ภาคที่ 4 บทที่ 182 ตายเพื่อชาติ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 182 ตายเพื่อชาติ

ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม !

การระเบิดของพลังงานซ้ำ ๆ ระเบิดขึ้นตามพื้นดิน ทิ้งรอยแตกเหมือนใยแมงมุมไว้เบื้องหลัง

พลังงานที่เหลืออยู่ของการระเบิดที่ทรงพลังบางส่วนเลื้อยผ่านพื้นดิน เกิดเป็นหุบเหวลึกน่าตกใจ

แม้ว่าต่อไปมันจะหายไปก็ตาม แต่ตอนนี้ร่องรอยก็แสดงให้เห็นว่าเป็นการโจมตีที่รุนแรงแค่ไหน

อสูรกายกําลังวิ่งอาละวาดซ้ายและขวาไปทั่ว พลางฉีกกระชากทุกอย่างที่ขวางด้วยฟันคมกริบ

ที่อยู่ห่างออกไปคือปราสาทสีดําขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นบนยอดเขา

นักรบเผ่าคนเถื่อนจำนวนมากอยู่ที่นี่ ต่อต้านและยับยั้งการจู่โจมของอสูรกายอย่างเหนียวแน่น

ไม่เหมือนคนเถื่อนที่กองทัพกำลังสวรรค์เคยเห็น เห็นได้ชัดว่าคนในที่นี้คือพวกชั้นยอด ทั้งหมดสวมเกราะพร้อม ไม่ใช่ขวานบิน แต่ใช้ธนูจากไม้เบิร์ชเหล็ก หัวธนูเหล็กยังอาบพิษ

บรรพชนอารามศักดิ์สิทธิ์ ลาดตระเวนบนกำแพงเมืองอย่างต่อเนื่อง ร้องเพลงแปลก ๆ ที่มีผลอย่างไม่น่าเชื่อ เสียงลอยไปทางใดก็ให้พลังพลุ่งพล่าน กำลังพุ่งสูง

คนเถื่อนผู้เชี่ยวชาญสวมชุดแดงหรือดำเองก็เดินลาดตระเวนตามกำแพงเมืองด้วย ทหารชุดดำกวัดแกว่งดาบและจดจ่อกับการฆ่าอสูรกายที่ปีนขึ้นมา ส่วนทหารชุดแดงก็ร่ายมนตร์หลากหลายอย่างต่อเนื่อง ปล่อยคลื่นพลังธาตุขนาดมหึมาใส่ศัตรู

ทหารคนเถื่อนชุดดำคือไร้วิญญาณ ส่วนชุดแดงคือผู้พิทักษ์ พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีจากอารามศักดิ์สิทธิ์

แต่เมื่อไร้วิญญาณที่มีหน้าที่จัดการพวกเผ่าวิญญาณเข้าร่วมรบ นั่นก็หมายความว่าศักยภาพของพวกเขาลดลงไปมาก

นักพยากรณ์กระดูกโยนกระดูกขึ้นไปในอากาศสองสามครั้ง จากนั้นแนบตัวลงต่ำแทบแนบพื้นเพื่อค้นหาความจริงอันลึกล้ำจากอักขระจารึกกระดูก

พลันร้องขึ้นว่า “มีการซุ่มโจมตีจากด้านหลัง !”

หัวหน้าคนเถื่อนเป่าแตรในมือทันที ทหารคนเถื่อนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าพุ่งมายังต้นเสียง

ในเวลาเดียวกันนั้น ฝูงมังกรบินพิษขนาดใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังปราสาท พวกมันพุ่งลงมาพลางพ่นพิษจำนวนมาก และเพราะการป้องกันของปราสาทถูกทําลายไปแล้ว พิษจึงเข้ากําแพงปราสาทได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ

ขณะที่ของเหลวพิษตกลงมาบนทหารคนเถื่อน มันก็เริ่มกัดกร่อนร่างกายอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเสียงร้องเจ็บปวดโหยหวน

แม้บรรพชนจะรู้ตัวไวและปลดปล่อยหมอกรักษาออกมา ทว่ามันก็เหมือนกับการพยายามดับไฟด้วยน้ำหนึ่งถ้วย …เหตุเพราะความเสียหายที่เกิดจากมังกรบินพิษได้ฆ่าทหารไปจำนวนมากแล้ว

“ปล่อยหน้าไม้ไฟฟ้าลั่น !” สิ้นเสียงคำรามลั่น สลักเกลียวหนาที่เจือสายฟ้าก็ถูกยิงจากหน้าไม้หนักขึ้นไปบนท้องฟ้า

หน้าไม้หนักยิงศรเข้าใส่มังกรพิษ พวกมันกรีดร้องแล้วร่วงลงจนเลือดนองพื้น

อย่างไรก็ตามมังกรบินพิษที่เหลือยังคงโจมตีต่อไป แม้จะร่วงจากฟ้า มันก็ยังคงพ่นของเหลวเป็นพิษ ทำลายหน้าไม้ทั้งหลาย

ยิงหน้าไม้ไม่กี่ครั้ง ก็เหลือมังกรบินอีกไม่มาก

“หน่วยจากอาราม โจมตี !”

ร่างใหญ่ลอยขึ้นฟ้า อักขระโทเทมบนร่างเปล่งประกายด้วยพลังต้นกำเนิด ล้วนเป็นนักรบอารามทั้งสิ้น

นักรบอารามผู้เก่งกล้า เหยียบย่ำมังกรบินพิษที่เหลือ ทำลายพวกมันสิ้นราวกับขอนไม้ผุ

กระนั้น ทหารคนเถื่อนก็ยังไร้ยินดี เพราะพวกเขารู้ว่ามันยังไม่จบ

กลองส่งเสียงมาในระยะไกล เช่นเดียวกับธงสงครามที่กระพือไหวไปตามลม เป็นธงสีเลือกขนาดใหญ่ ดูเหมือนกำลังบอกล่วงหน้าว่าจะมีการสังหารใกล้เข้ามาแล้ว

สัตว์อสูรพุ่งเข้ามาบ้าคลั่ง ดูคล้ายว่าพวกมันจะไม่หยุดพักจนกว่าจะสามารถครองป้อมได้

“พวกมันบ้าไปแล้วหรือ ?” หนึ่งในแม่ทัพเผ่าคนเถื่อนพึมพำ

“พวกมันบ้าไปแล้ว” น้ำเสียงชราพลันเอ่ย

ผู้พูดคือผู้บัญชาการคนเถื่อนร่างสูงนัก เขามีเคราและผมยาวสีขาว เป็นเครื่องยืนยันถึงความชราได้ดี

คนเถื่อนไม่ค่อยแก่ตาย พวกเขามักจะป่าเถื่อนและไร้การยับยั้ง และหากแก่ถึงอายุหนึ่งแล้ว ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะลดลง ทั้งยังมักจะถูกส่งไปโจมตีศัตรู ไม่เป็นสัตว์อสูร มนุษย์ ก็เป็นเผ่าวิญญาณ ด้วยวิธีนี้ จึงแลกชีวิตประชากรวัยชราเพื่อทรัพยากรเพิ่มเติมและลดการบริโภคลงได้ นี่เป็นหนึ่งในวิธีที่ที่คนเถื่อนใช้อยู่รอด

กระนั้น คนเถื่อนที่ยืนต่อหน้าพวกเขาก็นับว่าแก่อย่างแท้จริง

เขาอายุ 380 ปีแล้ว นับว่าอยู่นานมากในเผ่าคนเถื่อน

อย่างไรก็ตาม ชายชราที่ดูอ่อนแอนี้ยังคงมีอํานาจมาก นักรบเผ่าคนเถื่อนนับไม่ถ้วนเต็มใจที่จะตายเพื่อเขา

นี่เป็นเพราะเขาเป็นซ่าเค่อเอ่อร์แห่งเพลิง ลุงร่วมสายเลือดของอานู๋ปี่แห่งเพลิง เป็นหนึ่งในสามเทพสงครามแห่งชนเผ่าเพลิง และแม้ว่าเขาจะแก่แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้อ่อนแอเลย

เขามีอักขระโทเทมขั้นสุด ผ่านการเจิมน้ำมนต์หกครั้งในอารามพลังต้นกำเนิด

ที่จริงแล้วเขาเทียบเท่ากับมนุษย์ด่านมหาราชัน เขาแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญหน้ากับจักรพรรดิอสูรกายได้

ในเวลาเดียวกันเขาก็ถือเป็นหนึ่งในคนที่มีสติปัญญาอย่างหาได้ยากในคนเถื่อน

เขาเป็นเหมือน ตานปา แต่มีประสบการณ์การต่อสู้มากกว่า

ซ่าเค่อเอ่อร์ได้ผ่านการต่อสู้นับไม่ถ้วน ตั้งแต่การดวลกันตัวต่อตัวไปจนถึงการต่อสู้ชิงบัลลังก์ เขาพบเล่ห์พบกล พบอุบายต่อสู้มาแล้วมากมาย มีประสบการณ์เกือบตาย 3 ครั้ง และรอดมาได้แม้จะจวนตัวเพียงไร ประสบการณ์มากมายที่เขาสะสมนั้นมากพอจะเขียนชีวประวัติหลายเล่ม และด้วยเหตุนี้เขาจึงเป็นที่รู้จักในฐานะเกราะแห่งชนเผ่าเพลิง และเกราะแห่งอาณาจักรเหล็กเลือด

คนเถื่อนเชื่อว่าหากมีเขาอยู่ ชนเผ่าเพลิงจะไม่ตกจากตําแหน่งราชาแน่

กระนั้น เทพสงครามก็มีสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด เพราะสายตาของชายชราในตอนนี้ได้จ้องมองไปยังขบวนอสูรที่กําลังจะมาถึงเขม็ง !!

เพราะเขากําลังเผชิญหน้ากับจักรพรรดิอสูรกาย !

ตัวที่เก่งที่สุดในบรรดาอสูรกาย ทั้งแกร่งทั้งฉลาดล้ำ !

กระทั่งเทพสงครามยังเป็นกังวลเมื่อคิดว่าต้องรับมือ

“การทําอะไรแบบนี้มันไร้จุดหมาย ใจสีเลือดเอาชีวิตลูกน้องมาทิ้ง เขามีดินแดนมากไป มีกำลังโจมตีมากเกิน คงจะสู้กับหลายเผ่าในคราเดียว และหากยังรบเช่นนี้ต่อ ไม่นานก็คงพ่ายแพ้” หัวหน้าคนเถื่อนเอ่ย การสังเกตของเขาครั้งนี้แม่นยําผิดปกติ

ไม่เหมือนกับตานปา เทพสงครามนำทัพรบมานานแล้ว ไม่เพียงมีเขาที่ฉลาดมากความสามารถ แต่ลูกน้องสายตรงของเขาก็เช่นกัน หลายคนหัวไว แม้จะไม่ได้ฉลาดล้ำเลิศอะไร แต่อย่างน้อยก็ถือได้ว่าฉลาดกว่าปกติ

การวิเคราะห์ของหัวหน้าค่อนข้างตรงจุด

แรงของสัตว์อสูรเริ่มชะลอตัวลง การรุดหน้าบ้าคลั่งทําให้มุ่งหน้ามาเร็วอย่างเหลือเชื่อ แต่ก็บาดเจ็บล้มตายสูง

“แต่ป้อมสุดทิศทักษิณคงรั้งอยู่จนแรงมันหมดไม่ได้” หัวหน้าคนเถื่อนอีกคนเอ่ยเสียงเกรี้ยว

ป้อมสุดทิศทักษิณคือป้อมที่พวกเขากำลังป้อมกันอยู่

คนเถื่อน ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกขับไล่ไปยังพรมแดนทางเหนือในปัจจุบัน ได้สาบานว่าจะบุกลงใต้อีกครั้งในอนาคตเพื่อทวงคืนผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ ณ ที่นั้น

จากจุดนั้นเป็นต้นมา ปราสาทแห่งนี้ก็ได้ชื่อว่าป้อมสุดทิศทักษิณ

ป้อมสุดทิศทักษิณเป็นป้องที่สำคัญที่สุดที่แยกภาคเหนือและภาคใต้ออกจากกัน ไม่เพียงแต่มีประโยชน์ในการป้องกันขบวนสัตว์อสูรที่รุกคืบจากทางเหนือ แต่ยังป้องภัยจากพวกกบฏที่อาจเกิดของชนเผ่าต่าง ๆ ทางใต้ด้วย

แต่ตอนนี้มันกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่

“ใช่ เราจะปกป้องมันตลอดไปไม่ได้” เทพสงครามเฒ่าพึมพำ ทำเอาหัวหน้าคนเถื่อนทั้งหมดเสียวสันหลังวาบ

ขบวนสัตว์อสูรมุ่งหน้าเข้ามา

ไม่แน่ว่าหลังจากนี้กำลังมันอาจลดลงมาก แต่อย่างไรก็ยังสามารถตีป้อมนี้แตกได้

“ฝ่าบาท เช่นนั้นถอยเถอะ !” ผู้บัญชาการคนหนึ่งเอ่ย

แม้คนเถื่อนไม่เคยยอมแพ้ แต่ทหารทั้งหมดที่นี่อาจต้องตายหากไม่ยอมทิ้งป้อมไป

“ใช่ มีแต่ต้องถอย” ซ่าเค่อเอ่อร์ถอนใจ “ปาทัวพาคนอื่นแล้วจากไปเสีย”

“ข้าหรือ ?” ผู้บัญชาการนามปาทัวชะงักไป “ท่านเล่า ?”

“ข้าจะรั้งอยู่ที่นี่ ป้อมสุดทิศทักษิณกับข้ามีชะตาเดียวกัน” ซ่าเค่อเอ่อร์ตอบเสียงเรียบ

คำพูดเหล่านี้แทงทะลุหัวใจทุกคนเมื่อได้ยิน

“ฝ่าบาท !” ผู้บัญชาการทั้งหลายคนเถื่อนร้องขึ้น

“ฝ่าบาท อย่าผลีผลาม !” ปาทัวตะโกนในกระโดดไปข้างหน้า คว้าตัวซ่าเค่อเอ่อร์ไว้

ซ่าเค่อเอ่อร์หัวเราะ แต่สายตายังคงแน่วแน่และไม่ยอมแพ้ “ปล่อยข้าปาทัว เจ้าคิดจริงหรือว่าจะรั้งข้าไว้ได้ ?”

“……” ปาทัวจึงปล่อย

ซ่าเค่อเอ่อร์เอ่ย “เรากันป้อมสุดทิศทักษิณไม่ได้แล้ว ทหารปกป้องเมืองเกือบจะหมดกำลังแล้ว หากเราต้องการให้พวกเขาถอยก็ต้องมีเวลามากพอที่จะทำเช่นนั้น ข้าจะยืนหยัดต่อสู้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้”

หลังได้ยิน ผู้บัญชาการคนเถื่อนทั้งหลายจึงพากันคุกเข่าลง “พวกข้ายินดีรบอยู่แนวหน้า !”

ซ่าเค่อเอ่อร์โบกมือรำคาญ “พวกเจ้าเป็นอนาคตเผ่าคนเถื่อน ตายไปแล้วต่อไปจะทำอย่างไร ? ชนเผ่าเพลิงจะเหลืออะไร ? ข้าแก่แล้ว และอายุขัยของข้าก็มีจำกัด ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมทิ้งให้เสียเปล่า ? การสามารถตายในสนามรบได้นั้นถือเป็นความรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่นักรบคนเถื่อนจะมีได้ ข้าเป็นเทพสงครามชนเผ่าเพลิง เป็นผู้พิทักษ์ป้อมสุดทิศทักษิณ และข้าก็ยินดีที่จะตายเพื่อเผ่าของข้า อย่าพยายามห้ามข้าเรื่องนี้เลย”

“ฝ่าบาท !”

“ฝ่าบาท !”

“ฝ่าบาท !”

ผู้บัญชาการคนเถื่อนอดไม่ได้ที่จะร้องออกมา ทั้งหมดพยายามหาโอกาสอยู่เป็นแนวหน้าให้คนที่เหลือ

“พอ !” ซ่าเค่อเอ่อร์ตวาด “เจ้าคู่ควรและสามารถหยุดขบวนสัตว์อสูรได้หรือ ? มีใครตรงนี้แกร่งกว่าข้าอีกไหม ?”

ผู้บัญชาการทั้งหลายเงียบไป

“ถ้าไม่เช่นนั้นก็หุบปากและพาทุกคนออกไปจากที่นี่ ถ้าไม่อยากให้ข้าตายเปล่า ก็หนีไปเสีย ยิ่งเร็วยิ่งดี !”

พูดจบ ซ่าเค่อเอ่อร์ก็เหินร่างขึ้น พุ่งเข้าหาคลื่นอสูรที่ซัดเข้ามาในระยะไกล

“ฝ่าบาท !”

ทหารคนเถื่อนทั้งหมดร้องออกมาอย่างเศร้าโศก

เสียงแตรร้องไว้ทุกข์ดังขึ้น ทัพคนเถื่อนเริ่มถอยกลับเมื่อได้ยินเสียงนี้

ในเวลาเดียวกัน ทหารกลุ่มเล็ก ๆ ได้รุกคืบขณะที่คนอื่น ๆ ถอยกลับ พวกเขาพากันเดินหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวต้านกระแสน้ำ เป็นซ่าเค่อเอ่อร์และทหารส่วนตัวของเขานั่นเอง

ทัพคนเถื่อนสามพันคนเปิดประตูหน้าแล้วพุ่งออกมา

ในฐานะทหารส่วนตัวของเทพสงคราม ทหารคนเถื่อนกลุ่มนี้คือหัวกะทิในหมู่คนชั้นยอด แต่ละคนมีอักขระโทเทมระดับสูง กว่าร้อยเจิมน้ำมนต์มาแล้วคราหนึ่ง โดยปกติแล้วจะได้รับค่าจ้างที่ดีที่สุดและได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพอย่างสูงสุด ดังนั้นเมื่อเกิดสงคราม จึงไม่อาจเลี่ยงการต่อสู้ได้

ในการต่อสู้ครั้งก่อน ไม่มีใครบุกเข้าไป แต่ตอนนี้พวกเขามีหน้าที่ปกป้องทุกคนที่ถอยทัพแล้ว

แม้ว่าจะไม่มีใครรอดจากภารกิจนี้ แต่พวกเขาก็ไม่เสียใจ

เพราะพวกเขาคือทหารส่วนตัวของเทพสงคราม !

ทหารสามพันนายทะลุทะลวงเข้าไปในขบวนศัตรูเหมือนลูกธนูสามพันดอก เลือดกระเซ็นทั่ว บุกไปทางใด แรดหุ้มเหล็ก หมาป่าดำเดียวดาย แกะเลือดทมิฬ จระเข้ตีนโต และอสูรอื่น ๆ ต่างถูกนักรบเผ่าคนเถื่อนทั้งหมดสังหาร

ที่นำทัพด้านหน้าคือซ่าเค่อเอ่อร์แห่งเพลิง

เทพสงครามเฒ่าเหมือนเซียนในหมู่คน ไร้สัตว์อสูรใดในที่นี้ต่อกรได้

ฝูงอสูรร้องโหยหวน พุ่งใส่ซ่าเค่อเอ่อร์ เขาเหวี่ยงดาบในมือ ปล่อยเพลิงคลั่งกลืนสัตว์อสูรทั้งเป็นหลายตัว เหลือไว้เพียงซากฝุ่นเถ้า

“กรรร !” เทพสงครามเฒ่าคำราม

“กรรร !” ทหารทั้งสามพันแห่งเทพสงครามคำรามตอบ

เจ้าอสูรกายสามตัวพุ่งเข้ามา ซ่าเค่อเอ่อร์วิ่งเข้าสู้อย่างไม่เกรงกลัว

เปลวไฟลุกโชนขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับอาทิตย์แผดเผาลงพื้นดิน มีพลังทำลายล้างอย่างเหลือเชื่อ

นักรบเผ่าคนเถื่อนมีความกล้าหาญ น่าเกรงขาม และไม่ย่อท้อ

กระนั้น ในตอนที่พวกเขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ความเร็วของพวกเขาเริ่มช้าลง

กำลังลด บาดแผลเพิ่ม

ทหารคนเถื่อนคนหนึ่งในที่สุดก็ตกเป็นเหยื่อหมาป่าเขี้ยวดาบหลังใช้ขวานสังหารอสูรมา 17-18 ตัว ฟันคมกริบของมันก็ทะลวงเกราะเหล็กเข้าร่าง ฉีกเนื้อเป็นชิ้น

แต่ทหารอีกหนึ่งก็เข้ามาทุบหัวมันแยกเหมือนถั่ว ก่อนอสูรกายร่างใหญ่ผ่านมา เหยียบเขาจนร่างเละกับพื้น

นักรบเผ่าคนเถื่อนถูกกระชากลงจากอานด้วยอสูรกายทั้งหลาย ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยฟันที่แหลมคมและกรงเล็บ เนื้อและเลือดถูกกลืนกิน ไม่เหลือแม้แต่โครงกระดูกที่สมบูรณ์

นักรบคนเถื่อนคนแล้วคนเล่าตายลงเช่นนี้ แต่พวกเขายังคงพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ

พวกเขาเพียงเดินตามรอยเท้าเทพสงครามของพวกเขา ซ่าเค่อเอ่อร์แห่งเพลิงนั่นเอง

เปลวเพลิงอันแรงกล้าของเขาส่องสว่างบนท้องฟ้า ทั่วร่างซ่าเค่อเอ่อร์แห่งเพลิงปกคลุมไปด้วยไฟกระหน่ำ พุ่งออกไปอย่างดุดันยิ่ง

เขาจัดการเจ้าอสูรกาย 3 ตัวจนสิ้นใจ แต่เจ้าอสูรกายอีก 3 ก็เข้ามาแทน ทั้งยังมีราชันอสูรกายอีก

ซ่าเค่อเอ่อร์ยังตวัดดาบต่อ เลือดและเพลิงพุ่งไปตามทางที่เขาดำเนิน ดั่งดวงประทีปสว่างไสวท่ามกลางทะเลอสูร

เขาไม่รู้ว่าเขาเหวี่ยงดาบไปกี่ครั้งหรือเกินไปกี่ก้าว สังหารไปเท่าไหร่ ได้แผลเท่าไหร่เขาไม่รู้ รู้แต่เขาเริ่มจะเหนื่อยล้า ข้างกายไร้ทหารคู่ใจแล้ว

กองทหารของเขาตายไปหมดแล้ว

มีฝ่ายตรงข้ามมากเกินไป ไม่มีพวกมันตัวไหนโค่นเขาตัวต่อตัวได้ แต่เมื่อหลายตัวยอมตายเพื่อทำให้เขาบาดเจ็บทีละนิด กระทั่งผู้เชี่ยวชาญระดับสูงก็ยังไม่อาจต่อต้าน

การต่อสู้อย่างต่อเนื่องทำให้เขาเหนื่อยล้า มือก็หนักขึ้นเรื่อย

เจ้าอสูรกาย 17 ตัวตายด้วยน้ำมือเขา เช่นเดียวกับราชันอสูรกายอีก 3 ตัว

พวกมันจ้องมาที่เขา สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัว

เจ้าก็กลัวเป็นหรือ ?

รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นที่มุมปากเทพสงครามเฒ่า

จากนั้นเขาก็เห็นลำแสงที่ยิงขึ้นไปบนท้องฟ้าจากพระราชวังลอยฟ้าสีเลือด

ลำแสงอันเจิดจ้าพุ่งเข้าหาซ่าเค่อเอ่อร์

ปกติแล้ว ซ่าเค่อเอ่อร์คงปัดป้องมันได้อย่างมั่นใจ

แต่ตอนนี้เขาหมดเรี่ยวแรงในการต่อสู้ จึงไม่มีทางต้านทานได้

ดาบลุกโชติช่วงไปในอากาศ ปะทะกับลำแสง แต่เปลวเพลิงก็ปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว และลำแสงก็ทะลวงเข้าอกซ่าเค่อเอ่อร์

ซ่าเค่อเอ่อร์ตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยุดนิ่ง

ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็ระเบิดออก

เลือดและชิ้นเนื้อกระเด็นไปทุกหนทุกแห่ง ไข่มุกทรงกลมน่าประหลาดส่องประกายดั่งดารายังคงลอยอยู่กลางอากาศ อสูรกายนับไม่ถ้วนจ้องมองมุกประกายนิ่ง

มือสีดำปรากฏขึ้นจากที่ไหนและคว้าไข่มุกนั่นไว้

เสียงถอนหายใจเบาๆ ลอยมาในอากาศ “ในที่สุดก็ได้คืนมาจากหนึ่งในหกของสิ่งที่สูญเสียไป”

รุ่งอรุณแล้ว

ป้อมสุดทิศทักษิณแตกแล้ว เช่นเดียวกับเทพสงครามแห่งเผ่าคนเถื่อนนามซ่าเค่อเอ่อร์ ที่ได้ตายเพื่อดินแดนบ้านเกินของตน !!