินหลันก็แค่รู้สึกไปเอง จากที่คนอื่นเห็นแล้วไม่ได้มีอะไร ถึงท้องใหญ่ส่งผลกระทบถึงภาพลักษณ์ก็จริง แต่รัศมีของถาวจวินหลันไม่ได้หายไปไหน อีกทั้งมีชุดหงส์ มงกุฎหงส์คอยขับรัศมี ต่อให้ถาวจวินหลันเป็นสตรีมีครรภ์ ก็ไม่ได้น่าขบขันเท่าไรนัก ที่จริงแล้วแทบจะไม่มีใครกล้าเงยหน้ามองนาง คนธรรมดาจะกล้ามองฮองเฮาผู้ทรงเกียรติที่ไหนกัน? ลอบมองเพียงแวบเดียวก็ไม่เหมาะสมแล้ว ทำได้เพียงรีบก้มหัวลงเท่านั้น

 

 

หลี่เย่ยังเรียกคนให้มาตัดชุดองค์รัชทายาทสีเหลืองอ่อนให้ซวนเอ๋อร์

 

 

พอถาวจวินหลันรู้เรื่องนี้ก็ห้ามเอาไว้ คิดว่าซวนเอ๋อร์ยังเด็กเกินไป ควรรออีกสักสองสามปีค่อยว่ากันใหม่

 

 

หลี่เย่กลับยืนกราน “ซวนเอ๋อร์เป็นลูกชายคนโตของข้า ทั้งฉลาดและรู้ความ ย่อมต้องสืบถอดรากฐานของข้าต่อไป” ส่วนจะเหมาะสมเป็นฮ่องเต้หรือไม่ ก็ให้สอนการวางตัวของฮ่องเต้ตั้งแต่เด็ก แล้วยังต้องกลัวว่าโตขึ้นไปจะเป็นฮ่องเต้ดีไม่ได้อย่างนั้นหรือ?

 

 

ถาวจวินหลันทำได้แค่ปล่อยไป จากนั้นก็ถามเรื่องการนิรโทษกรรมในแผ่นดิน และการแต่งตั้งแบ่งประเภทขุนนางข้าราชการ รวมถึงสมาชิกในราชวงศ์

 

 

ขุนนางราชการย่อมไม่ต้องพูดถึง ถาวจวินหลันไม่สนใจ สิ่งที่นางสนใจคือองค์ชายเจ็ดกับอาอู่

 

 

หลี่เย่หัวเราะ “ครั้งนี้เจ้าเจ็ดออกแรงเยอะ ข้าต้องตกรางวัลให้เขาอย่างดี ตำแหน่งชินอ๋องไม่หลุดไปอย่างแน่นอน จวงอ๋องจะต้องถูกล่ามขังเอาไว้ จวนจวงอ๋องนั้นไม่เลว ก็ปล่อยให้จวงอ๋องแก่ตายไปในนั้นก็พอ ลูกชายของเขาก็เป็นสายเลือดตระกูลหลี่ เรื่องนี้ไม่อาจเปลี่ยนได้ ข้าย่อมไม่เอาเปรียบ อู่อ๋องแม้จะบอกว่าตั้งใจก่อกบฏ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไร ทั้งยังถูกหลอกล่อมา ย่อมปล่อยผ่านไปไม่พูดถึง หลังจากส่งศพเต็มพิธีแล้วก็ให้ลูกชายของเขาสืบทอดตำแหน่งยศศักดิ์ของเขาต่อไป ส่วนอาอู่ก็ให้เขาสืบทอดตำแหน่งคังอ๋อง หลังจากนี้โตไปค่อยแต่งตั้งเป็นชินอ๋องก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”

 

 

หลี่เย่จัดการเช่นนี้ถือว่าเมตตามากแล้ว บางทีออกจะใจกว้างมากเกินไป แต่คำพูดเช่นนี้ยิ่งทำให้ชื่อเสียงและอำนาจของหลี่เย่ย่อมสูงขึ้นมาก ที่สำคัญคือถาวจวินหลันเองก็คิดว่าความแค้นและบุญคุณของคนรุ่นนี้ไม่จำเป็นต้องยืดยาวไปจนถึงรุ่นลูก

 

 

“องค์ชายแปดและองค์ชายเก้า…” ถาวจวินหลันเอ่ยขึ้นมาอย่างลังเล องค์ชายแปดที่จริงแล้วเป็นเพียงตัวประกอบ ที่สำคัญที่นางอยากถามก็คือองค์ชายเก้า

 

 

หลี่เย่รู้สึกปวดหัวกับองค์ชายเก้าเล็กน้อย แต่เห็นท่าทีเช่นนั้นของถาวจวินหลัน เขาก็ถอนหายใจ “ผ่านไปอีกไม่กี่ปีให้บอกว่าเขาป่วยตาย จากนั้นก็แอบส่งออกไป”

 

 

องค์ชายเก้าไม่ใช่สายเลือดตระกูลหลี่ มีผลลัพธ์เช่นนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว

 

 

ถาวจวินหลันวางใจ สุดท้ายก็พูดถึงตระกูลหวังและฮองเฮา “ท่านวางแผนจะจัดการกับพวกเขาอย่างไรเพคะ?”