ตอนที่ 216 ข้าเอาหัวเป็นประกัน

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เพล้ง ถ้วยชาในมือของไทเฮาหล่นลงพื้นแตกละเอียด

 

 

นางกำนัลที่ถวายการรับใช้อยู่ด้านนอกตกใจเพราะเสียงนี้จนตัวสั่น

 

 

ไม่รอให้คนสนิทต้องเอ่ยถาม องค์ชายหกรีบลุกขึ้น พูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “เสด็จย่า ท่านตกพระทัยหรือขอรับ หลานผิดเองหลานไม่ควรเล่าเรื่องเช่นนี้ให้ท่านฟังเลย”

 

 

ไทเฮาอย่างไรก็เป็นไทเฮา นางอาศัยอยู่ในวังหลวงมากว่าครึ่งชีวิต เป็นผู้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในวัง หลังจากตกใจแล้ว ก็รีบสงบขึ้นทันที แม้ว่าจะไม่ได้เผยรอยยิ้มออกมา แต่ก็ยังโบกไม้โบกมือและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปลี่ยนไปว่า “ไม่เป็นไร มือข้าลื่นไปหน่อยเท่านั้น”

 

 

องค์ชายหกเก็บสีหน้าตกใจไว้ “อย่างนั้นก็ดีขอรับ หลานคิดว่าเรื่องสนุกที่เล่าให้ท่านฟัง ทำให้ท่านตกพระทัยเสียแล้ว มิเช่นนั้น หลานคงมีความผิดใหญ่หลวงนัก” พูดจบก็รีบแก้ตัวว่า “หลานเองก็ได้ยินคนเขาเล่าต่อกันมาเท่านั้น หลานเล่าให้ฟัง ท่านก็ฟังให้เพื่อสนุกก็พอ ขออย่าเอาเรื่องนี้ไปใส่พระทัยเลยขอรับ”

 

 

จะไม่ใส่ใจได้อย่างไรเล่า และเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ใส่ใจ หากว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปิศาจมาสิงร่างจริงๆ อย่างนั้นจะต้องทำลายครอบครัวของลูกชายตนเป็นแน่ นางจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเด็ดขาด

 

 

กูกูผู้ดูแลถามจากหน้าประตูด้วยความเป็นห่วง “ไทเฮา ต้องการให้หม่อมฉันเข้าไปเก็บกวาดหรือไม่เพคะ”

 

 

“เข้ามาสิ” ไทเฮาตอบรับ

 

 

กูกูผู้ดูแลเข้ามา เมื่อเห็นเศษแก้วบนพื้น จึงได้รีบสั่งในนางกำนัลรีบมาเก็บกวาดทันที

 

 

เมื่อสงบสติแล้ว ไทเฮารับสั่งให้จัดโต๊ะอาหาร แม้ว่าสีหน้าจะไม่เปลี่ยน แต่เห็นได้ชัดว่าเสวยอาหารได้น้อยลง

 

 

องค์ชายหกเห็นทุกอย่าง รู้แล้วว่าไทเฮาเริ่มสงสัย จึงไม่ได้พูดอะไรมากกว่าเดิม หลังจากจบมื้ออาหารแล้ว ก็กลับไปที่ตำหนักตัวเอง

 

 

ไทเฮากลับนอนเงียบไม่พูดไม่จาบนเสื่อนิ่ม ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

 

 

แม้ว่าเสียงของทั้งสองจะเบามาก แต่กูกูผู้ดูแลก็พอจะได้ยินคร่าวๆ นางตกใจอย่างที่สุด คำพูดกำกวมขององค์ชายหกได้ทำให้ไทเฮาเกิดความสงสัยขึ้นแล้ว นางต้องหาวิธีออกจังวังไปรายงานซู่อิงให้รู้เรื่อง

 

 

ขณะเดียวกันนั้น ไท่จื่อที่เพิ่งกลับตำหนักมาก็ได้ทราบข่าวแล้ว แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน

 

 

ถึงขนาดทำเป็นความลับเช่นนี้ ไท่จื่อระแวงขึ้นมาทันที หลังจากส่งคนไปส่งข่าวให้หวงฝู่เซวียนเรียบร้อยแล้วนั้น ก็ได้สั่งสายสืบในตำหนักเฮ่อกุ้ยเฟยให้จับตามองเขาอย่างใกล้ชิด ห้ามมิให้คลาดสายตาไปได้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสัมผัสได้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนมีเรื่องในใจ จึงนั่งลงข้างเขาเงียบๆ รอให้เขาพูดออกมา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนทำทีจะเปิดปากพูดและก็ได้หยุดไปอยู่หลายครั้ง ราวกับว่าไม่รู้จะพูดว่าอะไร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับปลอบเขาด้วยรอยยิ้ม “หากไม่สะดวกจะพูดตอนนี้ ก็รอให้เจ้าพร้อมก่อนค่อยว่ากันก็ได้”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกุมมือนางไว้แน่น ให้สัญญาอย่างจริงจังว่า “โยวเอ๋อร์ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าจากข้าไปเป็นเด็ดขาด”

 

 

บัดนี้เฮ่อกุ้ยเฟยก็กำลังคิดหาวิธิ ไม่มีความลับในวังหลวง แม้ว่านางและพ่อจะคุยกันด้วยเสียงเบา แต่ไม่มีใครรับรองได้ว่าจะไม่มีคนได้ยิน หากพวกเขารู้เรื่องแล้วและเตรียมตัวแล้ว อย่างนั้นจะเอาเมิ่งเชี่ยนโยวให้ถึงตายก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แผนการณ์ตอนนี้ ก็คือให้ฝ่าบาทรู้เรื่องเร็วที่สุด จากนั้นก็รีบตัดสิน อย่าให้พวกเขามีเวลาเตรียมตัว แต่สิ่งอื่นใดคือนางจะต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้ให้ได้ก่อน

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็ยืนขึ้น เปิดกล่องเครื่องประดับของนางออกมา กัดฟันหยิบสร้อยทองออกมามอบให้กูกูผู้ดูแลของตัวเอง และสั่งการไป

 

 

นางกำนัลรับสร้อยทอง มาพบขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ตามคำสั่งของนาง แอบมอบสร้อยทองให้เขา และพูดว่า “กุ้ยเฟยมีเรื่องอยากจะรบกวนท่าน คืนนี้ช่วยทำให้ฝ่าบาทไปหานางที่ตำหนัก”

 

 

นางสนมหลายคนมักจะวนเวียนมาติดสินบนเขาเพื่อจะให้ช่วยทูลฝ่าบาทให้ไปพบพวกนาง ขันทีชินกับเรื่องเช่นนี้เสียแล้ว แต่สำหรับเฮ่อกุ้ยเฟยนั้นนี่นับเป็นครั้งแรก แถมยังมือหนักเสียด้วย แน่นอนว่าขันทีจะต้องทำตามด้วยความยินดียิ่ง อันที่จริงเฮ่อกุ้ยเฟยก็เป็นคนโปรดอยู่แล้ว ให้ฝ่าบาทไปหานางไม่ใช่เรื่องยากอะไร พูดว่า “เจ้ากลับไปรายงานกุ้ยเฟยว่าเรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้า”

 

 

นางกำนัลตอบรับ กลับมารายงานเฮ่อกุ้ยเฟย

 

 

เฮ่อกุ้ยเฟยดีใจออกนอกหน้า เตรียมตัวจัดการตัวเองให้สะอาดทั้งนอกและใน รอให้ฝ่าบาทเสด็จมา

 

 

และเมื่อฟ้ามืดฮ่องเต้ก็เสด็จมาพบนางที่ตำหนักจริงๆ เฮ่อกุ้ยเฟยงัดวิชามารยาทุกอย่างมาใช้ หลังจากถวายการปรนนิบัติอย่างหวานชื่นเรียบร้อยแล้วนั้นก็อาศัยจังหวะที่ฝ่าบาทกำลังพึงพอใจอยู่เล่าเรื่องเป่าหูเขา

 

 

เช้าวันต่อมา ฝ่าบาทจากไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางกำนัลในตำหนักของเฮ่อกุ้ยเฟยตกใจเป็นอย่างมาก คิดว่าเฮ่อกุ้ยเฟยทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย เกรงว่าภายหน้าจะถูกส่งตัวไปยังตำหนักเย็นเป็นแน่

 

 

มีเพียงเฮ่อกุ้ยเฟยรู้ดีว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงเป็นเช่นนี้ สีหน้าของนางมีความสุขเป็นอย่างมาก

 

 

และช่วงออกว่าราชเช้านั้นฝ่าบาทจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเอาเสียเลย เฮ่อจางเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ รู้ดีว่าได้เวลาแล้ว จึงได้ยืนขึ้น และกล่าวทูลเสียงดังว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะทูลพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฝ่าบาทมองเขาเล็กน้อย พูดว่า “ว่ามา”

 

 

“วันนี้ชาวบ้านมีข่าวลือ บอกว่าองค์หญิงชิงเหอคนใหม่ที่เพิ่งได้การรับแต่งตั้งไปเป็นปิศาจที่มาสิงร่างพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเกรงว่าจะมีอันตรายมาถึงตัวฝ่าบาทได้ กระหม่อมจึงจะมาขอร้องให้ฝ่าบาทประหารนางเสีย”

 

 

ในวังเกิดความวุ่นวายขึ้นในบัดดล เหล่าขุนนางต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์

 

 

อ๋องฉีผงะอยู่ที่เดิม

 

 

สีพระพักตร์ที่เดิมทีเคร่งขรึมของฝ่าบาทน่ากลัวยิ่งขึ้น โน้มร่างไปด้านหน้า ทอดพระเนตรเฮ่อจางด้วยความโกรธเคืองและตรัสด้วยเสียงดังว่า “พูดจาเหลวไหลทั้งเพ องค์หญิงแห่งชิงเหอมอบโอกาสรอดชีวิตไปให้ชาวบ้านชาวหลินเฉิง ช่วยเราแก้ไขปัญหาหนักใจไปได้ แล้วจะเป็นปิศาจมาสิงร่างได้อย่างไรกัน”

 

 

เฮ่อจางเป็นขุนนางมานานหลายปี เขารู้ใจของฝ่าบาทเป็นอย่างดี รู้ว่าเขาได้เชื่อคำพูดนี้ไปเสียแล้ว แต่ที่ต้องตำหนิเขาก็เพื่อจะหาเกราะป้องกันตัวเอง จะได้มีคำอธิบายที่เหมาะสมให้คนในราชสำนักทราบ อย่างนี้ก็ยิ่งเสริมให้เขาแสดงหลักฐานได้ง่ายขึ้น

 

 

เสแสร้งทำทีทรุดเข่าลงด้วยความกลัว ตะโกนร้องอยากตื่นตระหนก “ฝ่าบาท กระหม่อมมั่นใจยิ่งนักพ่ะน่ะค่ะ”

 

 

น้ำเสียงที่ฝ่าบาทถามมีความร้อนรนมากขึ้น “จะพิสูจน์ได้อย่างไร”

 

 

เฮ่อจางพูดเสียงดังขึ้น “สิบกว่าวันก่อนกระหม่อมได้ยินเรื่องนี้ เกิดแปลกใจ เมื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของฝ่าบาท จึงได้ส่งองครักษ์เงาและองค์รักษ์ประจำจวนรวมทั้งบ่าวรับใช้จำนวนสามกลุ่ม ผลัดกันไปสืบเรื่องที่ตำบลชิงซี ข้อมูลที่ได้ก็ตรงกัน องค์หญิงคนนี้แต่ก่อนเป็นเพียงเด็กสาวบ้านนอกธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีความพิเศษอะไร จนกระทั่งเมื่อถึงตอนอายุ 12 ปี หลังจากที่ตกลงมาจากบนเขาแล้วนั้นก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ไม่เพียงแต่รู้เรื่องที่ชาวบ้านไม่รู้ แล้วยังรู้วิชาแพทย์ขั้นสูงอีกด้วย”

 

 

อ๋องฉีได้สติกลับมา พูดด้วยเสียงไม่พอใจว่า “นี่มันหลักฐานอะไรกัน แม่นางเมิ่งฉลาดมาตั้งแต่เกิด จะเรียนอะไรก็ทำได้ดีทั้งหมด มันไม่ได้หรืออย่างไร”

 

 

เฮ่อจางหันไปมองเขา หัวเราะออกมา “ท่านอ๋องฉีช่างพูดไปไกลเหลือเกิน ข้าขอถามหน่อยว่าเด็กสาวที่เดินทางไปไกลสุดก็เพียงในเมืองเท่านั้น ต่อให้ฉลาดหลักแหลมเพียงใด ก็ไม่มีทางเรียนการแพทย์ได้ในเร็ววันเพียงนั้นหรอกใช่หรือไม่”

 

 

อ๋องฉีพูดไม่ออก อย่างอื่นยังพอหาเหตุผลมาถูไถได้ แต่เรื่องวิชาการแพทย์นี่สิไม่ใช่ของที่จะเป็นกันง่ายๆ เสียด้วย

 

 

เมื่อได้ยินเฮ่อจางพูดอย่างมีเหตุมีผล หลักฐานแน่ชัด เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าขุนนางก็ยิ่งดังขึ้น พวกอยู่เป็นก็เข้าข้างเฮ่อจาง รีบยืนขึ้นพูดว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ฝ่าบาทอย่าเก็บนังปิศาจผู้นี้เอาไว้ให้มาแว้งทำร้ายท่านได้เลย”

 

 

สิ้นเสียงเขา จากนั้นก็มีขุนนางหกเจ็ดคนยืนขึ้น พูดเสียงดัง

 

 

สีหน้าของฮ่องเต้ยังคงเคร่งเครียดเช่นเดิม แต่กลับไม่พูดอะไร

 

 

อ๋องฉีเองก็ยืนขึ้น และก้มลงคารวะ “ฝ่าบาท สิ่งที่แม่นางเมิ่งทำไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเป่ยเฉิง ให้ได้กินอิ่มมีเสื้อผ้านุ่งให้อบอุ่น หรือจะเป็นการช่วยผู้ประสบภัยที่หลินเฉิง ให้รอดชีวิตได้ ทั้งสองเรื่องนี้ มีเรื่องใดไม่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองหรือพ่ะย่ะค่ะ หากนางเป็นปิศาจมาสิงร่างจริง แล้วจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร”

 

 

อ๋องฉีมีความดีความชอบเรื่องที่ได้ไปช่วยรบ อีกทั้งยังเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันกับฝ่าบาท ฝ่าบาททรงได้ยกเว้นการหมอบกราบสำหรับเขาไปนานหลายปีแล้ว ไม่เพียงคนทั้งหมดที่แปลกใจ แต่ฝ่าบาทเองก็ยังตกพระทัยไม่น้อย คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กสาวหลังเขาผู้นั้นไม่เพียงแต่ล่อลวงให้หวงฝู่อี้เซวียนหลงเสน่ห์ แต่แม้แต่พระอนุชาที่ฉลาดหลักแหลมผู้นี้ ก็ยังถูกนางโปรยเสน่ห์ใส่ เริ่มมั่นใจขึ้นว่านางจะต้องเป็นปิศาจแปลงกายมาเป็นแน่

 

 

การคุกเข่าของอ๋องฉีทำให้เหล่าขุนนางต่างตกใจมาก ดูตามสถานะของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว เป็นซื่อจื่อเฟย[1]ของจวนอ๋อง และก็เป็นลูกสะใภ้ของอ๋องฉี การที่อ๋องฉียอมคุกเข่าทั้งที่ไม่ได้ทำมานานนั้น ก็เพื่อขอร้องแทนลูกสะใภ้ นี่ นี่ นี่… เหล่าขุนนางไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบาย

 

 

ผู้ที่อยู่ฝ่ายเดียวกับอ๋องฉีไม่ปล่อยให้เขาสู้อยู่ผู้เดียวและแพ้เช่นนี้ จึงค่อยๆ ยืนขึ้นขอความเมตตา

 

 

ในท้องพระโรงเกิดความวุ่นวายขึ้นในบัดดล

 

 

ฝ่าบาทบรรทมไม่หลับทั้งคืนด้วยเรื่องที่ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปิศาจ ไม่ค่อยมีแรงอยู่แล้วแต่แรก บัดนี้ได้ยินเสียงดังวุ่นวายของขุนนาง ในหัวเกิดเสียงดังหึ่งขึ้น อารมณ์ก็แย่ลงขึ้นเรื่อยๆ ทรงทุบโต๊ะด้วยความพิโรธ ตรัสด้วยน้ำเสียงโกรธกริ้วว่า “หุบปากให้หมด!”

 

 

ขุนนางที่ทะเลาะกันอยู่เมื่อครู่เงียบเสียงลงทันที และรู้ตัวว่าทำเช่นนี้ไม่ควร ในใจสั่นระรัว ก้มหน้าลง รอคำต่อว่าของฝ่าบาทด้วยความเกรงกลัว

 

 

ในพระทัยของฝ่าบาทมีแต่เรื่องของเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่มีพระทัยไปตำหนิพวกเขา ทอดพระเนตรไปยังอ๋องฉีที่คุกเข่าลงอยู่เล็กน้อย ตรัสกับเฮ่อจางด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ท่านมหาเสนาบดี ที่ท่านพูดมาเป็นเพียงคำพูดลอยๆ เท่านั้น ในโลกใบนี้มีเรื่องแปลกประหลาดมากมายเกิดขึ้น การที่องค์หญิงมีการเปลี่ยนแปลงไปมากนั้น ก็ไม่สามารถจะบอกได้ว่านางเป็นปิศาจมาสิงร่าง”

 

 

เฮ่อจางคำนับ และทูลว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้กระหม่อมก็ได้ไตร่ตรองแล้ว เมื่อวานจึงได้ออกจากเมืองหลวงและไปรับพระเซวี่ยนชิงที่วัดชิงอวิ๋นมายังจวนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่า เมื่อใดที่ฝ่าบาทมีรับสั่งให้คนไปนำตัวองค์หญิงแห่งชิงเหอมา และให้พระท่านทำพิธีไล่ นางจะต้องกลับคืนร่างเดิมเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

พระเซวี่ยนชิงเป็นพระที่มีวิชาสูง เข้าใจธรรมลึกซึ้งถึงขนาดที่ว่าฝ่าบาทและขุนนางหลายคนรวมทั้งชาวบ้านต่างก็นับถือ หากว่ามีภูติผีปิศาจจะไม่มีทางรอดพ้นสายตาของเขาเป็นแน่ สิ้นคำของเฮ่อจาง เหล่าขุนนางต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา

 

 

แต่ครั้งนี้ฝ่ายของอ๋องฉีไม่มีเหตุผลมาโต้แย้ง

 

 

ภายนอกฮ่องเต้ดูนิ่งเฉย ตรัสว่า “องค์หญิง เป็นตำแหน่งที่เราพระราชทานให้ และยังเป็นซื่อจื่อเฟยของอี้เซวียนด้วย หากเป็นปิศาจมาสิงร่างจริง เราก็จะไม่ปล่อยเอาไว้แน่ จะสั่งคนให้ไปตัดหัวนาง แต่หากไม่ใช่ หากเราทำเช่นนั้นลงไปจะทำให้ราษฎรเกิดความหวาดกลัวขึ้นได้ ถึงตอนนั้นเราจะมีหน้าไปพบชาวบ้านได้อย่างไร ภายหน้าจะมีใครยอมเสียสละทำเพื่อเราอีก”

 

 

เหล่าขุนนางพยักหน้า

 

 

แต่ในใจของเฮ่อจางกลับก่นด่าฝ่าบาทอยู่หลายครั้ง ในเมื่อเชื่อเรื่องนี้ไปแล้ว แต่กลับไม่พูดออกมา อย่างมากก็แค่ได้รับการขนานนามว่าเป็นราชาผู้ทรงธรรม และให้ตนแบกรับความรับผิดชอบไว้ผู้เดียว ดังนั้นบัดนี้เขาไม่มีทางออกอีก หากวันนี้ไม่สามารถทำให้ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ไปลากตัวเมิ่งเชี่ยนโยวมา หลังจากว่าราชการแล้ว นางรู้ข่าวเข้า ไม่แน่ว่าอาจจะหนีไปได้ ถึงตอนนั้นจะไปจับตัวมาก็ยาก เขากัดฟันกรอด คำนับ พูดเสียงดังว่า “กระหม่อมขอใช้หัวเป็นประกัน หากองค์หญิงแห่งไม่ใช่ปิศาจ กระหม่อมก็จะลาออกจากจากตำแหน่ง และกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

รอประโยคนี้ของเฮ่อจางมานานแล้ว สีพระพักตร์ของฝ่าบาทไม่เปลี่ยนไป แต่ผ่อนคลายลงมาก กวาดพระเนตรไปยังทุกคน ตรัสว่า “ในเมื่อมหาเสนาบดีกล่าวเช่นนี้แล้ว ทุกท่านมีความคิดเห็นเช่นไรบ้าง”

 

 

ทุกคนต่างรู้จักสังเกตสีพระพักตร์ เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทผ่อนคลายลง ทุกคนรับรู้ได้ มีคนเห็นด้วยทันที “กระหม่อมเห็นว่าวิธีของท่านมหาเสนาบดีใช้ได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เมื่อมีคนหนึ่งเห็นด้วย คนอื่นๆ ก็คล้อยตามมา พลังนี้กดความโกรธของอ๋องฉีลงไป ฝ่าบาทตรัสเรียกเขา ในน้ำเสียงแฝงด้วยความเหนื่อยหน่ายและรู้สึกผิด เพื่อจะบอกว่าแม้พระองค์จะเป็นฮ่องเต้ แต่เรื่องนี้พระองค์ก็ไม่สามารถตัดสินเองได้

 

 

อ๋องฉีนอกจากจะรู้สึกตกใจแล้ว บัดนี้สงบลงมาก กล่าวทูลว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อมหาเสนาบดีมั่นใจเช่นนี้ ยอมเอาตำแหน่งมาเสี่ยง กระหม่อมก็ไม่มีข้อโต้แย้งใด มีเพียงคำขอเดียวเท่านั้น”

 

 

“กระหม่อมขอร้องให้ทำพิธีพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเมิ่งเชี่ยนโยวในอีกสามวันพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ไม่ได้” เฮ่อจางปฎิเสธเสียงแข็ง “เวลาสามวันนานเกินไป หากนางหาโอกาสหนีไปจะทำเช่นไร”

 

 

ท่านอ๋องมองเขาอย่างไม่ใส่ใจ กล่าวว่า “ข้าจะขอใช้หัวเป็นประกันว่านางจะไม่หนี เป็นอย่างไร”

 

 

 

 

 

 

 

[1] ซื่อจื่อเฟย พระชายาเอกของซื่อจื่อ