หวงฝู่ซวิ่นได้ยินเสียงที่พวกเขาพูดคุยกัน พูดล้อเลียนอย่างมีความสุขว่า “เห็นทีว่าหวงฝู่ซื่อจื่อของเราอีกหน่อยคงเป็นทาสศรีภรรยาเสียแล้วล่ะมั้ง”

 

 

ในใจของหวงฝู่อี้เซวียนมีเรื่องค้างอยู่ ไม่มีอารมณ์ล้อเล่นกับเขา จึงได้ถามเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้ามาที่นี่มีธุระอะไรหรือ”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นทำเสียงจิ้จ้ะ “ดูสิ ดูสิ ตอนจะใช้ข้าก็แทบจะกราบกรานข้า พอหมดประโยชน์ก็ไม่เห็นหัวข้าสักนิด เมื่อตอนมีเรื่องขอร้องข้า คำก็พี่ใหญ่ สองคำก็พี่ใหญ่ เมื่อไม่ต้องการข้าแล้ว ก็ชักสีหน้าใส่ข้าเช่นนี้”

 

 

น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “มีอะไรก็รีบๆ พูดมา หากไม่มีอะไรก็รีบไสหัวไปเสียที พวกเราเดินทางกลับมาติดต่อกันสามวันจากหลินเฉิง เหนื่อยแทบแย่ ไม่มีเวลามาต่อกลอนกับเจ้า”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นชินกับท่าทางเช่นนี้ของเขาเสียแล้ว แต่อย่างไรเขาก็ยังคงทำสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวว่า “ข้ามีธุระ แต่ข้ายังไม่รู้ข้อมูลที่แน่ชัด แต่สัมผัสได้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้า จึงได้รีบมาบอกเจ้า”

 

 

“เรื่องอะไร”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นนำเรื่องที่นางกำนัลมารายงานเขาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักของเฮ่อกุ้ยเฟยเล่าให้อี้เซวียนฟัง “พฤติกรรมวันนี้ของพวกนางผิดปกติมาก แต่คนที่ข้าให้เป็นสายสืบอยู่ห่างออกไปมาก ไม่ได้ยินสิ่งที่พวกนางคุยกัน แต่ว่า ข้าเดาว่าพวกนั้นจะต้องวางแผนอะไรอยู่แน่”

 

 

ใจของหวงฝู่อี้เซวียนเต้นระรัว สายตานิ่งแข็งไป กล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านช่วยอะไรข้าหน่อย”

 

 

“พูดมาสิ”

 

 

“ระดมกองกำลังที่ท่านซ่อนไว้ในจวนของเฮ่อจาง ถามแทนข้าทีว่าสองวันมานี้พวกเขาได้ทำเรื่องน่าสงสัยอะไรหรือไม่”

 

 

เรื่องนี้ไม่ยาก ไม่นานก็คงสืบมาได้ หวงฝู่ซวิ่นสั่งการเสียงดัง

 

 

องครักษ์เงาตอบรับและไปอย่างรวดเร็ว

 

 

หวงฝู่ซวิ่นหยั่งเชิงถามว่า “เกิดเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”

 

 

ในใจของหวงฝู่อี้เซวียนเดาอะไรได้บ้างแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจ ส่ายหน้าเล็กน้อย

 

 

องครักษ์เงารวดเร็วเป็นอย่างมาก กลับมาทันทีหลังจากหวงฝู่ซวิ่นอิ่มท้องจากมื้อกลางวัน รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นในจวนมหาเสนาบดีตามจริงว่า “เรื่องใหญ่เรื่องเดียวที่เกิดขึ้นในจวนมหาเสนาบดีคือครึ่งเดือนที่ผ่านมาเฮ่อเหลี่ยนรับขอทานผู้หนึ่งมาเป็นอนุขอรับ เรื่องนี้ในจวนรู้กันทั่ว สิ่งที่ทำให้น่าสงสัยก็คือ ขอทานผู้นี้เคยถูกเขาไล่ออกจากบ้านมาเมื่อห้าปีที่แล้ว”

 

 

ในหัวของหวงฝู่อี้เซวียนมีอะไรบางอย่างแวบเข้ามา พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น ถามอย่างร้อนรนว่า “อนุน้อยคนนั้นชื่ออะไร!”

 

 

องครักษ์เงาตกใจกับน้ำเสียงของเขา จึงถอยหลังไปเล็กน้อย ตอบอย่างเกรงกลัวว่า “เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ได้ถามขอรับ”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นสังเกตได้ว่ามีสิ่งใดผิดปกติกับเขา จึงตวาดองครักษ์ว่า “ไร้ประโยชน์สิ้นดี ยังไม่รีบไปสืบมาอีก”

 

 

องครักษ์เงาตอบรับ หันหลังและรีบไปทันที

 

 

หลังจากที่ทั้งสองรอด้วยความร้อนใจนั้น ไม่นานองครักษ์เงาก็รีบกลับมารายงานว่า “เมื่อครู่ข้าน้อยไปถามมาแน่ชัดแล้ว นางมีชื่อว่าหลิวลี่ขอรับ”

 

 

ในหัวของหวงฝู่อี้เซวียนมีเสียงดังขึ้น ใช่แล้ว หลิวลี่โตมากับเมิ่งเชี่ยนโยว รู้จักความเป็นไปของนางเป็นอย่างดีกว่าใครอื่น เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนไปมากมายเพียงนี้ นางจะไม่รู้ได้อย่างไร หากเฮ่อจางนำเรื่องนี้ไปบอกฮ่องเต้ อย่างนั้นจุดจบของเมิ่งเชี่ยนโยว… ไม่กล้าแม้แต่จะคิด และก็ไม่กล้าจะคิดต่อไป หวงฝู่อี้เซวียนพูดกับหวงฝู่ซวิ่นด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ใหญ่ ท่านรีบกลับวังไป ส่งคนไปจับตามองเฮ่อกุ้ยเฟยและองค์ชายหกทุกฝีก้าว หากมีอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย ให้รีบส่งคนมาแจ้งข้า และรีบระดมพลสายสืบที่จวนเฮ่อ ให้จับตามองความเป็นไปทุกอย่างในนั้นทุกกระเบียดนิ้ว”

 

 

เมื่อเห็นว่าเขามีสีหน้ากดดัน ราวกับว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น หวงฝู่ซวิ่นก็รู้ได้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติ จึงถามว่า “แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เล่า”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่กล้าพูดความจริง พูดกึ่งจริงกึ่งเท็จว่า “ตอนนี้ยังไม่มั่นใจ แต่พวกเฮ่อจางคงจะคิดหาวิธีเลวร้ายมาเพื่อใส่ร้ายเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่แน่”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นตกใจ เขารู้ดีถึงความรู้สึกที่หวงฝู่อี้เซวียนมีต่อเมิ่งเชี่ยนโยว หากเกิดอะไรขึ้นกับเมิ่งเชี่ยนโยว อย่างนั้นเขาคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ เขาไม่ได้ถามอะไรต่อ พาคนกลับวังไปอย่างรีบร้อน และรีบสั่งการทันที

 

 

 

 

หลังจากที่องค์ชายหกออกมาจากตำหนักของเฮ่อกุ้ยเฟยแล้ว มองสีของท้องฟ้า ครุ่นคิดอยู่ครู่ และเดินตรงไปยังตำหนักไทเฮา รอจนขันทีหน้าห้องเรียนไทเฮาแล้ว เขาก็เดินเข้าไป หลังคารวะไทเฮาแล้ว ก็ยืนอยู่ตรงหน้านางตามธรรมเนียม ยิ้มและพูดว่า “เสด็จย่าขอรับ วันนี้ข้าขอฝากท้องที่ตำหนักของท่านนะขอรับ”

 

 

ไทเฮายิ้มและกวักมือ ให้เขามานั่งข้างตน “เจ้าลิงตัวนี้นี่ มักจะตามกลิ่นของอร่อยมายังตำหนักข้าได้ตรงเวลาทุกที”

 

 

องค์ชายหกสูดจมูกเป็นท่าประกอบ “เสด็จย่าตรัสถูกแล้วขอรับ ข้ากำลังอ่านหนังสือทบทวนตำราอยู่ที่ตำหนัก ได้กลิ่นหอมโชยมา จึงได้เดินตามกลิ่นนั่นมา นี่ก็เพิ่งทราบว่าโชยมาจากตำหนักของเสด็จย่านี่เองขอรับ”

 

 

ไทเฮาถูกล้อเล่นจนหัวเราะออกมา พูดว่า “เจ้านี่นะ ช่างพูดเสียจริง ไม่รู้ว่าได้ใครมา”

 

 

องค์ชายหกกล่าวว่า “ข้าโตมากับท่าน ก็ต้องเหมือนท่านสิขอรับ”

 

 

ไทเฮาหัวเราะอีกครั้ง

 

 

นางกำนัล และขันทีที่คอยรับใช้อยู่ด้านข้างเม้มปาก องค์ชายหกมักจะมาหาไทเฮา ไม่เพียงแต่ทำให้ไทเฮามีความสุข แล้วยังดีต่อพวกเขาอีกด้วย มักจะมอบของเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเขา ดีกว่าไท่จื่อที่มาทำความเคารพตามธรรมเนียม และเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไร

 

 

ไทเฮาถูกเขาล้อเล่นจนอารมณ์ดีขึ้น องค์ชายหกกดเสียงทุ้มต่ำลง พูดอย่างลับๆ ล่อๆ ว่า “เสด็จย่าขอรับ ไม่กี่วันมานี้หลานได้ยินเรื่องสนุกบางอย่างมาขอรับ ท่านอยากฟังหรือไม่ขอรับ”

 

 

ไทเฮาถูกขังอยู่ในวังมาทั้งชีวิต ชอบฟังเรื่องเล่าของชาวบ้านยิ่งนัก เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มว่า “เรื่องสนุกอะไรหรือ เล่าให้ข้าฟังที”

 

 

เขากวาดตามองคนในห้อง องค์ชายหกกล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ข้าเกรงว่าหากรู้กันมากคนเข้า เจ้าของเรื่องจะเสียหายได้ เสด็จย่าให้พวกเขาออกไปด้านนอกก่อนได้หรือไม่ขอรับ ข้าอยากเล่าให้ท่านฟังผู้เดียว”

 

 

“เจ้าลิงซนตัวนี้นี่ ทำลับๆ ล่อๆ ไปได้ หากข้าฟังแล้วไม่สนุกล่ะก็ จะสั่งคนโบยเจ้าให้ดู” แม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่ก็โบกมือสั่งให้บ่าวไพร่ออกไปด้านนอก กระทั่งกูกูผู้ดูแลก็ยังถูกสั่งให้ไปยืนอยู่นอกประตู รับสั่งว่า “พวกเจ้าไปรอด้านนอก อย่าให้ใครเข้ามา ข้าจะรอฟังดูทีว่าเขาจะเล่าเรื่องสนุกอะไร”

 

 

กูกูผู้ดูแลถอยออกไป ปิดประตูเบามือ และยืนรออยู่ด้านนอก

 

 

“เล่ามาสิ เรื่องสนุกอะไร” ไทเฮายิ้มตรัส

 

 

องค์ชายหกจงใจเกริ่นให้นางอยากรู้ พูดเสียงเบาว่า “หลานรับรองได้เลยขอรับว่าเรื่องสนุกนี้ เสด็จย่าจะต้องไม่เคยได้ยินที่ใดมาก่อนแน่”

 

 

ไทเฮาถลึงตาใส่เขา ยกมือขึ้นทำท่าจะตีเขา “นี่เจ้าแกล้งทำให้ย่าอยากรู้อย่างนั้นหรือ อยากถูกตีใช่หรือไม่”

 

 

องค์ชายหกยิ้มอ้อนวอน “เสด็จย่า ไว้ชีวิตหลานคนนี้ด้วยขอรับ หลานจะเล่าเดี๋ยวนี้ขอรับ”

 

 

ไทเฮาหัวเราะ

 

 

นางกำนัลด้านนอกมองตากัน และหัวเราะตามออกมา ทุกครั้งที่องค์ชายหกมาที่นี่พวกนางก็จะถือว่าได้พักผ่อนไปด้วย

 

 

เมื่อเห็นว่าจุดไฟติดแล้ว องค์ชายหกกลืนน้ำลาย เตรียมเล่าว่า “ข้าได้ยินมาว่า ณ สถานที่แห่งหนึ่งของรัฐอู่ มีเด็กสาวคนหนึ่ง…”

 

 

เขาปรุงแต่งน้ำเสียงให้น่าสนใจ ไทเฮาฟังแล้วเพลิน และยังคอยส่งเสียงออกมาจากลำคอเป็นระยะ “อัยหยา เด็กคนนี้นี่พิลึกจริง ล้มหัวฟาดพื้นแล้วกลับเก่งขึ้นเพียงนี้เชียวหรือ”

 

 

องค์ชายหกพยักหน้าเห็นด้วย “ใครว่าไม่ใช่ล่ะขอรับ ดังนั้นคนในหมู่บ้านนั้นต่างก็แปลกใจมาก แต่ว่านางทำประโยชน์ให้คนในหมู่บ้าน ทุกคนจึงได้ลืมความสงสัยนี้ไป”

 

 

ไทเฮากำลังฟังอย่างออกรส เร่งให้เขาเล่าต่อ “เจ้ารีบพูดต่อเร็วเข้า ต่อมาเด็กสาวคนนี้เป็นอย่างไรต่อ”

 

 

“หลังจากนั้น…” เขามองไทเฮาเล็กน้อย องค์ชายหกพูดกึ่งจริงกึ่งเท็จว่า “จากนั้นเด็กคนนี้ก็เข้ามาในเมืองหลวง ได้ยินมาว่านางมาหาสามีที่ไม่ได้พบกันมานานสี่ปีแล้ว”

 

 

ไทเฮาผงะไป จากนั้นก็ถามอย่างสงสัยว่า “แม่นางผู้นี้อายุยังน้อยอยู่ไม่ใช่หรือ จะมีสามีได้อย่างไร”

 

 

“ได้ยินมาว่าสามีของนางนั้นได้หมั้นหมายกันตั้งแต่ยังเล็กๆ แล้วขอรับ”

 

 

ไทเฮาพยักหน้า “อย่างนั้นก็ไม่น่าแปลกใจแล้ว ที่ชนบทมักจะทำการหมั้นหมายให้เด็กๆ อยู่มาก” จากนั้นก็เร่งต่อไปว่า “รีบเล่าต่อสิ จากนั้นเป็นอย่างไร”

 

 

“จากนั้นน่ะหรือขอรับ…” มองสีหน้าของเขา องค์ชายหกเริ่มเล่าต่อ

 

 

ตอนแรกไทเฮาฟังอย่างออกรส แต่ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ รู้สึกว่าเรื่องที่เขาเล่านั้นช่างคุ้นหูยิ่งนัก โดยเฉพาะช่วงที่บอกว่าสามีของนางเป็นลูกของคนสูงศักดิ์ที่ที่พลัดจากครอบครัว เมื่อหากันพบแล้วก็รังเกียจที่นางต้นตระกูลต่ำต้อย ไม่ยอมรับเรื่องการหมั้นหมาย เหมือนกับตอนที่นางสั่งยุติการหมั้นหมายของอี้เซวียนไม่มีผิด

 

 

ไทเฮายกแก้วชามาดื่ม สงบสติอารมณ์ และเปิดปากถามว่า “เพราะอะไร”

 

 

“เพราะว่านางไม่ใช่หญิงสาวคนเดิมอย่างไรล่ะขอรับ แต่เป็นปิศาจมาสิงร่าง”