ภาคที่ 4 บทที่ 181 อนาคต

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 181 อนาคต

“ซูเฉินกลับมาแล้วหรือ ?”

ภายในกระโจมกองทัพกำลังสวรรค์ ฉือไคฮวงมุ่นคิ้วมองรายงานในมือ “ค้นคว้าหาวิธีให้คนเถื่อนคุมพลังต้นกำเนิด ? คิดอะไรอยู่ ?”

“เขาอาจคิดแค่ว่า ‘เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนธรรมดา’ กระมัง” หลี่ฉงซานหัวเราะ “ศิษย์เจ้าคนนี้มีความคิดบ้าบิ่นนัก”

“ช่างเป็นความคิดที่ไร้สาระ !” ฉือไคฮวงสบถ “ไปช่วยให้คนเถื่อนคุมพลังต้นกำเนิดได้ ไปทำให้ศัตรูแกร่งขึ้นหรือ ? ความคิดอะไรกัน ?”

“อย่าบอกนะว่ามองไม่เห็นเจตนาของเขา” หลี่ฉงซานว่า “มองโดยรวม เผ่าทั้งห้าร่วมมือกันต่อต้านเผ่าสัตว์อสูร เช่นนั้นการเพิ่มกำลังให้คนเถื่อนก็เป็นประโยชน์ต่อเรา หากมองในมุมแคบ เขากำลังต่อสู้เพื่อหาโอกาสให้กองทัพกำลังสวรรค์มากกว่าเดิมนะ”

“เช่นนั้นมุมกลางเล่า ?”

“ก็จะเสียหายต่ออาณาจักรหลงซาง !” หลี่ฉงซานตอบทันควัน

ไม่ว่าจะมองว่าต่อกรกับสัตว์อสูรเช่นกัน หรือจากมุมมองของกองทัพกำลังสวรรค์ในตอนนี้ การทำการแลกเปลี่ยนกับคนเถื่อนเช่นนั้นนับว่าเหมาะสมแล้ว เพราะนำประโยชน์ใหญ่หลวงมาให้

แต่ในเมื่อภัยจากสัตว์อสูรยังไม่เกิด เผ่าพันธุ์ทั้งห้ายังสู้กันเองอยู่ แรงกดดันต่ออาณาจักรหลงซางจะเพิ่มสูง เพราะต้องต่อกรกับคนเถื่อนเอง

หรือก็คือ เผ่ามนุษย์และกองทัพกำลังสวรรค์อาจได้ประโยชน์ แต่อาณาจักรหลงซางจะได้รับผลเสีย

ฉือไคฮวงเอ่ย “เจ้าคิดว่าถ้าฝ่าบาทรู้เข้าจะว่ายังไง ?”

“ข้าไม่รู้หรอก รู้แค่ว่าหากไม่มีซูเฉิน กองทัพกำลังสวรรค์คงแตกไปแล้ว อีกทั้ง… ซูเฉินอาจคิดถึงเรื่องนี้ไว้แล้ว” หลี่ฉงซานว่าเสียงสงบ

เมื่อมีวิชาด่านกลั่นโลหิตและด่านทะลวงลมปราณแบบไร้สายเลือดกำเนิดขึ้น ทั้งยังมีโทเทมโลหิตสลาย ความแกร่งของเผ่ามนุษย์จึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เพราะมันยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นจึงเห็นไม่ชัดเจนนัก แต่เมื่อผ่านไปอย่างไรเผ่ามนุษย์จะต้องรุ่งเรืองขึ้นแน่

เช่นนี้แล้ว ผู้ที่จะได้ประโยชน์สูงสุดจากการที่เผ่ามนุษย์เจริญรุ่งเรืองย่อมเป็นคนที่อยู่บนจุดสูงสุด

เมื่อไม่มีภัยภายนอก การต่อสู้ภายในก็มักจะเริ่มต้นขึ้น

แต่ถ้าหากกำลังของคนเถื่อนกลับเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเวลาเช่นนั้นเล่า ?

แรงกดดันที่มีต่ออาณาจักรหลงซางจะลดลงหรือไม่ แล้วสถานการณ์จะออกมาเป็นอย่างไรต่อไป ?

กลับกัน หากคนเถื่อนแกร่งขึ้น ทว่าซูเฉินก็สามารถสร้างผลทางทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารได้สำเร็จขึ้นมา เช่นนั้นจะหมายความว่าอย่างไร……?

แม้หลี่ฉงซานจะรู้จักซูเฉินเพียงไม่กี่เดือน แต่ก็เข้าใจนิสัยใจคอดี ทุกก้าวที่ชายหนุ่มย่าง ล้วนคิดไว้ล่วงหน้าแล้วสามก้าวเสมอ ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าซูเฉินคงจะมีแผนสำรองไว้

หากหลี่ฉงซานเข้าใจซูเฉิน มีหรือที่ฉือไคฮวงจะไม่ ?

ได้ยินคำหลี่ฉงซานแล้ว ฉือไคฮวงชะงักไปเล็กน้อยแล้วถอนใจ “นี่แหละข้อเสียหนึ่งเดียวของศิษย์ข้า ความคิดลึกล้ำเกินไป พึ่งพาเล่ห์กลลวงหลอกจนเกินเหตุ”

“ในโลกแห่งความโกลาหลเช่นนี้ มีความคิดมากหลายก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่ หากไม่ได้ฉลาดล้ำเลิศ เช่นนั้นจะสามารถทำลายขีดจำกัดที่กดหัวคนนับสิบล้านไว้ได้หรือ ?” หลี่ฉงซานเอ่ยเสียงเบา

“อย่างน้อยเจ้าก็ยังรู้แล้วรู้สึกสบายใจได้” ฉือไคฮวงหัวเราะขื่น “หากเจ้าเด็กนั่นทำเช่นนี้ต่อไป กลับอาณาจักรหลงซางไปเราอาจจะเจอกับปัญหาใหญ่กว่านี้ก็เป็นได้”

หลี่ฉงซานตอบ “เจ้าคิดว่ากลับไปตอนนี้แล้วจะไม่เป็นปัญหาหรือไง ?”

ฉือไคฮวงอึ้งไป เขานิ่งแล้วครุ่นคิดไปชั่วครู่หนึ่ง

ผ่านไปนานจึงถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าต่างหากที่เป็นคนทำให้กองทัพกำลังสวรรค์ตกอยู่ในอันตราย”

เพราะอะไรกองทัพกำลังสวรรค์จึงได้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ?

มองจากผิวเผิน องค์รัชทายาทละโมบโลภมากเกิดควร ลองเสี่ยงครั้งใหญ่ แต่ฉือไคฮวงมั่นใจมากว่า องค์รัชทายาทคงไม่ทำผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงเช่นนั้นแน่ เว้นเสียแต่ว่าจะมีใครชักจูง

และสาเหตุก็เด่นชัดเมื่อลองคิดดูให้ดี

การกระทำของเขาส่งผลต่อผลประโยชน์ที่ใครบางคนได้รับ

ฉือไคฮวงเข้าใจหลักการข้อนี้ตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่ที่สถาบันมังกรซ่อนเร้น แต่ในตอนนั้นเขาคิดว่าเขาจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับมันเพียงลำพัง

…ถึงจะมีสายตากว้างไกลและฉลาดเพียงไหน ก็อาจมองข้ามบางสิ่งไปได้อยู่ดี

ภาระบางอย่างเขาก็ไม่อาจแบกรับเพียงคนเดียวได้

ทั้งสหายในกองทัพ ทั้งพวกพ้อง และศิษย์ของเขา ต่างก็เข้ามาติดร่างแหเพราะเขา

แต่กลับไม่มีใครปริปากอะไร พวกเขายอมรับมันโดยไร้คำบ่น

หลี่ฉงซานเอ่ยเสียงเบา “คุยเรื่องนี้ไปก็ไม่ได้อะไร เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ก็แค่มีคนบางคนไม่เต็มใจที่จะถูกกลืนหายไปตามการเปลี่ยนแปลงก็เท่านั้น”

“การเปลี่ยนแปลง ?” ฉือไคฮวงตาเป็นประกาย

“ได้หว่านเมล็ดไป การปฏิวัติใกล้เข้ามาแล้ว” หลี่ฉงซานอธิบายอย่างใจเย็น

ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะยอมรับหรือพยายามหยุดมัน ก็ไม่อาจกันไม่ให้กระแสน้ำแห่งยุคใหม่เข้ามาได้

ภายในหุบเขาพายุคลั่ง

“หายใจเสีย… จงใช้วิชาบ่มเพาะสัมผัสรอบกาย สงบจิตใจ มุ่งจิตไปยังบ่อหงส์เพลิง รวบรวมพลังชี่และจดจ่อพลังต้นกำเนิดของเจ้าไว้จุดที่ราบวาโย จากนั้นพาไปยังจุดตันเถียน จากนั้นไปทะเลพลังต้นกำเนิด… อย่ารีบร้อนนัก ค่อยเป็นค่อยไป แต่ให้แม่นยำ……”

น้ำเสียงกังเหยียนอ่อนโยนสงบนิ่ง ทำให้จิตใจคนฟังโอนอ่อนผ่อนตาม

มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเขาไม่เคยอ่อนโยนเช่นนี้ตลอด

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็ก ๆ เผ่าหินผา อ่อนโยนให้ได้มากที่สุดย่อมเป็นการดี

“ลุงกังเหยียน ท่านพ่อบอกว่าข้าต้องออกท่าโจมตีเต็มกำลังเพื่อขยายทะเลพลังต้นกำเนิด” เด็กเผ่าหินผาอายุ 12 ขวบถามขึ้น

เขาชื่อหมีเหยี่ย บุตรชายของหัวหน้าเผ่าหุบเขาพายุคลั่ง ฮาเต๋อเล่อ

“สิ่งที่พ่อเจ้าสอนนั้นผิดแล้ว เชื่อคำท่านลุงแล้วทำตามที่ข้าสอนเถอะ สัญญาเลยว่าจะทำให้บ่มเพาะพลังได้เร็วขึ้น” กังเหยียนตอบพร้อมยิ้มน้อย ๆ

“ได้ ข้าจะลองดู” หมีเหยี่ยว่าแล้วเอียงคอ

ใบหน้าเล็กของหมีเหยี่ยพลันเคร่งขึงขึ้นราวกับหินผา แล้วเริ่มคุมพลังต้นกำเนิดเต็มที่

เหงื่อเริ่มหยดลงมาจากหน้าผาก

หมีเหยี่ยเริ่มโคลงไปมา “รู้สึกมึน ๆ เล็กน้อย”

“ทนอีกหน่อย หมีเหยี่ย นี่เป็นขั้นสำคัญที่สุด หากผ่านไปได้ก็ได้หมดแล้ว” กังเหยียนยังเอ่ยปลอบ “คนอื่นก็เหมือนกัน”

กลุ่มเด็กน้อยกัดฟันฝืนต่อ เหงื่อไหลท่วมหน้าผาก แต่เด็ก ๆ ก็ยังอดทนเป็นอย่างดี

เห็นได้ชัดว่าสำหรับพวกเขา แค่การอดทนไว้ก็ทรมานและเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จนตามเนื้อตัวสั่นเทาโยกเยก อย่างไรก็ตาม เจตจำนงอันทรงพลังของพวกเขาก็ทำให้พวกเขาสามารถยืนหยัดต่อไปได้

กังเหยียนได้เห็นแสงแห่งความหวังในตัวพวกเขา

“หยุด ! ทำอะไรน่ะ !”

เสียงคำรามโกรธดังมาจากข้างนอก

ฮาเต๋อเล่อย่างเท้าเข้ามา จ้องกังเหยียนด้วยความโกรธ

“ข้าสอนพวกเขาให้คุมพลังต้นกำเนิด ผิดตรงไหนหรือ ?” กังเหยียนถามแล้วยืนขึ้น

“วิธีสอนเจ้ามันผิด !” ฮาเต๋อเล่อตะคอก “คิดจะนำพวกเขาไปผิดทางหรือ ?”

“ท่านเข้าใจผิดแล้ว หัวหน้าฮาเต๋อเล่อ” กังเหยียนตอบ “นี่เป็นวิชาที่นายท่านของข้าได้มาหลังจากปรับปรุงวิชาที่มีอยู่เดิม ท่านก็รู้ว่าเผ่าหินผาสัมผัสพลังได้ต่ำ วิชาเช่นนี้จะทำให้ความสามารถในการสัมผัสพลังของเราเพิ่มสูงขึ้น”

“แล้วช่วยให้ทะลวงด่านสู่พิสดารได้หรือไม่ ?”

“ไม่ได้ แต่ก็เพิ่มโอกาสในการบ่มเพาะพลัง ทำให้พื้นฐานมั่นคงได้ เมื่อมีวิชาบ่มเพาะที่เหมาะกับเราในอนาคต พวกเราก็จะปรับตัวได้ง่ายขึ้นเช่นกัน”

ฮาเต๋อเล่อตะคอก “เช่นนั้นก็อย่าเพิ่งพล่ามเรื่องไร้สาระในตอนนี้ เพิ่มอัตราการบ่มเพาะพลังหรือ ? ไร้ประโยชน์นัก ข้าไม่เชื่อสักนิด กังเหยียน ข้าเตือนแล้วว่าอย่าสร้างปัญหาที่นี่ แต่ดูแล้วคงไม่ได้ฟังคำข้าเลยสินะ”

กังเหยียนถามเสียงฉงน “ข้าทำอะไรผิด ? ข้าแค่เอาอาหารดี ๆ ให้พวกเด็ก ๆ กิน แล้วก็สอนวิชาที่ดีกว่าให้ บอกได้หรือไม่ว่ามีตรงไหนที่ผิด ?”

“ผิดทั้งนั้น !” ฮาเต๋อเล่อเอ่ยเสียงเกรี้ยว “เจ้ากำลังยื่นมือเข้าแทรกเรื่องภายในเผ่าและวิถีชีวิตของพวกเรา ข้าคิดผิดไปที่ยอมปล่อยให้เจ้าเข้ามาที่นี่ตั้งแต่แรก เจ้าไม่ได้มาด้วยเจตนาดี ! เจ้าเข้ากลับฝั่งมนุษย์เต็มที่ ทั้งยังเอาคำลวงและอุบายต่าง ๆ มาถึงที่นี่ ! หากต้องการลวงหลอกพวกเด็ก ๆ ละเล่นงานเรา ก็อย่าได้คิด พวกเจ้าทั้งหมด จงหยุดฝึกแล้วลุกขึ้นยืนเดี๋ยวนี้ !”

ฮาเต๋อเล่อบังคับไม่ให้เด็ก ๆ ฝึกต่อ

ยังดีที่กังเหยียนใช้วิธีอ่อนโยน ไม่เช่นนั้นการถูกรบกวนเช่นนี้อาจทำให้เด็ก ๆ เกิดอันตรายได้

กังเหยียนเห็นฮาเต๋อเล่อที่ปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าโกรธก็พลันนึกบางอย่างขึ้นได้

“มีหลายครั้งที่คนเราไม่รู้ว่าสิ่งนี้ดีหรือแย่กันแน่ ด้วยเขาอาจไม่พร้อมตัดสินใจ สายตาไม่อาจมองเห็นความจริง และหากหวังให้คนเหล่านั้นตามหาเส้นทางที่ถูกต้องด้วยตนเอง ผลลัพธ์ที่ออกมาย่อมไม่อาจคาดเดา บางครั้งก็ต้องบีบบังคับกันบ้าง”

“อย่างเวลาผู้ใหญ่สอนเด็กน่ะหรือ ?”

“อย่างเวลาผู้ใหญ่สอนเด็ก”

สิ่งที่นายท่านพูดไว้ถูกต้องทั้งสิ้น บางครั้งคนเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้ดีหรือแย่

ฮาเต๋อเล่อที่ลำเอียงมองมนุษย์ในแง่ร้าย จะมองทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เป็นเรื่องไม่ดีไปโดยสัญชาตญาณ ไม่ว่าแท้จริงแล้วจะเป็นเรื่องดีหรือไม่

เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าใช้วิธีที่อ่อนโยนเพื่อดึงเผ่าหินผาวายุคลั่งมาเท่านี้ก็เพียงพอ

บางทีเขาอาจต้องใช้วิธีการที่รุนแรงกว่านี้

กังเหยียนจ้องฮาเต๋อเล่อ “ที่ท่านว่ามาก็ไม่ผิด ข้าเป็นทาสรับใช้ของเผ่ามนุษย์ ไร้อิสระ ต้องทำตามคำสั่ง เหตุผลที่มาที่นี่ก็เป็นเพราะคำสั่งนายท่าน เขามอบภารกิจให้ข้า ทุกอย่างที่ข้าทำไปจึงล้วนไม่มีเหตุแอบแฝง”

เมื่อได้ยินดังนั้น ฮาเต๋อเล่อก็ยิ้ม “เห็นไหม ในที่สุดก็ยอมรับ ข้ารู้อยู่แล้วว่าคนชั่วช้าอย่างเจ้ามีเจตนาไม่ดี”

กังเหยียนส่ายหน้า “แต่มีเรื่องหนึ่งที่ท่านเข้าใจผิด การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่กลยุทธ์เดียวที่ข้าหมายจะใช้”

“เจ้าว่าอะไรนะ ?” ฮาเต๋อเล่ออึ้งไป สีหน้าวิตกกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้า

กังเหยียนจ้องมองเขาอย่างเห็นอกเห็นใจ “เผ่าหินผาอ่อนแอ นักในช่วงพันปีที่ผ่านมา เราจำต้องพึ่งมนุษย์ให้เข้าปกป้องเพื่อให้เรารอดชีวิต ท่านก็รู้ดี ข้าไม่ปฏิเสธว่าพวกเขากดขี่เผ่าหินผา แต่พวกเขาก็ปกป้องพวกเราเช่นกัน ที่สำคัญ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเผ่าหินผาไม่สามารถต่อต้านเผ่ามนุษย์ได้ ท่านคิดว่าสามารถฝืนกฎมนุษย์ได้ หากรู้ทันความคิดข้าและตอบปฏิเสธความหวังดี แต่ท่านเลือกไม่สนใจความจริงที่รู้อยู่แล้ว ว่าหากมนุษย์อยากได้พวกเราเป็นทาส พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตด้วยซ้ำ”

ฮาเต๋อเล่อเปลี่ยนสีหน้า

กังเหยียนว่าต่อ “นายท่านของข้าต้องการใช้ถนนโบราณธารน้ำเซียน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องรวมเผ่าหินผาเข้าไปด้วย ข้าอยากใช้เผ่าหินผา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเอาอกเอาใจท่าน ถึงกระนั้นทั้งนายท่านของข้าและตัวข้าเองก็หวังจะแก้ไขปัญหาด้วยหนทางที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อยากเรียกข้าว่าพวกเจ้าเล่ห์ก็เอาเลย แต่ข้าขอบอกไว้เลยว่าเมื่อท่านปฏิเสธความหวังดีเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคือวันที่ท่านต้องพบกับความสิ้นหวัง ท่านคิดจริง ๆ หรือว่า…… หากซุกซ่อนตัวอยู่ที่นี่แล้วจะหลบรอดพ้นสายตาเผ่ามนุษย์ได้ ?”

ฮาเต๋อเล่อหน้าคว่ำ ราวกับหินที่ถูกปาลงบ่อ “เจ้าคิดจะใช้พวกมนุษย์บีบให้คนเผ่าเดียวกันยอมตกลงกันสินะ ?”

กังเหยียนส่ายหน้าอีก “ข้าไม่ทำอย่างนั้น และไม่มีความจำเป็นด้วย หัวหน้าฮาเต๋อเล่อ ข้าเคารพตำแหน่งและอำนาจของท่าน ข้าถึงได้พูดดี ๆ อย่างถึงที่สุด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้”

“อะไรนะ ?” ฮาเต๋อเล่อเกรี้ยวกราดขึ้นอีก กลิ่นอายนักรบเผ่าหินผาขั้นสุดเริ่มแผ่ออกมา

กังเหยียนสังเหตุเห็นมันอย่างชัดเจน ปากจึงพูดต่อ “ท่านได้ยินชัดเจนแล้ว ในเมื่อยังดื้อรั้นจะทำเช่นนี้ ข้าก็มีแต่ต้องทำตามอย่างท่าน หัวหน้าฮาเต๋อเล่อ ข้าขอท้าประลอง !”

“ท้าประลอง ?” ฮาเต๋อเล่อคำราม

“ใช่แล้ว ท้าประลองเดิมพันด้วยตำแหน่งหัวหน้า นี่เป็นวิธีที่ง่ายและปลอดภัยที่สุด ฮาเต๋อเล่อ ท่านเป็นคนทรงพลัง บ่มเพาะพลังมาแล้วกว่า 180 ปี ส่วนข้ามีชีวิตอยู่มาเพียง 40 ปีเท่านั้น ข้าเป็นผู้น้อยกว่า แต่ข้าขอท้าท่าน ท่านกับคนทั้งเผ่าจะได้ตัดสินใจถูกว่าเป็นวิธีท่านหรือข้าที่ถูกต้องกันแน่ !”

ฮาเต๋อเล่อคว้าเสื้อกังเหยียนไว้ “รนหาที่ตาย !”

กังเหยียนไม่ขยับ “ถึงตาย ข้าก็ตายอย่างมีเกียรติในสนามรบ”

ฮาเต๋อเล่อจ้องมองเขาอย่างดุเดือด

ผ่านไปนานจึงปล่อยมือ “ก็ได้ ข้าจะให้โอกาสต่อสู้ หากเจ้าชนะ ก็รับตำแหน่งหัวหน้าไป ชะตาของเผ่าหินผาที่นี่อยู่ในกำมือเจ้า แต่หากแพ้ เจ้าก็ต้องตาย !”

กังเหยียนยกมือตบอกเสียงดัง “ข้ายอมรับกฎ ไม่ว่าจะชนะหรือว่าตาย !”

ฮาเต๋อเล่อเดินจากไป ทันใดนั้น สัญญาณเรียกรวมตัวก็ดังขึ้น

กังเหยียนเดินออกจากถ้ำ สัญญาณเรียกทำให้เขาเลือดแทบเดือดด้วยความตื่นเต้น

ในจังหวะที่กำลังจะเดินออกไป เขาก็พลันหยุด แล้วหันไปพูดกับหมีเหยี่ย “ฝึกฝนต่อไป กลับมาแล้วข้าจะมาดูให้”

“อื้อ” หมีเหยี่ยน้อยตอบอย่างเชื่อฟัง

เขานั่งอยู่ตรงนั้น ทำตามวิธีที่กังเหยียนสอน

มันเจ็บปวดและยากลำบาก แต่เขาก็ยังมุ่งหน้าทำต่อ

เสียงคำรามและเสียงโห่ร้องเริ่มลอยเข้ามาจากนอกถ้ำ เผ่าหินผาคนอื่นส่งเสียงให้กำลังใจระหว่างที่คนทั้งสองกำลังแลกกระบวนท่า ทุกท่าระเบิดพลังออกมา

หากแต่หมีเหยี่ยยังคงมีสมาธิกับการนำพลังต้นกำเนิดในร่าง

สุดท้ายเขาก็สัมผัสสิ่งที่กังเหยียนเคยอธิบายให้ฟัง พลังต้นกำเนิดที่ก่อนหน้าดูไม่คุ้นเคยกับกระจ่างขึ้นมา หมีเหยี่ยรู้สึกราวกับว่ามีดวงดาราน้อย ๆ กำลังเต้นอยู่ตรงหน้าก็มิปาน

นี่หรือคือพลังต้นกำเนิด ?

เขาสัมผัสถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายของเขาอย่างระมัดระวัง ใช้ผิวหนังรับมันเข้ามาและจับมันไว้ ไม่สิ ต้องบอกว่าต้อนรับมันต่างหาก เขาเริ่มผ่อนคลายจิตใจ ยังผลให้พลังไหลเวียนไปทั่วร่างเอง คำของกังเหยียนดังก้องอยู่ภายในใจ

เขาสัมผัสได้ว่าดวงดาวตกลงมาบนแขนก่อนจะเข้าไปในร่าง และเมื่อเข้าไปแล้ว มันก็ถูกดูดซึมเข้าไปทันที ราวกับน้ำหยดลงในมหาสมุทร

จากนั้น ทะเลพลังต้นกำเนิดก็ส่งเสียงคำรามราวกับมีชีวิตขึ้นมา เริ่มส่องสว่างจ้า หมีเหยี่ยรู้สึกว่าร่างตนกำลังส่องแสง

“สำเร็จแล้ว !” หมีเหยี่ยตะโกนเสียงดัง

ลุงกังเหยียนพูดถูก !

เขาพูดถูก !

เขาอยากจะร้องไห้ออกมาดัง ๆ

แต่เขาพบว่าข้างนอกตอนนี้เงียบสนิท

เกิดอะไรขึ้น ?

หมีเหยี่ยหันไปมอง

เขาเห็นกังเหยียนยืนอยู่ตรงทางเข้าถ้ำ

กังเหยียนยิ้มให้หมีเหยี่ย เอ่ยคำว่า “ยินดีด้วยเสี่ยวหมีเหยี่ย เจ้าเป็นอนาคตของเผ่าหินผาแล้ว !”