ระยะห่างจากพระราชวังหลีมาที่พระราชวังไม่ได้ไกลนัก
เพียงแต่ด้วยสถานะของเฉินฉางเซิงในตอนนี้ การจะเข้าพระราชวังหลีนั้นค่อนข้างง่ายดาย แต่การจะเข้าพระราชวังก็ออกจะลำบากอยู่บ้าง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่มีการแจ้งไปก่อนล่วงหน้า สุดท้ายแล้วก็ยังกระทบไปถึงเซวียสิ่งชวน
“เจ้าสำนักเฉินเข้าพระราชวังในตอนกลางดึกมีเรื่องอะไรกัน”
“ข้าจะไปหาลั่วลั่ว”
เซวียสิ่งชวนถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ เฉินฉางเซิงเองก็ตอบอย่างไม่ใส่ใจ พระราชวังที่ถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนาก็เปิดประตูออกแล้ว
เฉินฉางเซิงเดินตามขันทีผู้หนึ่งเข้าไปในส่วนลึกของพระราชวัง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้สติขึ้นมา เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเซวียสิ่งชวนถึงพูดง่ายขนาดนี้ เขาไม่รู้ นั่นเป็นเพราะเซวียสิ่งชวนเคยรอจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กลับมาจากประตูลับที่กำแพงพระราชวัง เซวียสิ่งชวนคิดว่าในครั้งนั้นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ตั้งใจจะไปหาเด็กหนุ่มผู้นี้
เช่นเดียวกัน เมื่อมองดูเงาหลังของเฉินฉางเซิง เซวียสิ่งชวนเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กหนุ่มผู้นี้ถึงได้แสดงออกต่อหน้าตนได้อย่างสงบและเป็นธรรมชาติถึงเพียงนี้ เขาเป็นขุนพลเทพของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ น้องชายแท้ๆ ของเขาตอนที่อยู่ทุ่งร้างเคยถูกเฉินฉางเซิงใช้กระบี่ตัดแขนซ้ายไป แต่หลังจากที่เฉินฉางเซิงกลับจิงตูมาก็ได้พบเจอกับเขาอยู่หลายครั้ง ไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกผิดอยากจะขอโทษอะไร แม้แต่การระมัดระวังก็ยังไม่มี
ลั่วลั่วพักอยู่ในพระราชวังเป็นอย่างดี ถึงแม้จะถูกกำแพงวังตัดขาดความคึกคักของโลกภายนอกออก แต่เมื่อเทียบกับโลกใบไม้ครามแล้ว ท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ของที่นี่ก็ยังเป็นของจริง เพียงแค่น่าเบื่อนิดหน่อย ดังนั้นตอนที่นางรู้ว่าเฉินฉางเซิงมาเยี่ยมตนก็ดีใจเป็นอย่างมาก อาจารย์และลูกศิษย์ทั้งสองคนจะพูดคุยกันในสวนดอกไม้อย่างสงบเป็นเวลานาน เรื่องที่พูดก็ล้วนเป็นเรื่องที่น่าดีใจ
หัวข้อสนทนาก็วนเวียนอยู่ที่ต้นไทรย้อยกับทะเลสาบแห่งนั้น เพียงแต่พูดเรื่องที่ปริมาณอาหารของสำนักฝึกหลวงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปริมาณอาหารของเซวียนหยวนผ้อก็ยิ่งเกินเลยไปใหญ่ วงดำที่รอบดวงตาของถังซานสือลิ่วก็ยิ่งเข้มขึ้น หลังจากที่ซูม่ออวี๋ได้รับจดหมายจากอาหญิงของเขาสีหน้าก็ค่อนข้างจะดูไม่ได้ สีหน้าของเจ๋อซิ่วยังคงเป็นเหมือนเดิม ราวกับคนตายก็ไม่ปาน
เฉินฉางเซิงยังเล่าเรื่องนักเรียนใหม่สิบกว่าคนที่เพิ่งเข้าสำนักฝึกหลวงมาว่ามีพรสวรรค์ค่อนข้างโดดเด่น พูดว่าถ้าหากโชคดีก็น่าจะสามารถผ่านการสอบเตรียมไปได้ ขนาดที่ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถเข้าไปอยู่ในครึ่งหลังของขั้นที่สามในการสอบใหญ่ได้
ลั่วลั่วได้ยินก็ดีใจอย่างมาก เพียงแต่เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว คำพูดของนางก็น้อยลงไปมาก เวลาส่วนใหญ่ เพียงแค่เบิกดวงตาที่ส่องสว่างจ้องมองเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ได้เจอซวงเอ๋อร์ที่จวนสวี ก็คิดว่าหลังจากที่เด็กสาวเติบโตขึ้นก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง จึงไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก
เวลาที่พูดคุยเรื่อยเปื่อยได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนล้วนไม่ได้สังเกตว่าถึงกลางดึกแล้ว จนกระทั่งนางกำนัลหลี่ที่ซ่อนตัวอยู่ตรงพุ่มไม้รู้สึกว่าไม่ค่อยจะเหมาะสมแล้วจึงกระแอมขึ้นมา เฉินฉางเซิงถึงได้นึกถึงเป้าหมายหลักที่ตนมาหาลั่วลั่วในคืนนี้ จึงจูงมือนางไปที่กำแพง ใช้ร่างของตนบังสายตาทั้งหมดที่แอบจับจ้องมา ล้วงเอาของสิ่งหนึ่งยัดใส่ไปในมือของนาง
ลั่วลั่วตกตะลึงอยู่บ้าง มองดูลูกปัดหินที่อยู่ในมือของตนเม็ดนั้น ไม่เข้าใจว่าทำไมอาจารย์ถึงได้ให้ของสิ่งนี้กับตน
“ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้ว่าหลังจากที่รู้ความจริงแล้วจะส่งผลดีหรือร้ายต่อการบำเพ็ญเพียรของเจ้า ดังนั้นจึงยังไม่พูดในตอนนี้ แต่สรุปคือ…ของสิ่งนี้เป็นของดี”
เฉินฉางเซิงมองนางแล้วพูดขึ้น “อย่าได้ทำหายเชียวนะ ตอนที่ไม่มีเรื่องอะไรก็กำไว้ในมือแล้วรับรู้ให้มากหน่อย ทางที่ดีที่สุดอย่างให้ใครเห็น”
ลั่วลั่วพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ของขวัญที่อาจารย์ให้ข้า ข้าไม่มีทางทำหายอย่างแน่นอน”
ตอนที่จินอวี้ลวี่มาส่งเฉินฉางเซิง ดูแล้วเหมือนเขาจะอยากจะพูดขึ้นมาแล้วก็หยุดลง
เฉินฉางเซิงไม่ค่อยเข้าใจ จึงถามขึ้น “ท่านอาจิน เป็นอะไรไป”
จินอวี้ลวี่ถอนหายใจอยู่ในใจ สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดเรื่องนั้นออกมา แล้วถามขึ้น “เมื่อครู่เจ้าพูดอะไรกับองค์หญิงที่มุมกำแพงกัน”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ไม่มีอะไร ให้ของกับนางชิ้นหนึ่ง”
ตอนแรกที่เมืองไป๋ตี้จินอวี้ลวี่ไม่ยอมรับตำแหน่ง และทำการเพาะปลูกเลี้ยงชีพ แต่เมื่อมองชุดที่เต็มไปด้วยเงินของเขาชุดนั้นก็รู้ถึงนิสัยแล้ว จึงถามขึ้นอย่างสนใจ “มีค่ามากหรือ เป็นของจากตระกูลถังหรือเปล่า”
ในสายตาของเขา เฉินฉางเซิงนั้นยากจนเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ล้วนอาศัยองค์หญิงลั่วลั่วกับถังซานสือลิ่วช่วยเหลือ ไหนเลยจะสามารถนำของดีอะไรออกมาได้ น่าจะเป็นการมอบของขวัญต่อจากตระกูลถัง
เฉินฉางเซิงส่ายหน้าพูดขึ้น “เป็นของที่ข้าทำขึ้นก่อนหน้านี้ ไม่ได้มีค่าอะไร”
เมื่อได้ยินว่าทำขึ้นมา อีกทั้งยังไม่มีค่า จินอวี้ลวี่ก็หมดความสนใจในทันที และยังนึกถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ก็อดไม่ได้ที่จะโมโหขึ้นมา
“องค์หญิงให้ของดีๆ กับเจ้าขนาดนั้น เจ้าก็ไม่คิดจะตอบแทนอะไรหน่อยหรือ”
เฉินฉางเซิงที่เป็นคนเช่นนี้ไหนเลยจะฟังออกว่าคำพูดนี้หมายถึงอะไร จึงพูดขึ้นอย่างแสนซื่อ “นี่ก็คือของที่ดีที่สุดในตัวข้าแล้ว”
……
……
ตอนที่กลับมาถึงสำนักฝึกหลวง ก็ดึกมากแล้ว
ถ้าเป็นตามปกติ เฉินฉางเซิงก็นอนหลับไปตั้งนานแล้ว แต่ในวันนี้เขากลับไม่
เขาไปที่สวนร้อยหญ้าก่อน แล้วก็ไปที่หอตำรา แล้วค่อยกลับไปที่ห้องของตน
เขายืนอยู่ที่หน้าต่าง มองดูดวงดาวที่สะท้อนบนผิวทะเลสาบ เขานึกถึงท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ถูกชายคาสีดำตัดผ่านที่พระราชวังหลี
ที่เขาไปหอหลิงเยียนเป็นการจัดการของอาจารย์ กล่องที่หวังจือเช่อซ่อนไว้ในกำแพงใบนั้น ก็เป็นอาจารย์ที่บอกกับเขา แต่กลไกที่เปิดกล่องไม่ได้ถูกแตะต้องมาก่อน แสดงว่าไม่เคยมีใครเปิดกล่องใบนั้น นี่ก็หมายความว่า อาจารย์เองก็ไม่น่าจะรู้เนื้อหาในบันทึกของหวังจือเช่อเล่มนั้น และก็ไม่รู้ว่าในนั้นหวังจือเช่อได้พูดถึงชื่อของเขา…นักพรตจี้
สามารถมองได้จากบันทึกของหวังจือเช่อ ในสมัยจักรพรรดิไท่จงชื่อของนักพรตจี้มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก สามารถเข้าออกพระราชวังกับจวนของขุนนางได้อย่างอิสระ เช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขารับตำแหน่งเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง และสามารถสับเปลี่ยนสถานะทั้งสองนี้อย่างเป็นอิสระได้อย่างไร
สายตาของเฉินฉางเซิงมาอยู่บนหนังสือเล่มนั้นที่อยู่ด้านข้าง นั่นเป็นบันทึกของสำนักฝึกหลวง ก่อนหน้านี้เขาได้พบวันเวลาที่อาจารย์รับตำแหน่งเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวงในตอนนั้นไปจนถึงเรื่องใหญ่โตที่เกิดขึ้นในภายหลังพวกนั้น เขายังคงไม่เข้าใจ ในตอนนั้นอาจารย์สามารถปิดบังผู้คนทั่วหล้าได้อย่างไร ที่สำคัญที่สุดคือ เขาสามารถปิดบังใต้เท้าสังฆราชได้อย่างไร ต้องรู้ว่าพวกเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก แต่เล่ากันว่าในการเปลี่ยนแปลงของสำนักฝึกหลวง อาจารย์ของเขาก็ตายลงคามือของใต้เท้าสังฆราช…ในนี้มีอะไรซ่อนอยู่กันแน่
สำหรับเรื่องทั้งหมดนี้ มีหลายจุดที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ ยกตัวอย่างเช่นการที่ใต้เท้าสังฆราชเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ขนาดที่นักพรตซือหยวนกับราชันย์แห่งหลิงไห่ที่เขาเลี้ยงดูมากับมือยังแตกหักกับเขา เพราะอะไร เขาเคยถามเรื่องนี้ต่อหน้าใต้เท้าสังฆราช คำตอบที่ออกมาเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักอย่างมาก สามารถที่จะขจัดข้อสงสัยทั้งหมดในใจของเขา
สรรพชีวิตในแผ่นดินเป็นเช่นไร สามารถที่จะส่งผลกระทบต่อการเลือกของนักปราชญ์ได้จริงๆ หรือ
เขาคิดอย่างยาวนานก็คิดไม่ออก และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาจารย์และศิษย์พี่ ก็ไม่อาจจะนำไปพูดกับถังซานสือลิ่วและลั่วลั่วได้ เขาส่ายหัวอย่างจนใจ นำหนังสือเล่มนั้นเสียบเข้าไปในส่วนลึกที่สุดของชั้นหนังสือ แล้วเดินกลับไปที่ต่างหน้า อาศัยแสงดาวที่สาดส่องในท้องฟ้ายามค่ำคืนสงบใจ หลับตาลงแล้วเริ่มทำสมาธิ ดวงจิตสั่นไหว ลงไปสู่ลูกปัดหินสีดำเม็ดนั้น
ลมหนาวผัดผ่านใบหน้า รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาในทันที เขาปรากฏตัวขึ้นภายในสวนโจว และยังยืนอยู่ด้านบนสุดของสุสาน