ตอนที่ 15 การตายของตงป๋อเสวี่ยอิง โดย Ink Stone_Fantasy
ณ ทางเดินโลกาพิศวง
ภายในมิติอันเรืองรองแห่งหนึ่ง มิติหลากสีไหลเวียนราวกับสายรุ้ง ร่างแปรร่างหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงยินอยู่ตรงนี้พลางชื่นชมทิวทัศน์อันงดงาม “ช่างงดงามจริงๆ อยู่ในทางเดินโลกาพิศวงมาเป็นล้านล้านปีก็ยังคงรู้สึกว่าอากาศช่างน่าหลงใหลถึงเพียงนี้” จากนั้นร่างแปรร่างนี้ก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย พลังงานกลับคืนสู่ฟ้าดิน ส่วนร่างแปรอีกร่างหนึ่งซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในมิติที่ปิดผนึกเอาไว้ก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดียวกัน
……
เมืองโลกเทียมเป็นหนึ่งในสิบสามเมืองอลวนแห่งวังทวีสูญ เนื่องจากเป็นเมืองที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสร้างขึ้นหลังจากสำเร็จเป็นขั้นอลวนแล้ว
ที่นี่มีการคุ้มกันอันเข้มงวด ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงยังหลับใหลอยู่ที่นี่ระยะยาวเพื่อคอยคุ้มครอง หากมีปัญหาเมื่อใด ร่างแปรของเขาก็จะตื่นขึ้นมาแล้วทำการต่อสู้
แต่ขณะนี้ ร่างแปรที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราก็สลายไปเสียงดังฟิ้วเช่นกัน กลายเป็นประกายเล็กจิ๋วกลับคืนสู่ฟ้าดิน
“ร่างแปรของประมุขตำหนักตงป๋อสลายไปแล้ว!”
“ร่างแปรของประมุขตำหนักตงป๋อสลายไปแล้ว!”
วิญญาณค่ายกลซึ่งรักษาค่ายกลของเมืองโลกเทียมอยู่ตระหนกตกใจ รีบรายงานเรื่องนี้ขึ้นไปทันที
ร่างแปรของท่านประมุขตำหนักผู้เกรียงไกรสลายไปอย่างไร้สาเหตุเป็นเรื่องใหญ่โตเพียงใด ข่าวนี้ถูกรายงานขึ้นไปยังท่านประมุขวังทั้งสองของวังทวีสูญ…บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่ทันที
“อะไรนะ” บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่เคลื่อนที่ในพริบตามายังคูหาของตงป๋อเสวี่ยอิงแทบจะพร้อมกัน และมาอยู่ข้างกายอวี๋จิ้งชิว
อวี๋จิ้งชิวกำลังยืนตะลึงค้างอยู่ตรงนั้นพลางมองไปยังเบื้องหน้า เมื่อครู่นี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังยืนยิ้มมองนางอยู่ตรงหน้า แล้วก็กลายเป็นประกายเล็กๆ มลายหายไป แม้อวี๋จิ้งชิวจะบำเพ็ญมานานแสนนาน ก็ยังคงรู้สึกรวดร้าวใจราวกับถูกฉีกทึ้งอย่างไรอย่างนั้น
วิญญาณกระจัดพลัดพราย…
ต่อให้เป็นเทพจักรวาล ก็ยังต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย สามีกล่าวว่ามีป้ายคำสั่งจิตโลกาสามารถกลับชาติไปจุติยังโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลอีกแห่งหนึ่งได้ นี่คือเรื่องจริงหรือไม่ เขาจะกลับมาหรือเปล่า ความคิดในใจของอวี๋จิ้งชิวสับสนวุ่นวายไปหมด น้ำตาไหลรินจากดวงตาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“อวี๋จิ้งชิว เสวี่ยอิงเล่า” บรรพชนเทียนอวี๋ถามขึ้น จอมกระบี่ซึ่งอยู่ข้างๆ ก็ร้อนรนมากเช่นเดียวกัน
“สิ้นใจแล้วเจ้าค่ะ” อวี๋จิ้งชิวกล่าว
“เกิดอะไรขึ้น ที่แท้แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่” บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่ไม่อยากจะเชื่อสักเท่าใดนัก อันที่จริงเมื่อร่างแปรซึ่งทำหน้าที่รักษาเมืองโลกเทียมสลายไป พวกเขาก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว แต่พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงเองนั้นก็แข็งแกร่งทั้งยังมีสมบัติลับคุ้มกาย จะสิ้นใจไปได้อย่างไรกัน นอกจากนี้ในสายตาของพวกเขาทั้งสอง ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นประมุขตำหนักที่มีความสามารถซ่อนอยู่มากที่สุดในวังทวีสูญ บำเพ็ญมาเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก็เข้าถึงกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้าถึงสองวิชาแล้ว พวกเขาต่างก็เชื่อว่า ในภายหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงจะต้องกลายเป็นเทพจักรวาลคนที่สามแห่งวังทวีสูญอย่างแน่นอน! พวกเขาถึงขั้นรอคอยด้วยความเบิกบานใจ
แต่ทว่าทุกสิ่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน! พวกเขาทั้งสองต่างก็รู้สึกทำอะไรไม่ได้อยู่บ้าง
“เสวี่ยอิงถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จับตัวไปทั้งเป็น หมายจะบีบบังคับเขา เสวี่ยอิงมีเคล็ดลับวิญญาณ จึงเลือกที่จะปลิดชีพตนเอง วิญญาณกระจัดพลัดพรายไป” อวี๋จิ้งชิวพลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีกำไลเก็บวัตถุวงนั้นปรากฏขึ้น นางยื่นกำไลให้บรรพชนเทียนอวี๋ “ท่านบรรพชน นี่คือสิ่งที่เสวี่ยอิงทิ้งไว้ให้ท่านเจ้าค่ะ”
บรรพชนเทียนอวี๋รับเอาไว้แล้วตรวจสอบดูอย่างรวดเร็ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้แนบข้อมูลชิ้นหนึ่งเอาไว้กับกำไล ขณะที่บรรพชนเทียนอวี๋ตรวจสอบดูนั้นก็ได้รับสารทันที ไม่นานนักเขาก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดทันที
“…ขอเพียงอาศัยสมบัติล้ำค่า ก็สามารถสัมผัสรับรู้เครื่องหมายมิติในระยะใกล้ได้แล้ว เมื่อสอดส่องรอบบริเวณเครื่องหมายมิติ จะสามารถพบรังระดับเกราะทองสามแห่งได้อย่างง่ายดาย ขอท่านบรรพชนโปรดอภัยที่เสวี่ยอิงเห็นแก่ตัวด้วย ก่อนหน้านี้ข้าเก็บความลับมาโดยตลอด ไม่ยอมถ่ายทอดศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกานี้สู่ภายนอก เพียงแต่เสวี่ยอิงมีการรับรู้ไม่เพียงพอ ศาสตร์ลับสี่ภาพวาดที่ผู้อาวุโสจักรพรรดิเก้าเมฆาถ่ายทอดให้ ข้าเข้าถึงได้เพียงภาพที่หนึ่งเท่านั้น อีกสามภาพศึกษายังไม่สำเร็จจึงมิอาจบันทึกเอาไว้เพื่อถ่ายทอดได้ ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ นี้ก็ไม่สามารถถ่ายทอดออกไปได้โดยง่ายเช่นเดียวกัน จอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยากได้เคล็ดลับนี้มาโดยตลอด…”
ทิ้งสารเอาไว้ ทำให้บรรพชนเทียนอวี๋เจ็บปวดใจ
เห็นแก่ตัวหรือ
วิถีมิอาจถ่ายทอดได้โดยง่าย ประมุขหอหมื่นโลกาและจ้าวภูเขาฉื้อเหมยมิได้เห็นความสำคัญของวิชาสืบทอดของพวกเขาและเก็บเป็นความลับ ไม่ถ่ายทอดออกไปเช่นเดียวกันหรอกหรือ ศาสตร์ลับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าถึงมีไม่มากนัก ต่อให้เขามีพลังที่ไร้ศัตรู ก็มิอาจถ่ายทอดออกไปง่ายๆ อยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ นั้นสำคัญเพียงใด หากถ่ายทออดสู่ภายนอก แม้จะเป็นเพียงสามคนห้าคน เกรงว่าคงจะเพิ่มโอกาสที่ข่าวจะรั่วไหลออกไปเป็นอันมาก เมื่อถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ล่วงรู้เข้า ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะต้องสิ้นชีพอย่างแน่นอน
ตงป๋อเสวี่ยอิงระมัดระวังถึงเพียงนั้น ท้ายที่สุดก็ยังคงต้องพลีชีพเพราะศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาอยู่ดี!
“ที่แท้แล้วครั้งก่อนที่เจ้าพบรังระดับเกราะทองแห่งที่สองมิใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เพราะเจ้าตามหาอยู่ตลอดเวลา บัดนี้จึงตรวจสอบทางเดินโลกาพิศวงไปแล้วกว่าครึ่ง ทั้งยังพบรังระดับเกราะทองถึงสามแห่งแล้วหรือนี่” บรรพชนเทียนอวี๋เจ็บปวดใจนัก
เขาชอบตงป๋อเสวี่ยอิงชนรุ่นหลังผู้นี้เป็นอันมาก
เนื่องจากผู้บำเพ็ญแบ่งออกเป็นหลายประเภท
อย่างจอมมารที่มาจากบ้านเกิดเดียวกับตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นก็ได้สร้างหุบเหวลึกดำมืดขึ้นมา และเชื่อว่าผู้ที่อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง หากมิใช่เพราะวังทวีสูญพันธนาการเอาไว้ ก็คงจะกลายเป็นมารร้ายที่เหี้ยมโหดกว่านี้อย่างแน่นอน! ส่วน ‘จอมกระบี่’ อีกคนนั้นแม้จะดีกว่าอยู่บ้าง แต่ก็เย่อหยิ่งรักสันโดษ เขาอยู่ร่วมสมัยกับจอมมาร ท้ายที่สุดก็แค่พันธนาการจอมมารไว้โดยมิได้สังหาร
จอมกระบี่มาถึงวังทวีสูญแล้วก็เก็บตัวอย่างยาวนาน เขาสนใจบำเพ็ญให้ตนเองแข็งแกร่งยิ่งขึ้นมากกว่า!
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นไม่เหมือนกัน ส่วนเขาและบรรพชนห้วงอากาศออกจะเหมือนกันอยู่บ้าง
นับตั้งแต่บรรลุ ระดับขั้น ‘จิตข้าคือจิตฟ้า’ เป็นต้นมา ตงป๋อเสวี่ยอิงเผชิญภารกิจก็ไม่เคยย่อท้อเลย
เขาสามารถบำเพ็ญได้อย่างเต็มที่ แต่เขากลับส่งร่างแปรไปตามหารังระดับเกราะทอง ส่งร่างแปรไปไล่ล่าฝูงมารผลาญทำลาย…เช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของการบำเพ็ญอย่างแน่นอน นอกจากนี้ผู้ที่ยินดีทำเรื่องจิปาถะเหล่านี้ก็มีไม่มากนัก ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะบำเพ็ญไปทั้งหมดนานสักเท่าใดกัน เวลาแทบทั้งหมดล้วนใช้ไปกับการทำเรื่องเหล่านี้
ถ้าหาก…
ถ้าหากตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้ทำสิ่งเหล่านี้ เขาก็คงไม่ไปสำแดงเขตลวงตามที่ต่างๆ ไม่ส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นไปตามที่ต่างๆ แล้วถูก ‘จ้าวภูเขาฉื้อเหมย’ พบเข้าหรอก! ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลของอากาศอันสับสนอลหม่าน ขณะที่จ้าวภูเขาฉื้อเหมยพบเข้า ไม่แน่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอาจจะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลไปนานแล้วก็เป็นได้!
“เจ้าดูสิ” บรรพชนเทียนอวี๋ส่งกำไลให้จอมกระบี่ที่อยู่ด้านข้าง หลังจากจอมกระบี่รับมาแล้วก็สำรวจดูทันที
******
ณ ที่อีกแห่งหนึ่ง
นี่คือภายในรอยแยกมิติอันลึกลับอย่างยิ่งแห่งหนึ่งกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน ที่นี่มียอดเขาอันแปลกพิสดารอยู่แห่งหนึ่ง กลางหุบเขามีลำแสงสีทองลอยไปลอยมา
ชายชราร่างผอมเล็กผู้หนึ่งยืนอยู่บนศิลาก้อนใหญ่ รอบศิลาก้อนใหญ่มีของเหลวสีเขียวอ่อนจำนวนนับไม่ถ้วนไหลเวียนอยู่ ศิลาก้อนใหญ่ผุดขึ้นมาเล็กน้อย
“ตามหามานานถึงเพียงนี้ ในที่สุดก็ก็พบยอดเขาบัลลังก์เทพเสียที ข้ายังคิดว่าการทำลายล้างครั้งใหญ่ของโลกกำเนิดครั้งก่อน ยอดเขาบัลลังก์เทพถูกทำลายไปแล้วเสียอีก” ชายชราร่างผอมเล็กกุมไม้เท้าเอาไว้ แม้เขาจะผอมจนมีแต่หนังหุ้มกระดูก แต่ยามนี้เมื่อยิ้มออกมา นัยน์ตาก็หรี่ลง “ยอดเขาบัลลังก์เทพเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุดซึ่งข้าเตรียมเอาไว้ให้เจ้าหนุ่มตงป๋อ เขาเชี่ยวชาญด้านเขตลวงเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมายังยอดเขาบัลลังก์เทพจะต้องได้อะไรไปมากมายอย่างแน่นอน!”
“ยอดเขาบัลลังก์เทพเตรียมพร้อมแล้ว ต่อไปก็คือ ‘แดนนิมิตดั้งเดิม’ ตอนนั้นข้าคิดค้นวิธีการบำเพ็ญในแดนนิมิตขึ้นที่นั่น ทว่าโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จะเข้าไปในแดนนิมิตดั้งเดิมก็ยากแล้ว ยังต้องคิดหาวิธี” ชายชราร่างผอมเล็กครุ่นคิด จากนั้นก็ยิ้มออกมา “เฮอะๆ เพื่อศิษย์คนนี้ ข้าเสียอะไรไปมากนัก เจ้าหนุ่มตงป๋อ ดูสิว่าภายหน้าเจ้าจะใช้คืนข้าอย่างไร”
ชายชราร่างผอมเล็กชื่นชมตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอันมาก
ตบอดคืนวันอันยาวนานก่อนหน้านี้ เขาลอบทดสอบตงป๋อเสวี่ยอิงมาหลายครั้ง แม้เขาจะรู้สึกว่าเจ้าหนุ่มคนนี้เมตตาผู้ที่อ่อนแอเหล่านั้นมากเกินไป ทำให้ตนเองลำบากเกินไปบ้าง แต่พูดโดยรวมแล้วเขาก็พึงพอใจเป็นอย่างมาก! เขาเคารพอาจารย์ บูชาวิถี มิใช่หมาป่าตาขาว ต้องรู้ไว้ว่าเขามิได้มีเงื่อนไขของการรับศิษย์สูงนัก อย่างบรรพชนโลกาถ่ายทอดเคล็ดวิชาออกไป ทำให้มีมารร้ายเผ่ากลืนกินจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาเขาก็มิได้ใส่ใจนัก
แน่นอนว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเมตตาผู้ที่อ่อนแอ เขาก็ไม่มีความเห็นอันใด เพียงแค่รู้สึกว่าผู้ที่กำลังจะรับเป็นศิษย์คนนี้ทำเช่นนี้ช่างลำบากเกินไปแล้ว
ตลอดคืนวันอันยาวนาน นี่คือศิษย์เพียงผู้เดียวที่มีผลสำเร็จอันใหญ่หลวงทางด้าน ‘เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด’ และเชี่ยวชาญด้านวิญญาณ และเขาก็จริงจังเป็นอันมาก อย่างตอนนั้นที่ชี้แนะพวกจักรพรรดิดำและบรรพชนโลกาก็สบายกว่ามากทีเดียว เพราะถึงอย่างไรระดับขั้นของเขาทางด้านกายหยาบก็สูงส่งยิ่งอยู่แล้ว ขณะเดียวกันเขาก็ตั้งความหวังเอาไว้กับศิษย์คนนี้มากนัก
“เอ๊ะ” สีหน้าของชายชราร่างผอมเล็กพลันเปลี่ยนแปรไป
…………………………………