ตอนที่ 14 วิญญาณกระจัดพลัดพราย โดย Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงเกรงว่าอีกฝ่ายจะเก็บวิญญาณทันที เช่นนั้นเกรงว่าตนก็คงจะไม่มีเวลาเตรียมการทุกอย่างให้พร้อมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทิ้งศาสตร์ลับภาพที่หนึ่งของจักรพรรดิเก้าเมฆาหรือเครื่องหมายมิติของรังระดับเกราะทองและอื่นๆ เอาไว้ สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องใช้เวลา เคราะห์ดีที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นมีความอดทนเป็นอันมาก
“สุรานี้ของข้าเป็นเช่นไรบ้าง” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงศิลาดำถามยิ้มๆ
“สุราดี จนถึงบัดนี้ข้าเคยดื่มสุราชั้นเลิศไปมากมาย สุรานี้ของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กลับมีคุณสมบัติพอจะจัดเป็นอันดับหนึ่งได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เขามิได้กล่าวเท็จเลยแม้แต่น้อย
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยิ้ม “สุรานี้ เจ้าก็ต้องมาหาข้าเท่านั้นจึงจะได้ดื่ม มีแต่ยุคแรกสุดของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมเท่านั้นที่มี มันตกอยู่ในมือข้าทั้งหมด บัดนี้มีแต่ดื่มจอกกหนึ่งน้อยลงจอกหนึ่งเท่านั้น เอาล่ะ สุราก็ดื่มไปแล้ว ควรจะพูดได้แล้วกระมัง”
เขาได้วิธีการบำเพ็ญพื้นฐานของทางสายประมุขหอหมื่นโลกาและจ้าวภูเขาฉื้อเหมยมาตั้งนานแล้ว
แต่ก็มิอาจผลักดันศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้มาโดยตลอด เขามองวิธีการต่างๆ ทั้งร่างแยกและการกลายเป็นอากาศธาตุ รวมไปถึง ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ ที่เขารู้ว่าทางสายนั้นมีตาเป็นมัน! เขารู้สึกว่าหากคนรุ่นหลังอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงคนนี้มีพรสวรรค์ร้ายกาจจนสามารถผลักดันให้เกิดศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาขึ้นมาได้ เมื่อเขาศึกษาจนใช้เป็นแล้ว ด้วยระดับขั้นของเขาอาจจะอาศัยวิธีคิดจนสามารถผลักดันให้เกิดวิธีการต่างๆ อย่างร่างแยกขึ้นมาได้เช่นกัน
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ช่างมีความจริงใจโดยแท้” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ทว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องจำคำสัญญาของท่านเอาไว้ด้วย”
“วางใจเถิด ชีวิตของเจ้ายังไม่ถึงกับทำให้ข้าตระบัดสัตย์ได้หรอก ข้าจะไม่ใช่แค่ปล่อยให้เจ้าจากไป แต่ยังจะมอบสมบัติลับที่ดีกว่าที่เจ้ามีตั้งมากมายให้อีกด้วย” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยิ้ม “สำหรับเทพจักรวาลคนอื่นแล้ว สมบัติลับเหล่านี้อาจจะสำคัญมาก แต่สำหรับข้าแล้ว ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย”
“แน่นอนว่าข้าเชื่อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
ขณะเดียวกัน ท่ามกลางวิญญาณในกาย
พลังงานสีแดงชาดระลอกหนึ่งที่อยู่ภายในวิญญาณนั้นแปรมาจากป้ายคำสั่งจิตโลกา มันลึกลับยากเกินคาดเดา มิอาจขับไล่ออกไปได้ เพียงแค่ลูกไม้เล็กน้อยที่ทิ้งเอาไว้ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงอับจนหนทางได้แล้ว จะเห็นได้ว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับที่มีนามว่า ‘หยวน’ ผู้นั้นมีพลังสูงส่งลึกล้ำเพียงใด
“กระตุ้นเถิด” ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกซับซ้อน
เขาบำเพ็ญมาเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพียงล้านล้านกว่าปี ก็เข้าถึงกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้าได้ถึงสองชนิดแล้ว หากทำได้ เขาก็จะไม่เลือกเส้นทางกลับชาติไปจุติเด็ดขาด
ทางสายนี้…
ทางข้างหน้ายากทำนาย แม้เมื่ออยู่ต่อหน้าภรรยาจะกล่าวว่าตนจะต้องกลับมาได้อย่างแน่นอน แต่ ‘ป้ายคำสั่งจิตโลกา’ จะมีอะไรซ่อนเร้นอยู่หรือไม่ ระหว่างการส่งถ่ายจากอากาศอันสับสนอลหม่านไปยังโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลอีกแห่งหนึ่งจะเกิดปัญหาขึ้นหรือไม่ สถานที่ที่เรียกว่า ‘ดินแดนจิตโลกา’ นั้นจะเป็นอย่างไร ตนก็ไม่รู้เลยสักนิด หากป้ายคำสั่งจิตโลกานั้นหลอกลวง ตนก็จะถูกส่งไปอยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายตรงข้าม
แต่ตอนนี้ไม่มีทางเลือกแล้ว!
เช่นตกอยู่ในเงื้อมมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ นี่ก็เป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว
“จิ้งชิว ข้าจะต้องกลับมาแน่ อวี้เอ๋อร์และชิงเหยา ไม่รู้ว่าตอนที่ข้ากลับมา พวกเจ้าจะกลายเป็นเช่นไรไปแล้ว”
“จ้าวภูเขาฉื้อเหมย ประมุขหอหมื่นโลกา ครั้งนี้เป็นพวกเจ้าที่ลอบคิดบัญชี”
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์…ข้ายังมิได้แก้แค้นแทนท่านอาจารย์ข้าเลย!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเบาๆ
อันที่จริงเขายังมีทางรอดเฮือกสุดท้ายอีกสายหนึ่ง นั่นก็คือถ่ายทอดศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์จริงๆ! เขาก็เชื่อว่าผู้ที่มีสถานะอย่างจอมเทพศักดิ์สิทธิ์คงจะปล่อยตนไปและมอบสมบัติล้ำค่าให้จริงๆ น่าเสียดาย ทางสายนี้ตนไม่มีทางยอมเลือกอยู่แล้ว
“วิ้ง”
เพียงชั่วความคิดเดียว
แม้จะมิอาจขับไล่พลังงานสีแดงชาดนั้นออกไปได้ แต่การกระตุ้นกลับใช้เวลาเพียงชั่วความคิดเดียว มันยอมรับตงป๋อเสวี่ยอิงและแทรกซึมเข้าไปอยู่ในวิญญาณตงป๋อเสวี่ยอิง ก็เพื่อ ‘กระตุ้น’ ขึ้นมาในชั่วขณะนี้นั่นเอง
“ตู้มมมม…”
พลังงานสีแดงชาดห่อหุ้มวิญญาณแท้อันบริสุทธิ์เอาไว้ ทันใดนั้นแสงสีแดงพลันปะทุขึ้น วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงที่แปรเป็นรูปร่างมนุษย์สลลายหายไปกลายเป็นความว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิงราวกับเศษทรายแก้วแตกออกอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนพลังงานสีแดงชาดที่มีอยู่เดิมก็อันตรธานไปเช่นเดียวกัน
……
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั่งอยู่บนเตียงศิลาดำอย่างรอคอย ก่อนหน้านี้เขายังกังวลว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะยอมตายดีกว่าพูดออกมา ทว่าดูแล้วท่าทีก็ยังไม่เลวนัก เขายังปิดผนึกวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างสิ้นเชิง จะฆ่าตัวตายก็ฆ่าไม่ได้ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยังคงรอคอยให้ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายทอดศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาให้เขาด้วยความมั่นใจในตนเองอย่างเต็มเปี่ยม
“เอ๊ะ” สีหน้าของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย ใบหน้าที่นุ่มนวลอยู่ตลอดเวลากลับเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
เขาผนึกพละกำลังของวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิง รู้สึกว่าภายในวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันมีแสงสีแดงระลอกหนึ่งปะทุออกมา นั่นเป็นพละกำลังอันแปลกประหลาดระลอกหนึ่ง จากนั้นวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สลายไปอย่างสิ้นเชิง
วิญญาณกระจัดพลัดพรายไปอย่างเต็มที่ ไม่มีอะไรหลงเหลือเลยแม้แต่น้อย
ส่วนกายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งดื่มสุราอยู่ตรงนั้นยังคงมีรอยยิ้ม ในมือยังจับจอกสุราอยู่ แต่กลิ่นอายของวิญญาณกับสูญสลายไปอย่างสิ้นเชิง
“เป็นไปได้อย่างไรกัน เขาสิ้นใจไปได้อย่างไรกัน” ในใจของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สั่นสะท้าน ไม่อยากจะเชื่อ
ภายใต้การปิดผนึกด้วยน้ำมือของตนเอง
ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถปลิดชีพตนเองสำเร็จได้ด้วยหรือนี่
ที่แท้เขาวางแผนเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว หากตงป๋อเสวี่ยอิงไม่พูด เขาก็จะใช้การลงโทษต่างๆ มาทรมานให้เขาจะอยู่ก็ไม่ได้ จะตายก็ไม่เชิง หากการลงโทษบีบบังคับมิได้ สุดท้ายก็ใช้วิธีที่ทึ่มทื่อที่สุด…ค้นวิญญาณ! การค้นวิญญาณจะต้องค้นได้เพียงครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น มิอาจได้ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาอันสมบูรณ์แบบมาได้ แต่ก็ดีกว่ามิได้อะไรเลย
“วิญญาณกระจัดพลัดพรายหรือ เขา เขาทำได้อย่างไรกัน หรือว่าเขามีเคล็ดลับวิญญาณพิเศษอะไรหรือไม่”ในใจของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งร้อนรนและโมโห เห็นอยู่กับตาว่ากำลังจะได้ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกามาไว้ในมือก็กลับกลายเป็นไม่ได้ไปเช่นนี้เอง! อีกทั้งก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังจงใจรับคำตน และยังพูดคุยเพื่อขอสุราชั้นเลิศจากเขา การกลั่นแกล้งเช่นนี้ก็ทำให้เขาโมโหมากเช่นกัน
“ใช่แล้ว เขาคือผู้บำเพ็ญที่เชี่ยวชาญด้านเขตลวงที่สุดในตอนนี้ ในฐานะผู้แกร่งกล้าที่สุดทางด้านเขตลวง ก็คงจะพอมีเคล็ดลับพิเศษด้านวิญญาณอยู่บ้าง แม้จะถูกข้าผนึกก็สามารถปลิดชีพตนเองได้” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทำได้เพียงคาดเดาไปตามเรื่องเท่านั้น
เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยเห็นป้ายคำสั่งจิตโลกากับตาตนเองมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกระตุ้นป้ายคำสั่งจิตโลกาเลย
เขายังคิดว่าแสงสีแดงระลอกนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการสำแดงเคล็ดลับเสียอีก
“นี่มัน…” บรรดาบ่าวรับใช้และประมุขนรกภูมิที่อยู่ในโถงตำหนักต่างก็รู้สึกตกใจ พวกเขาล้วนมองออกว่ากายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นเพียงเปลือกอันว่างเปล่าเท่านั้น ปราศจากวิญญาณอีกต่อไป
ขณะนี้บรรยากาศภายในโถงตำหนักยังคงอึดอัด พวกเขาก็มิกล้าเปล่งเสียง
“ตู้ม”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์โบกมือคราหนึ่ง
อสนีบาตสีเทาสายหนึ่งพลันฟาดลงมาแล้วกระทบเข้ากับกายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิง เมื่อกระทบก็พลันระเบิดออกกลายเป็นเถ้าธุลีไป ทิ้งไว้เพียงสมบัติลับบางอย่างเช่นสร้อยข้อมือไข่มุกสิบสองเม็ดเท่านั้น
“เหตุใดผู้บำเพ็ญพวกนี้แต่ละคนถึงได้โง่งมเช่นนี้ สู้จนตัวตายเพื่อขัดขวางข้า รอให้ข้าปกครองอากาศอันสับสนอลหม่านให้ได้เสียก่อน ถึงตอนนั้นจะต้องเรียกเขากลับมาจากอากาศอันสับสนอลหม่านอีกแน่นอน ให้เขาตกอยู่ท่ามกลางการลงทัณฑ์มิอาจหลุดพ้นได้ไปตลอดกาล” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์พูดเสียงเย็นชา
……
บนเศษหินที่ล่องลอยอยู่นอกโลกทิพย์โบราณ ร่างแปรร่างหนึ่งของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยอยู่ตรงนี้ เขาอาศัยรูทรงกลมหมอกดำส่องสำรวจโลกทิพย์โบราณอยู่ตลอดเวลา! ศาสตร์การสอดส่องระดับนี้ ต่อให้เป็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็มิอาจสัมผัสรับรู้ได้
จ้าวภูเขาฉื้อเหมยสอดส่องภายในตำหนักแห่งนั้นของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ตลอด
“ก้มศีรษะยอมแพ้หรือนี่ จะเป็นฝ่ายมอบศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาออกไปเองหรือนี่ สมควรตาย!” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยมองตงป๋อเสวี่ยอิงก้มศีรษะแล้วก็อดโมโหขึ้นมามิได้ “เป็นก้างขวางคอที่ต่ำช้านัก”
ทว่าเมื่อมองไปมองมา
เขาก็ตื่นตะลึงเหลือแสน
“ปลิดชีพตนเองไปแล้ว เขาสามารถปลิดชีพตนเองได้สำเร็จด้วยหรือนี่ ฮ่าฮ่าฮ่า ปลิดชีพตนเองได้ดี ปลิดชีพตนเองได้ดีนัก แม้จะมิได้สิ้นใจเพราะได้รับการลงโทษและค้นวิญญาณก็ตาม! บัดนี้ปลิดชีพตนเองก็นับว่าดูถูกเขา แต่อย่างน้อยก็นับว่าตายจากไปแล้ว” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยอดเผยรอยยิ้มออกมามิได้ จากนั้นร่างแปรร่างนี้ของเขาก็อันตรธานไปอย่างไร้สุ้มเสียง ได้เห็นร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงตายจากไป แม้แต่กายหยาบก็ยังถูกโจมตีเสียจนกระจัดกระจายหายไปเป็นความว่างเปล่าเขาก็พึงพอใจแล้ว
………………………………