ตอนที่ 13 เตรียมการ โดย Ink Stone_Fantasy
เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงออกคำสั่ง แน่นอนว่าลูกๆ อย่างตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาย่อมมิกล้ายืดยาด พวกเขารีบเร่งมาก่อนทันที สองพี่น้องออกจะอึดอัดใจอยู่บ้าง ที่แท้แล้วเรียกตัวพวกเขามาอย่างรีบร้อนเช่นนี้ด้วยเรื่องอันใดกัน รอจนได้พบตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว พวกเขาทั้งสองก็ยิ่งอึดอัดใจเข้าไปใหญ่
เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่พูดกับพวกเขาสองพี่น้องอย่างเรียบง่ายเพียงไม่กี่ประโยคแล้วกำชับบางอย่าง แล้วก็ให้พวกเขาสองคนถอยกลับไปแล้ว
“ข้ายังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องพูดคุยกับท่านแม่ของพวกเจ้า ถอยออกไปกันก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางมองบุตรธิดาของตน
“ขอรับท่านพ่อ เจ้าค่ะท่านพ่อ” ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยายังคงรับคำอย่างเชื่อฟังแล้วถอยจากไปทันที เพราะถึงอย่างไรตลอดคืนวันอันยาวนาน อานุภาพของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้ซึมลึกเข้าไปในหัวใจของพวกเขาแล้ว
“เสวี่ยอิง วันนี้ท่านทำตัวแปลกนัก อวี้เอ๋อร์ก็เก็บตัวอยู่ ท่านยังให้เรียกตัวพวกเขามาโดยเร็วที่สุด เพียงแค่พูดกำชับไม่กี่ประโยคก็ให้พวกเขาจากไปแล้วอย่างนั้นหรือ” อวี๋จิ้งชิวงุนงงสงสัย
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “เวลาของข้าจำกัดมากน่ะ”
“เวลาจำกัดหรือ” อวี๋จิ้งชิวยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่
“จิ้งชิว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “นับตั้งแต่ข้ากับเจ้าพบกันครั้งแรกที่เมืองชิงเหอ ก็ได้ประสบพบเจออุปสรรคมากมาย บัดนี้ก็ได้บำเพ็ญมาจนถึงระดับขั้นเช่นนี้ ได้เห็นทิวทัศน์จำนวนนับไม่ถ้วน ก็นับว่าไม่มีอะไรต้องเสียดายแล้ว”
“ไยจู่ๆ จึงพูดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นมาเล่า” อวี๋จิ้งชิวพูดยิ้มๆ
“อีกไม่นานวิญญาณของข้าก็จะกระจัดพลัดพรายแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด
อวี๋จิ้งชิวสะดุ้ง “จะเป็น จะเป็นไปได้อย่างไรกัน…” นางมองดูสามีของตน ถึงอย่างไรพวกเขาก็ประสบอะไรมามากและบำเพ็ญมานานเกินไปแล้ว จิตใจจึงไม่ธรรมดา แม้อวี๋จิ้งชิวจะรู้สึกมึนงง ความคิดยุ่งเหยิง แต่ก็ยังคงข่มความตื่นตระหนกพลางมองดูสามีของตน สามีตนยิ้มอย่างสงบ แต่อวี๋จิ้งชิวกลับมองออกว่า นี่มิใช่เรื่องโกหก
“ร่างจริงของข้าตกอยู่ในเงื้อมมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด “ข้าจะทำให้วิญญาณกระจัดพลัดพรายด้วยตนเอง มิเช่นนั้นแล้วจะขออยู่ก็ไม่ได้ จะขอตายก็ไม่ดีแล้ว”
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์หรือ” อวี๋จิ้งชิวสะท้านไปทั้งวิญญาณ์
นั่นคือสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในอากาศอันสับสนอลหม่าน! เทพจักรวาลหลายคนที่ล่วงลับไป ล้วนสิ้นใจด้วยน้ำมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าด้วยความแข็งแกร่งของเขา เพียงมองปราดเดียวก็สามารถสังหารขั้นอลวนได้แล้ว
แม้สามีตนจะยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน บัดนี้สถานะสูงส่งนัก บรรดาเทพจักรวาลก็พูดคุยและปฏิบัติต่อเขาอย่างเท่าเทียม
แต่ตกอยู่ในเงื้อมมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์…
“เหตุใดเขาจึงลงมือกับท่านได้เล่า เขาคือจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นะ” อวี๋จิ้งชิวร้อนรน
“เกี่ยวข้องกับเรื่องยุ่งยากบางอย่างน่ะ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะพูดเรื่องเหล่านี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า เมื่อพลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีกำไลเก็บวัตถุวงหนึ่งปรากฏขึ้น ภายในมีวัตถุจำนวนหนึ่งซึ่งเขาเพิ่งจะหลอมแปรขึ้นมาหยกๆ วางอยู่ เช่นภาพที่หนึ่งของเคล็ดวิชาสืบทอดสี่ภาพวาดของจักรพรรดิเก้าเมฆา! เนื่องจากบัดนี้เขาเพิ่งฝึกสำเร็จแค่ภาพที่หนึ่งเท่านั้น จึงทำได้เพียงบันทึกภาพที่หนึ่งเอาไว้ อีกสามภาพที่เหลือเขาล้วนบันทึกเอาไว้ไม่ได้
และยังมีศาสตร์ลับโลกเทียมซึ่งตนเป็นผู้คิดค้นขึ้น
อย่างศาสตร์ลับเหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูล ดังนั้นเพียงชั่วอึดใจเดียวก็สามารถบันทึกเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว น่าเสียดายที่ร่างจริงของตนตกอยู่ในเงื้อมมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ สมบัติล้ำค่าจึงไปอยู่กับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เสียแล้ว เคราะห์ดีที่ตนยังมีศิลาปฐมโลกาอยู่กับท่านบรรพชนเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ตนก็จะทิ้งเครื่องหมายมิติของ ‘รังระดับเกราะทอง’ อีกสามแห่งที่ค้นพบเอาไว้ให้บรรดาเทพจักรวาลด้วย
เชื่อว่าพวกเขาคงจะปฏิบัติต่อบุตรภรรยาของตนเป็นอย่างดี
“เมื่อร่างแปรร่างนี้ของข้าสลายไป เจ้าก็สามารถมอบกำไลเก็บวัตถุวงนี้ให้พวกท่านบรรพชนได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ “ข้าได้ลงสิ่งกีดขวางเอาไว้ข้างบน ขั้นอลวนก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำลายได้ เจ้าก็ไม่ต้องดูหรอกนะ” จิ้งชิวดูแล้ว ก็มีแต่จะทำร้ายจิ้งชิวเท่านั้น
อวี๋จิ้งชิวรับไป
“ที่แท้แล้วเกิดอะไรขึ้น ไยจึงเป็นเช่นนี้ไปได้” อวี๋จิ้งชิวกล่าว
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจ้าวภูเขาฉื้อเหมย” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้ปิดบังภรรยาของตนแต่อย่างใด เขาถ่ายเสียงเล่าทุกสิ่งที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง “เรื่องนี้เจ้าอย่าได้บอกอวี้เอ๋อร์และชิงเหยาเป็นอันขาด หากบอกพวกเขาแล้ว จะกลับกลายเป็นการทำร้ายพวกเขา จ้าวภูเขาฉื้อเหมยมีเคล็ดร่างแยก ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย”
อวี๋จิ้งชิวฟังแล้วก็เกิดความชิงชังเต็มอก
จ้าวภูเขาฉื้อเหมย จอมเทพศักดิ์สิทธิ์…
น่าเสียดาย ที่พวกเขาล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มิอาจรับมือได้ทั้งสิ้น
“ข้ารู้ ข้าไม่บอกอวี้เอ๋อร์กับชิงเหยาหรอก” อวี๋จิ้งชิวพยักหน้า
“ยังมีอีก แม้ข้าจะวิญญาณกระจัดพลัดพรายไปแล้ว แต่ก็มิได้สิ้นใจไปจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูดต่อไป เขารู้ดีว่ามีวิธีการบางอย่างที่สามารถสอดส่องดูภาพทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นได้ ดังนั้นความลับที่ตนจะกลับชาติไปจุตินั้น ตนก็มิได้คิดจะเผยแพร่ออกไปภายนอก แม้แต่เทพจักรวาลก็ไม่จำเป็นต้องบอก เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ช่วยอะไรตนไม่ได้อยู่ดี
“มิได้สิ้นใจไปจริงๆหรือ” อวี๋จิ้งชิวมองดูสามี นัยน์ตาฉายแววรอคอย
“ข้าได้สมบัติลับวิเศษมาชิ้นหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด “สมบัติลับวิเศษนั้นชื่อว่าป้ายคำสั่งจิตโลกา เมื่ออาศัยมัน ก็จะกลับชาติเข้าไปจุติยังโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งซึ่งเทียบเท่ากับอากาศอันสับสนอลหม่าน วางใจเถิด ในภายหน้าข้าต้องกลับมาจากโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนั่นอีกอย่างแน่นอน ทว่าอาจจะใช้เวลาค่อนข้างยาวนานหน่อย เรื่องนี้เป็นเรื่องลับเฉพาะ ภายหน้าหากจำเป็น เจ้าสามารถบอกท่านบรรพชนได้ ทว่าตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดหรอก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเชื่อใจบรรพชนเทียนอวี๋มาก
กู่ฉีอาจารย์ตนก็เชื่อใจเขา ก่อนสิ้นใจก็ได้ส่งมอบของให้บรรพชนเทียนอวี๋
“อื้ม” อวี๋จิ้งชิวก็ถ่ายเสียงรับคำ “วางใจเถิด ข้าจะไม่บอกอวี้เอ๋อร์และชิงเหยาง่ายๆ หากบอกแล้วก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีต่อพวกเขา อ้อ แล้วท่านมิได้หลอกลวงข้าใช่หรือไม่”
“ฮ่าฮ่า เจ้ากับข้ามองความเป็นความตายทะลุปรุโปร่งมาตั้งนานแล้ว ไยต้องหลอกลวงด้วยเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด
อวี๋จิ้งชิวพยักหน้าตอบกลับว่า “เสวี่ยอิง สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือมิอาจแก้แค้นแทนท่านได้”
“เรื่องพวกนี้รอให้ข้ากลับมาแก้แค้นเองเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพลางหัวเราะ
……
ณ โลกทิพย์โบราณ
บนเตียงศิลาดำอันส่องประกายภายในโถงตำหนักนั้น จอมเทพศักดิ์สิทธิ์กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่พลางมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่เบื้องล่างด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง “เจ้าผลักดันขึ้นมาเองอย่างนั้นหรือ”
“ใช่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งดื่มสุราชั้นเลิศอยู่ตรงนั้นพยักหน้า “คิดว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะต้องรู้แน่ว่า ข้าเชี่ยวชาญทางด้านเขตลวงเป็นอย่างยิ่ง ข้าสนใจทางสายของประมุขหอหมื่นโลกาและจ้าวภูเขาฉื้อเหมยมาโดยตลอด! แค่ขั้นอลวนคนหนึ่งอย่างจ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็สามารถมีร่างแยกได้ นอกจากนี้จะสะกดรอยอย่างไร ก็หาร่องรอยของร่างแยกไม่พบ ว่ากันว่าแม้แต่ท่าน จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมิอาจสังหารเขาได้อย่างแท้จริง”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า
“ดังนั้นข้าจึงจับตามองศิษย์ของพวกเขา สำแดงเขตลวงจนได้วิธีการบำเพ็ญมาจากศิษย์ของพวกเขาอย่างเงียบเชียบ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ข้าเก็บตัวบำเพ็ญแล้วผลักดันมันไป คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ข้ารู้แจ้งสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกานี้เหมือนจะแปลกพิสดารมาก แต่กลับมีเงื่อนไขของระดับขั้นการบำเพ็ญที่ไม่สูงนัก”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ลอบตกตะลึง เขาก็รู้ว่ามีเงื่อนไขของระดับขั้นไม่สูงนัก มิเช่นนั้นขั้นอลวนอย่างจ้าวภูเขาฉื้อเหมยจะสามารถสำแดงออกมาได้อย่างไร แม้แต่ร่างแปรก็ยังสามารถสำแดงออกมาได้ เคล็ดร่างแยกน่าจะมีเงื่อนไขของระดับขั้นที่ไม่สูงนัก
แต่ว่าเส้นทางการบำเพ็ญล้วนต้องมีการบุกเบิก หากมิได้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทาน ก็ยากนักที่จะบุกเบิกเส้นทางที่น่าเหลือเชื่อระดับนั้นขึ้นมาได้
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ยินเรื่องนี้แล้วก็ยอมรับว่า หากตงป๋อเสวี่ยอิงผลักดันให้เกิดศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาขึ้นมาเองจริงๆ ความสามารถในการรับรู้ก็ร้ายกาจมากอย่างแท้จริง! ทว่าเมื่อคิดๆ ดูแล้ว ความเร็วในการบำเพ็ญของตงป๋อเสวี่ยอิงก่อนหน้านี้ก็เป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานคนหนึ่งจริงๆ หากปล่อยให้เขาเติบโตต่อไป ไม่แน่ว่าในภายหน้าอาจจะเป็นจอมกระบี่อีกคนก็ได้
“ข้าจะไม่ปิดบังจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็แค่ผลักดันให้เกิดศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาขึ้นมาเท่านั้น และพอจะได้อะไรจากการกลายเป็นอากาศธาตุบ้าง แม้จะรับรู้เคล็ดร่างแยกเพียงครึ่งๆ กลางๆ แต่จะผลักดันออกมาก็ยังต้องใช้เวลาอีกนาน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เขาจะคุยโวอย่างไรก็คุยได้ เพราะเขาแค่ต้องการถ่วงเวลาออกไปเพื่อเตรียมการทุกสิ่งให้เรียบร้อยเท่านั้น
“เวลาใกล้เคียงแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ เขาผ่อนคลายมาก เพราะสามารถถ่วงเวลาได้อย่างง่ายดาย
………………………..