ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 74 การแก้ปัญหาของพระราชวังหลี

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

แม่นางผู้นั้นก็คือสาวใช้ใหญ่ของจวนสวี ซวงเอ๋อร์

เวลาได้ผ่านไปหนึ่งปีครึ่งแล้ว มองดูแล้วนางก็สุขุมเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไม่น้อย ดวงตาก็ดูสงบขึ้นมาบ้าง

ซวงเอ๋อร์มองเด็กหนุ่มที่อยู่หลังโคมไฟผู้นั้น…ไม่สิ ในตอนนี้ต้องพูดว่าชายหนุ่มแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ยิ่งเป็นกังวลขึ้นมา มือทั้งสองข้างที่กำแน่นก็มีเหงื่อชื้นขึ้นมา

นางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง นางรู้สึกว่าตนควรจะพูดอะไรบางอย่าง ก่อนที่คุณหนูจะกลับมายังจิงตู เพราะนางพบว่า ก็เหมือนกับที่นายหญิงใหญ่พูดไว้เช่นนั้น การแต่งงานนี้สำหรับคุณหนูแล้ว บางทีอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่…ในตอนแรกที่เกิดเรื่องขึ้นมากมายถึงขนาดนั้น ถ้าหากเปลี่ยนเป็นนาง แน่นอนว่าจะต้องโกรธแค้นมาจนถึงตอนนี้

ตอนที่นางกำลังกัดฟัน เตรียมที่จะเอ่ยปากพูดขึ้นมา เฉินฉางเซิงพลันเดินมาถึงตรงหน้านาง พยักหน้า หลังจากนั้นก็เดินต่อไปทางประตูหินนั้น

ไม่มีความโกรธอะไร ไม่มีความแค้นอะไร ไม่มีการเดินกระแทกเท้า และก็ไม่มีการกัดฟัน

สงบอย่างมาก ราวกับเป็นเพียงคนผ่านทาง ราวกับพบใครบางคนที่เคยเจอกันมาก่อนที่ไหนสักแห่งจึงพยักหน้าทักทาย

ซวงเอ๋อร์นิ่งอึ้งไป

ก็เป็นในตอนนี้เอง เฉินฉางเซิงพลันเดินผ่านประตูหินไป

ซวงเอ๋อร์หันตัว ยกมือขึ้นมา นางอยากจะร้องเรียกเขาไว้ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ทำ

มองดูเงาหลังที่จากไปของเขา ในใจของนางก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง

นางไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมถึงรู้สึกว่าเวลาก็ไม่ได้ผ่านไปอย่างเนิ่นนาน เด็กหนุ่มผู้นั้นและโลกใบนี้กลับดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากแล้ว

เขาออกจากจวนขุนพลเทพตงอวี้ เดินไปตามทางของถนนใหญ่ จนมาถึงบนสะพานหินแห่งหนึ่ง

ยังเป็นสะพานหินแห่งนั้น ในค่ำคืนฤดูร้อนที่อบอ้าว มีชาวเมืองมานั่งคลายร้อนที่ข้างแม่น้ำใต้สะพานอยู่เต็มไปหมด ในแม่น้ำไม่มีใบไม้ร่วง เขายืนอยู่บนหัวสะพานแล้วถอนสายตากลับมา หันหน้ากลับไปมองชายหลังคาเหล่านั้นของจวนขุนพลเทพตงอวี้ นิ่งเงียบไม่พูดจา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเกิดความปลงอนิจจังที่คล้ายกับซวงเอ๋อร์ขึ้นมาหรือไม่…เวลาก็ห่างจากการเข้าจิงตูมาถอนหมั้นที่นี่ครั้งแรกเพียงแค่หนึ่งปีครึ่งเท่านั้น ทำไมราวกับว่าเป็นคนละโลกกันไปแล้ว

ในตอนแรกที่จากเมืองซีหนิงมายังจิงตู เป้าหมายสำคัญของเขาคือการเข้าร่วมการสอบใหญ่ เพื่อให้ได้อันดับหนึ่ง และเข้าไปยังหอหลิงเยียน เพื่อค้นหาความลับในการท้าลิขิตพลิกโชคชะตา การถอนหมั้นเป็นเพียงการถือโอกาสทำ แน่นอนว่ามันก็เป็นเรื่องที่จะต้องทำ ถึงแม้ในวันนี้เขาจะยังไม่สามารถหาวิธีการฝืนลิขิตฟ้าแก้ไขดวงชะตาได้ แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า โชคชะตาของเขานั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงไปตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าการแต่งงานนี้ทำไมถึงยังไม่ได้ยกเลิกไปสักที

เขาส่ายหน้า พลางเดินไปทางสะพานหินด้านนั้น และตัดสินใจว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด

คนผูกปัญหาก็ต้องเป็นคนแก้ การจัดการสัญญาหมั้นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน นายท่านคนก่อนได้จากไปนานแล้ว อาจารย์ก็พาศิษย์พี่หายไปอย่างไร้ร่องรอย เช่นนั้นก็ทำได้เพียงไปหาฝ่ายที่สามของสัญญาหมั้น

เขาไปที่พระราชวังหลี

ไม่จำเป็นต้องแจ้งไป นักบวชที่เฝ้าอยู่ที่ด้านหน้าเชิญเขาเข้าไปอย่างนอบน้อม เดินเป็นเพื่อนเขาไปตามถนนเสินที่ยาวไกล จนมาถึงหน้าตำหนักที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดแห่งนั้น

พระราชวังหลีในยามค่ำคืนเงียบสงบเป็นอย่างมาก ตำหนักที่ใต้เท้าสังฆราชพักอยู่ก็ยิ่งต้องเป็นเช่นนี้ มันถูกแต่งแต้มด้วยดวงดาวที่เลยพ้นขอบชายคาสีดำซึ่งอยู่รอบด้านออกมา เมื่อมองนานไปแล้ว ก็เหมือนกับบ่อน้ำที่สงบและงดงามบ่อหนึ่ง

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาได้ปลดกำไลลูกปัดหินที่อยู่บนข้อมือเส้นนั้นลงมาแล้ว

ในตำหนักที่เงียบสงบมีเสียงน้ำไหลลอยเข้ามา เขาหันกายเดินเข้าไป ทำความเคารพกับใต้เท้าสังฆราชที่ยืนอยู่ข้างกระถางใบไม้ครามซึ่งเหมือนกับคนแก่ธรรมดาผู้นั้น

“ท่านอาจารย์อา นี่เป็นเพราะอะไรกันแน่”

เมื่อก่อนน้อยมากที่เฉินฉางเซิงจะเรียกใต้เท้าสังฆราชว่าอาจารย์อา ไม่ใช่เพราะโรครักษาความสะอาดอะไรทั้งนั้น เป็นเพียงความไม่เคยชินก็แค่นั้น แต่สำนักฝึกหลวงได้เกิดเรื่องขึ้นมามากมายขนาดนี้ แล้วยังได้ยินคำพูดที่เปิดเผยของสวีซื่อจีที่จวนขุนพลเทพตงอวี้นั่นอีก เขาก็รู้แล้วว่า ไม่ว่าตนจะเรียกเช่นไร ในสายตาของชาวโลก ความสัมพันธ์ของตนกับใต้เท้าสังฆราชก็ไม่อาจตัดขาดออกจากกันได้อีกแล้ว เช่นนั้นก็เคยชินไว้ก่อนดีกว่า เขาเป็นคนที่เสียดายเวลาอย่างมาก ถึงได้ตัดสินใจแล้วว่าจะทำเช่นนี้

ก็เหมือนกับปัญหาเรื่องนี้ที่อยู่ในใจของเขามาเป็นเวลานานอย่างมาก ในตอนนี้เมื่อได้เจอกับใต้เท้าสังฆราช แน่นอนว่าเขาก็ได้ถามออกไปตามตรง

คำเรียกขานว่าอาจารย์อากับตัวคำถามข้อนี้ ทำให้ใต้เท้าสังฆราชนิ่งอึ้งไป หลังจากนั้นก็ยิ้มออกมา

ที่เฉินฉางเซิงถามก็คือการต่อสู้กันของกลุ่มอำนาจเก่าและใหม่ของนิกายหลวงไปจนถึงความเงียบของพระราชวังหลีในช่วงนี้

“พวกเจ้าล้วนเป็นคนหนุ่มสาว เรื่องของคนหนุ่มสาวไม่ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าหากมีตรงไหนที่ผิดพลาด หรืออาจพูดได้ว่าตรงไหนที่ยังไม่ดีพอ ภายหลังก็ยังมีที่ให้ชดเชยหรือสามารถพูดเหตุผลได้”

ใต้เท้าสังฆราชวางกระบวยกลับไปในสระน้ำ รับผ้าที่เฉินฉางเซิงส่งมาให้ เช็ดไปที่มือเบาๆ แล้วพูดขึ้น “แต่พวกข้าที่เป็นคนแก่เหล่านี้ทำไม่ได้ คนหนุ่มสาวสามารถที่จะบุ่มบ่าม สามารถที่จะเลือดร้อน พวกข้ากลับต้องสุขุมจนถึงขั้นเย็นชา ในสายตาของทุกคน พวกข้าล้วนคิดลึกซึ้งและรอบคอบอย่างมาก พูดให้น่าฟังอีกหน่อยคือคิดอย่างรอบคอบและยาวไกล เช่นนั้นแล้วแน่นอนว่าพวกข้าไม่สามารถจะทำอะไรด้วยความบุ่มบ่ามได้ เบื้องหลังของทุกเรื่องที่พวกข้าทำจะต้องมีแผนการอะไรแอบแฝงอยู่ ดังนั้นขอเพียงพวกข้าเคลื่อนไหวแล้ว เรื่องก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างง่ายดาย และก็ไม่มีที่ให้ถอยอีก”

ที่จริงสองประโยคนี้ค่อนข้างจะกระจัดกระจาย แต่ว่าเฉินฉางเซิงฟังเข้าใจ

คลื่นลมในครั้งนี้เดิมทีก็เริ่มต้นมาจากการที่ตระกูลเทียนไห่กับกลุ่มอำนาจใหม่ของนิกายหลวงเล่นงานใต้เท้าสังฆราช แต่กลับถูกสำนักฝึกหลวงขวางเอาไว้ที่หน้าประตูสำนัก แน่นอนว่าพระราชวังหลีนั้นต้องรักษาความสงบไว้

ใต้เท้าสังฆราชเดินกลับไปที่หน้าเก้าอี้ แล้วส่งสัญญาณให้เขานั่งลง พลางพูดขึ้น “และนี่ก็เป็นโอกาสอย่างหนึ่ง”

คำพูดประโยคนี้ก็ยิ่งง่ายดาย และยิ่งคลุมเครือ แต่เฉินฉางเซิงก็ยังฟังเข้าใจ

การโจมตีจากตระกูลเทียนไห่กับกลุ่มอำนาจใหม่ของนิกายหลวง ถ้าหากสามารถถูกควบคุมเอาไว้ในระดับหนึ่งได้ สำหรับสำนักฝึกหลวงกับเขาแล้ว ก็เป็นโอกาสครั้งหนึ่งที่น่าจะรักษาเอาไว้อย่างมาก

ก็เหมือนกับดวงจิตของเขาที่ถูกชำระล้างในมหาสมุทรแห่งเจตจำนงกระบี่จนแข็งแกร่งและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น กระบี่ของเขาเองก็เพิ่งความแข็งแกร่งและมั่นคงขึ้นจากการต่อสู้เหล่านี้

“มีเพียงเช่นนี้ ถึงจะสามารถทำให้เจ้าสุกงอมขึ้นมาอย่างรวดเร็วที่สุด” ใต้เท้าสังฆราชมองเขาแล้วพูดขึ้นอย่างอบอุ่น

บทสรุปนี้เฉินฉางเซิงเข้าใจเพียงแค่ส่วนเดียว ตอนที่เขาพูดคุยกับถังซานสือลิ่ว ก็ไม่อาจจะยืนยันตรงจุดนี้ได้ ทำไมใต้เท้าสังฆราชถึงได้เลือกวิธีการเช่นนี้มาทำให้เขาเติบโต มันออกจะรีบร้อนเกินไป ถ้าใช้คำพูดของถังซานสือลิ่ว ก็เกือบจะเป็นการฝืนดึงต้นข้าวให้โตแล้ว

มองเห็นสีหน้าของเขา ใต้เท้าสังฆราชก็คาดไม่ถึงอยู่บ้าง จึงพูดขึ้น “ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่สนใจอะไรกับเรื่องเหล่านี้นัก ต้องให้เวลาอีกสักหน่อยถึงจะคิดตก หรืออาจจะมาหาข้าเร็วกว่านี้”

“มีหลายเรื่องที่ไม่สนใจ แต่ก็จำเป็นต้องเรียนรู้เอาไว้ ในเมื่อเจ้าไม่อาจจะหลีกหนี…นี่เป็นสิ่งที่ถังถังพูดกับข้าไว้” เฉินฉางเซิงพูดขึ้น

ถังซานสือลิ่วเคยพูดกับเขา ในเมื่อเจ้าต้องกลายเป็นใต้เท้าสังฆราช เช่นนั้นก็ต้องเรียนรู้เรื่องที่ดูเหมือนว่าจะไม่น่าสนใจเหล่านี้ และก็ต้องมีกลุ่มเป็นของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นสำนักฝึกหลวง

ที่เขาสามารถฟังคำพูดของใต้เท้าสังฆราชก่อนหน้านี้เข้าใจได้ ก็เป็นเพราะถังซานสือลิ่วเคยวิเคราะห์ให้เขาฟังก่อนหน้านี้แล้ว

ดูท่าจากในตอนนี้ การคาดการณ์ของถังซานสือลิ่วเหล่านั้นล้วนถูกต้อง

“เพื่อนของเจ้าผู้นี้ไม่เลวเลย” ใต้เท้าสังฆราชปลงอนิจจังอยู่บ้าง แล้วพูดขึ้น “ในตอนนั้นที่ข้ากับปู่ของเขารู้จักกัน ก็อายุพอๆ กับพวกเจ้า เพียงแต่ในภายหลังเพราะเรื่องบางอย่าง ความคิดของข้ากับปู่เขาก็ไม่เหมือนกันแล้ว แน่นอนว่าก็ไม่อาจจะรักษามิตรภาพในตอนแรกเอาไว้ต่อไปได้ เขากลับไปที่เวิ่นสุ่ย ข้าเข้าพระราชวังหลี พริบตาเดียวก็ผ่านไปนานถึงเพียงนี้แล้ว”

หลายวันก่อนได้เห็นม่ออวี่พูดกับถังซานสือลิ่วที่สำนักฝึกหลวง เฉินฉางเซิงก็รู้สึกได้ถึงสิ่งที่เรียกว่าสังคมชั้นสูง แต่ก็ยังคิดไม่ถึงว่าใต้เท้าสังฆราชถึงกับเคยสนิทสนมกับท่านปู่ถังถึงเพียงนี้

“ในเมื่อหลายวันก่อนไม่ได้มา ข้าคิดว่าในช่วงนี้ก็จะไม่ได้มา ทำไมคืนนี้ถึงได้มาอย่างกะทันหันเล่า” ใต้เท้าสังฆราชถามขึ้น

สำนักฝึกหลวงได้ฝืนผ่านช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดนั่นไปแล้ว ในตอนนั้นไม่ได้เข้ามาขอความช่วยเหลือจากพระราชวังหลี ในตอนนี้ก็ยิ่งไม่มีเหตุผลแล้ว

“ข้าไปที่จวนขุนพลเทพตงอวี้มา” เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ข้าอยากจะถอนหมั้น ทางพวกเขานั้นกลับถ่วงเวลามาโดยตลอด ดังนั้นข้าจึงอยากเชิญให้อาจารย์อาไปจัดการกับการหมั้นหมายในครั้งนี้”

ใต้เท้าสังฆราชพบว่าสีหน้าตรงช่วงดวงตาของเขาจริงจังอย่างมาก จึงถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เจ้ารู้ว่าการหมั้นหมายครั้งนี้หมายถึงอะไรหรือไม่”

ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน แน่นอนว่าเฉินฉางเซิงจะเชื่อนิทานเรื่องนั้นที่อาจารย์พูด…ปู่ของสวีโหย่วหรงไปตรวจภูเขาแทนจักรพรรดิองค์ก่อน แล้วถูกขุนพลเผ่ามารลอบโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส ต่อให้เป็นแพทย์หลวงก็ไม่อาจจะรักษาให้หาย พอดีกับที่อาจารย์ของเขานักพรตจี้ผ่านทางไปพอดี จึงช่วยรักษาจนหาย ปู่ของนางจึงทำสัญญาหมั้นนี้เพื่อแสดงความขอบคุณ แต่เขาในตอนนี้ได้รู้ถึงเรื่องที่ซ่อนอยู่ในสัญญาหมั้นฉบับนี้แล้ว

เพราะว่าอาจารย์ของเขาไม่ได้เป็นเพียงนักพรตจี้ แต่ยังเป็นเจ้าสำนักซาง เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์

“ไม่ว่าสัญญาหมั้นนี้จะมีความหมายอะไร ก็ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้า”

ถ้าหากเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาแล้วพูดเช่นนี้กับผู้อาวุโส ก็มักจะมีความเด็กน้อยน่าหัวเราะ ทำให้คนรู้สึกถึงกลิ่นความเลือดร้อนอยู่เต็มจมูก ที่จริงก็มีเพียงความเห็นแก่ตัวและกำเริบเสิบสาน แต่ในตอนที่ออกจากปากของเฉินฉางเซิง กลับไม่มีปัญหาเหล่านี้ แต่แสดงถึงความสงบ มีทั้งยังมีความน่าเชื่อถือ ข้อแตกต่างอยู่ที่แบบแรกมักจะไม่รู้ว่าความรับผิดชอบคือสิ่งใด แต่เขานั้นผ่านการครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบที่ตนจะต้องแบกรับ

ความเป็นตายเป็นเรื่องของตัวเอง การแต่งงานเป็นเรื่องของตัวเอง จะมีลูกหรือไม่เป็นเรื่องของตัวเอง จะเลี้ยงดูลูกอย่างไรก็เป็นเรื่องของตัวเอง เฉินฉางเซิงไม่ได้ทำการจัดลำดับกับเรื่องนี้ เพียงแต่ทำเช่นนี้อย่างเป็นธรรมชาติ หรือเป็นเพราะที่เขาบำเพ็ญเพียรมาโดยตลอดนั้นคือตามใจชอบ และสี่อย่างนี้ก็เป็นข้อเรียกร้องพื้นฐานของการเป็นไปตามใจนี้

ใต้เท้าสังฆราชถามเขาอีกครั้ง “ในอนาคตเจ้าจะไม่เสียใจหรือ”

ดวงตาของผู้เฒ่าที่ส่องประกายราวดวงดาวพลันฉายแววความหมายที่ลึกซึ้ง

เฉินฉางเซิงไม่ได้สังเกตเห็น และพูดขึ้น “ไม่ขอรับ”

ใต้เท้าสังฆราชมองเขาอย่างสงบ แล้วพูดขึ้น “ได้”

ก่อนที่เฉินฉางเซิงจะขอตัวลาได้ถามขึ้น “ไม่สู้ได้หรือไม่”

ที่พูดนี่แน่นอนว่าหมายถึงสิ่งที่ชาวเมืองต่างรอคอย…การต่อสู้กันระหว่างเขากับสวีโหย่วหรงนั่น ตามข่าวที่ถังซานสือลิ่วไปสืบมา พูดกันว่าทางกระทรวงสิบสามชิงเหย้านั้นเริ่มเตรียมสาสน์ท้าประลองแล้ว ซึ่งได้เชิญให้บัณฑิตใหญ่ของราชสำนักผู้หนึ่งมาเป็นผู้เขียน เดิมทีเฉินฉางเซิงก็ไม่อยากจะสู้กับสวีโหย่วหรง ในวันนี้ได้ไปที่จวนขุนพลเทพตงอวี้ ก็มีความเห็นใจหญิงสาวที่ยังไม่เคยพบหน้าผู้นี้ขึ้นอีกส่วน ในตอนนี้ได้รับความเห็นชอบจากใต้เท้าสังฆราชที่จะไปถอนหมั้นแล้ว เขาก็รู้สึกว่าไม่มีเห็นผลที่จะต้องมาสู้กัน

“ที่พวกเราฝึกกันก็คือเป็นไปตามใจ ขอเพียงตัวเจ้ายินยอม แน่นอนว่าได้ ถึงอีกฝ่ายคิดจะสู้ เจ้าก็สามารถหลีกเลี่ยงได้”

ใต้เท้าสังฆราชหยิบกระบวยขึ้นมาจากสระ แล้วรดกระถางใบไม้ครามนั่น พลางพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน “ขอเพียงเจ้าสามารถยืนยันได้ การเลือกนั้นที่จริงก็อยู่ที่การกระทำไปตามใจชอบ”

เฉินฉางเซิงมองเงาหลังของใต้เท้าสังฆราช ในครั้งนี้ก็ถือว่าเข้าใจอยู่บ้าง รู้ว่าคำพูดนี้มีความหมายอื่นแฝงอยู่