เขาพบว่าเมื่อเทียบกับเมื่อวานนี้ สายลมของวันนี้จะมีกลิ่นบางอย่างที่ต่างออกไป ดูเหมือนจะชื้นกว่าหน่อย และมีกลิ่นดินโคลนจางๆ นั่นไม่ใช่เรื่องแย่ คลองไหนเลยจะใสกระจ่าง เมื่อมีต้นน้ำไหลริน คลองที่ใต้ถนนเสินในสุสานเทียนซูใสราวกับไม่มีสิ่งใดอยู่ ก็เป็นเหตุผลนี้ สวนโจวเริ่มต้นเปิดขึ้นอีกครั้ง ก็น่าจะพัฒนาไปในทางนี้
ฝูงสัตว์อสูรเข้าใกล้สุสานโจวขึ้นมาหน่อย มองดูแล้วก็ยังเป็นแถบดำ แต่มองจากที่ไกลๆ ก็สามารถรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไป
เมื่อมาถึงภายในทุ่งหญ้า มองดูสัตว์อสูรนับหมื่นที่คุกเข้าอยู่ตรงหน้า เฉินฉางเซิงก็ตกตะลึงอยู่บ้าง เมื่อวานเขาเพียงแค่นำยาบางส่วนติดตัวมา คิดไม่ถึงว่า บาดแผลของยักษ์ล้มภูเขากับอสูรกระทิงจะดีขึ้นมาก สัตว์อสูรตัวอื่นก็ดูแล้วมีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย
ในวันนี้วานรดินไม่ได้ซ่อนอยู่ตรงมุมเขาของยักษ์ล้มภูเขา แต่ซ่อนอยู่ท่ามกลางฝูงสัตว์อสูร มองเขาอยู่จากที่ไกลออกไป ดวงตานั้นกลอกไปมา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่เห็นถึงเจตนาร้ายอะไร
เฉินฉางเซิงหยิบยาออกมา วางลงที่พื้นตรงหน้าของตน
มองดูภาพเหตุการณ์นี้ อสูรกระทิงค่อยๆ ก้มหัวลงมาแสดงความขอบคุณ หลังจากนั้นก็ชูห่างขึ้นมา ราวกับเป็นเสาของธง
ยักษ์ล้มภูเขายืนขึ้นมา ส่งเสียงคำรามไปทางทุ่งหญ้ากว้างที่อยู่ด้านหลัง ฝูงสัตว์อสูรขยับราวกับสายน้ำ หลังจากนั้นก็เริ่มแบ่งแถวกัน แสดงถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นอย่างมาก ถึงแม้พวกนั้นจะเป็นศัตรูที่ตามปกติแค่เจอหน้าก็จะฆ่ากันให้ตาย ในตอนนี้ต่อให้ต้องเบียดอยู่ด้วยกัน ก็ไม่กล้าที่จะมีการเคลื่อนไหวใด
เฉินฉางเซิงค่อนข้างจะคิดไม่ถึง หลังจากนิ่งอึ้งไปถึงได้เคลื่อนไหวต่อ ผ่านไปไม่นาน ตรงหน้าก็เต็มไปด้วยยาสมุนไพร ราวกับเป็นภูเขาลูกน้อยก็ไม่ปาน
มองดูสมุนไพรที่เหมือนภูเขาลูกเล็กกองนั้น ต่อให้เป็นอสูรกระทิงกับยักษ์ล้มภูเขาที่ในตอนนั้นเคยติดตามโจวตู๋ฟูและเคยเห็นโลกมามาก สายตาก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหม่อลอย
วานรดินตัวนั้นยิ่งไปกันใหญ่ พลันรีบเบียดแทรกอสรพิษวารีตัวใหญ่ที่อยู่ด้านข้างออกมา ขาหน้าก็ฟาดกับพื้นไม่หยุด และพุ่งมาถึงด้านหน้าสุดของฝูงสัตว์อสูรด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้า หลังจากนั้นก็ล้มลงที่ใต้เท้าของเฉินฉางเซิง
มันช่างมีฝีมืออย่างมาก ขาหน้ายกขึ้นสูง ร่างกายครึ่งล่างที่ขาดแหว่งก็ฟาดกับพื้นเบาๆ ทำให้เศษฝุ่นกระจายขึ้นมาน้อยๆ แสดงถึงความนอบน้อมเชื่อฟังเป็นอย่างมาก
ครั้งก่อนมันเคยจูบพื้นใต้เท้าของเฉินฉางเซิง แต่นั่นเป็นการแสดง เทียบไม่ได้กับความจริงใจในตอนนี้
เพราะว่ามันยืนยันแล้วว่าเฉินฉางเซิงยินดีจะช่วยเหลือสัตว์อสูรพวกนี้จริงๆ ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เขาถึงกับมีความสามารถที่จะช่วยเหลือสัตว์อสูรพวกนี้จริงๆ
“พวกเจ้า…แบ่งกันเองเถอะ และใช้กฎที่พูดไปเมื่อวาน”
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะสื่อสารกับสัตว์อสูรพวกนี้อย่างไร หลังจากที่คิดดูแล้วก็พูดประโยคนี้ออกมา หลังจากนั้นก็เดินออกไปที่รอบนอกของทุ่งหญ้า
ฝูงสัตว์อสูรที่อยู่ด้านหลังเขาโค้งต่ำราวกับสายน้ำ เพื่อที่จะน้อมส่งเขา
เมื่อวานเขาได้ค้นหาโดยรอบสวนโจวอย่างละเอียดแล้ว วันนี้เขาไม่จำเป็นต้องทำซ้ำอีกครั้ง แต่ตรงไปที่สระเยือกเย็นตรงทะเลสาบที่ภูเขาลูกนั้น
ส่วนลึกของทะเลสาบ เขาได้พบไข่มุกราตรีที่ลั่วลั่วเคยมอบให้กับตน แล้วยังมีคัมภีร์ลัทธิเต๋าทั้งสามพันเล่มพวกนั้นที่เขานำติดตัวจากเมืองซีหนิงมายังจิงตู สุดท้ายก็ขุดกล่องที่ใส่ตั๋วเงินกับสมบัติล้ำค่าที่ฝังอยู่ในโคลน ส่วนอาหารพวกนั้นที่เขาติดมาให้มังกรดำกินระหว่างทาง ก็ถูกปลาหรือสิ่งมีชีวิตอื่นที่อยู่ในทะเลสาบกินไปจนเกลี้ยงแล้ว
เขานำของเหล่านี้กลับขึ้นมาบนฝั่ง เขามองดูท้องฟ้า แล้วก็นำชุดกับหนังสือที่เปียกน้ำมาตากบนโขดหิน เขารู้ว่านี่เป็นงานที่วุ่นวายอย่างมาก เขาเดินไปมาอยู่บนโขดหินตรงชายฝั่งไม่หยุด ราวกับกำลังดำเนินการจัดพิธีที่ยิ่งใหญ่อย่างมากพิธีหนึ่ง
โขดหินบนฝั่งข้างทะเลสาบระยะประมาณหนึ่งลี้ ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยหนังสือ รอยเปียกที่อยู่ในหนังสือค่อยๆ ระเหยออกมาจากการวางไว้ใต้แสงแดด
เฉินฉางเซิงอาศัยเวลาพัก นำเอาตั๋วเงินกับสมบัติล้ำค่าพวกนั้นในกล่องออกมา ใช้ผ้าเช็ดหน้าค่อยๆ เช็ดทีละชิ้นๆ จนสะอาด
ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นของชิ้นเล็กชิ้นหนึ่ง
นั่นเป็นแมลงปอที่ทำจากไม้ไผ่ตัวหนึ่ง เดิมทีก็เก่าอย่างมากแล้ว และยิ่งเป็นเพราะดูแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน จึงซีดขาวไปตั้งนานแล้ว บางจุดถึงกับใกล้จะเปื่อยไปแล้ว
นี่เป็นหลักฐานในการส่งจดหมายกับคนผู้หนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ตั้งแต่สมัยที่เขายังอยู่ที่เมืองซีหนิง และก็เป็นความทรงจำในวัยเด็ก
มองดูแมลงปอไม้ไผ่ เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หนังสือพวกนั้นยังไม่เปื่อยไป แต่มันกลับทนไม่ไหวแล้ว เมื่อเทียบกับวัตถุดิบแล้ว ก็ยังเป็นระยะเวลาที่สำคัญกว่าจริงๆ
ไม่มีสิ่งใดที่สามารถทนต่อการทดสอบของกาลเวลาไปได้
สัญญาหมั้นฉบับนั้นถูกถอนออกไปแล้ว เขากับนางหลังจากนี้ไปก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จิตใจของเขาก็ผ่อนคลายขึ้นมา ราวกับได้ปลดภาระที่หนักหนาลงไปแล้ว
แต่ไม่รู้ว่าทำไม เขาถึงรู้สึกเหมือนว่าได้สูญเสียอะไรไป ในใจรู้สึกโหวงๆ อยู่บ้าง
……
……
ฤดูร้อนค่อยๆ ถอยไป ฤดูใบไม้ร่วงค่อยๆ เข้ามา ฤดูหนาวเองก็อยู่ไม่ไกลแล้ว
นอกประตูสำนักฝึกหลวงได้เงียบสงบขึ้นมามาก น้อยมากที่จะมีการต่อสู้เกิดขึ้นอีก ชาวเมืองจิงตูที่มาดูเรื่องสนุกก็ค่อยๆ หมดความสนใจไป ศาลาบนถนนฝั่งตรงข้ามนั่น ในที่สุดในช่วงเทศกาลซิงชิวก็ได้รื้อถอนไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศเริ่มเย็นแล้ว แสงอาทิตย์ไม่ได้แผดเผาแล้ว หรือว่าเป็นเพราะสาเหตุอื่น
ภายในสำนักฝึกหลวงก็คึกคักขึ้นมามาก ทุกคนวันตอนเช้าตรู่เป็นต้นมา ก็จะได้ยินเสียงอ่านหนังสือ เมื่อถึงเวลากินข้าว ก็จะได้ยินเสียงเหล่านักเรียนเคาะชามข้าว แน่นอนว่าที่มากยิ่งกว่าก็ยังเป็นเสียงหัวเราะพูดคุยอย่างมีความสุข
สวนร้อยหญ้าที่ห่างกับสำนักฝึกหลวงเพียงกำแพงกั้น ที่จริงก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจนถึงที่สุด เป็นเพียงเพราะมีคนน้อยมากที่เข้าไปดู ดังนั้นจึงไม่ถูกใครพบ สมุนไพรจำนวนนับไม่ถ้วนในนั้นล้วนหายไปเกลี้ยง จนกระทั่งถึงวันหนึ่ง มีขันทีผู้หนึ่งจากพระราชวังได้รับคำสั่งให้มาค้นหาสมุนไพรต้นหนึ่ง
สมุนไพรต้นนั้นล้ำค่าเป็นอย่างมาก พูดกันว่ามันมีสรรพคุณต่อเรื่องผิวพรรณเป็นอย่างมาก ถ้าหากผสมยาอย่างเหมาะสม หลังจากปรุงเป็นยาแล้ว กระทั่งสามารถทำให้กระดูกงอกขึ้นมาได้ ที่พระราชวังรีบร้อนจะค้นหาสมุนไพรต้นนี้ ก็เป็นเพราะบนใบหน้าขององค์หญิงผิงกั๋วมีสิวปรากฏขึ้นมาหนึ่งเม็ด เพราะเหตุนี้นางจึงโมโหจนกินข้าวไม่ลง โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ยินว่าสวีโหย่วหรงใกล้จะกลับมาที่จิงตูแล้ว
ขันทีผู้นั้นหาสมุทรไพรต้นนั้นไม่พบ เขามองดูสวนร้อยหญ้าที่รกร้างไปมากอย่างชัดเจน ใบหน้าก็ซีดขาวจนถึงที่สุด ในใจคิดว่าสายลมของฤดูใบไม้ร่วงในปีนี้จะโหดไปหน่อยหรือเปล่า
สมุนไพรกับผลไม้ทิพย์ในสวนร้อยหญ้า แน่นอนว่าถูกเฉินฉางเซิงกวาดเอาไป
ในช่วงหลายวันมานี้ เขาก็ใช้ชีวิตอย่างสงบและจริงจังเหมือนกับเมื่อสิบหกปีก่อน อ่านหนังสือ บำเพ็ญเพียร ฝึกกระบี่ หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตผ่านวันเกิดอายุสิบหกปีของตน
ที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากหลายปีก่อนก็คือ วันที่สามหลังจากวันเกิดของเขา เขาไม่ได้คิดถึงอีกคนหนึ่งในวันเกิด
เขาเองก็วิเคราะห์กำไลลูกปัดหินเส้นนั้นอย่างจริงจัง เพื่อที่จะบรรลุบางอย่างที่อยู่บนแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เหล่านี้ แต่ในตอนนี้ยังไม่ได้พบอะไร
ระดับความแข็งแกร่งของเขามั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ระยะห่างจากขั้นสูงสุดของขั้นทะลวงอเวจีก็ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แต่ปัญหาของร่างกายตั้งแต่ต้นจนจบกลับยังไม่ได้แก้ไขใดๆ เงามืดสายนั้นก็ยังจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ อยู่ตรงด้านหน้า
ภายใต้การชี้แนะของเขา ปัญหาชีพจรของลั่วลั่วก็บรรลุขึ้นมาอย่างแท้จริง วิชาการบำเพ็ญเพียรของมนุษย์ก็ไม่เป็นอุปสรรคอะไรอีกแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือ หลังจากที่แก้ปัญหาข้อนี้ไปแล้ว ขอเพียงแค่กระตุ้นสายเลือดอีกครั้ง ก็เป็นไปได้อย่างมากว่านางจะสามารถบรรลุอุปสรรคของราชวงศ์เผ่าปีศาจที่มีมาหลายปี ใช้ร่างกายของสตรีเรียนรู้วิชาที่ทรงพลังของจักรพรรดิขาวได้
สำหรับเผ่าปีศาจแล้ว นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมากมายขนาดไหน ไม่ต้องถามก็รู้ หลังจากที่ข่าวกระจายกลับไปถึงเผ่าปีศาจ เหล่าเผ่าปีศาจที่อยู่สองฝั่งของแม่น้ำแดงแปดร้อยลี้ได้ฉลองกันอย่างบ้าคลั่งถึงสามวันสามคืน อีกทั้งยังได้ยินอีกว่าเมืองไป๋ตี้ได้ส่งคณะทูตมา เพื่อที่จะมอบของขวัญชุดใหญ่ที่คนธรรมดาไม่อาจจะจินตนาการได้ให้แก่สำนักฝึกหลวงและเฉินฉางเซิง
การที่สามารถแก้ปัญหาของลั่วลั่วได้ แน่นอนว่าก็สามารถแก้ไขปัญหาของเซวียนหยวนผ้อได้เช่นกัน หลังจากที่แผลที่แขนขวาหายดีแล้ว เด็กหนุ่มเผ่าหมีก็เริ่มฝึกวิชาอัสนีสวรรค์ ความแข็งแกร่งได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด หมัดเหล็กทั้งสองข้างเรียกสายฟ้า สามารถเรียกได้ว่าทรงพลังเป็นเอก จินอวี้ลวี่เคยตั้งใจมาดูที่สำนักฝึกหลวงอยู่ครั้งหนึ่งก็ปลื้มใจเป็นอย่างมาก และตัดสินใจตรงนั้นเลยว่าหลังจากที่กลับเมืองไป๋ตี้ จะต้องร้องขอให้มีการตกรางวัลให้กับเผ่าหมีอย่างงาม
เซวียนหยวนผ้อรู้สึกน้ำตาคลอเพราะความปลื้มปีติ ต่อไปก็ไม่ต้องรู้สึกละอายใจเพราะว่าตัวเองที่อยู่ในเมืองจิงตูของเผ่ามนุษย์ทุกวันล้วนได้กินกุ้งมังกรสีคราม แต่พ่อแม่พี่น้องที่บ้านเกิดกลับต้องล่าสัตว์บนภูเขาและใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก
เฉินฉางเซิงเองก็ดีใจแทนเขา โดยที่ไม่ได้พบว่าในคำพูดของจินอวี้ลวี่นี้ยังมีข่าวบางอย่างซ่อนเอาไว้
บาดแผลของเจ๋อซิ่วเองก็ค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว การพักผ่อนของเขาแตกต่างกับคนป่วยคนอื่นที่นอนอยู่บนเตียงแล้วต้องใช้เวลาในการรักษา เขานอนอยู่บนเตียงดูเหมือนไม่ขยับตัว แต่ที่จริงแล้วไม่มีเวลาใดเลยที่ไม่ใช้ปราณแท้ทะลวงเส้นชีพจรที่ตีบตันและขาดเสียหายจากการบาดเจ็บ ความเจ็บปวดแบบนั้นมีเพียงแค่ตัวเขาที่สามารถรับรู้ เรื่องที่เฉินฉางเซิงสามารถทำได้ก็มีเพียงการใช้เข็มทองช่วยลดทอนความเจ็บปวดของเขา
ก็เหมือนกับที่เขาเคยพูดเอาไว้ ความเจ็บปวดเป็นวิธีที่จะกระตุ้นพลังชีวิตที่ได้ผลและตรงไปตรงมาที่สุด…ในคืนหนึ่งกลางฤดูใบไม้ร่วง เขาไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นช่วยพยุงให้ลุกจากเตียง หลังจากนั้นก็ใช้เวลาครึ่งคืนเต็มๆ เดินจากบนอาคารลงไปที่ข้างทะเลสาบ หลังจากนั้นก็ส่งเสียงหอนใส่ท้องฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ทุกคนในสำนักฝึกหลวงล้วนสะดุ้งตื่นขึ้นมา เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วพุ่งไปที่ข้างทะเลสาบ มองดูเขาที่ซูบผอมไป ก็รู้สึกหดหู่อย่างน่าประหลาด และพูดไม่ออก บาดแผลของเจ๋อซิ่วหายดีแล้ว ขนาดที่อาศัยกำลังทะลวงจุดลมปราณทั้งสิบเจ็ดแห่งที่มีเฉพาะในร่างของเผ่าปีศาจ ขอเพียงแค่ให้เวลาที่พอเพียงกับเขาได้ปรับตัวให้มั่นคง ระดับความแข็งแกร่งจะต้องก้าวหน้าไปถึงขั้นที่น่าหวาดกลัวอย่างมากเป็นแน่
ทั่วทั้งจิงตูล้วนได้ยินเสียงหอนนี้
ตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งเงียบเสียจนเหมือนเป็นสถานที่แห่งความตายก็ไม่ปาน โจวทงที่ราวกับเพิ่งจะฟื้นจากอาการป่วยหนักพลันเงยหน้าขึ้นมา มองไปทางสำนักฝึกหลงแวบหนึ่ง สีหน้ามีความเฉยเมย ไร้ซึ่งความใส่ใจ
ในช่วงนี้โจวทงยุ่งมาก เขากำลังยุ่งเรื่องการจัดการราชสำนัก ยุ่งเรื่องการติดต่อกับใครบางคนที่แดนใต้ เตรียมตัวต้อนรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปีหน้า ใช่ คนจำนวนมากล้วนรู้สึกได้แล้ว ว่ามีคลื่นใต้น้ำสายหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ ขนาดที่จิงตูก็ยังสงบลงไปมาก แต่นั่นไม่ได้เป็นเรื่องแย่ กลับกันคือมันได้นำพามาซึ่งความหวังบางอย่าง
การเชื่อมสัมพันธ์เหนือใต้ดูเหมือนว่าจะมีกำหนดการอภิปรายรายงานขึ้นมาจริงๆ แล้ว
ไม่มีคนเข้าใจว่านี่เป็นเพราะอะไร
ซูหลียังอยู่ที่เขาหลีซาน
เขาหลีซานยังอยู่ในเทียนหนาน
ทำไมคนจำนวนมากถึงได้ยืนยันแล้ว ไม่ว่าซูหลีจะอยู่ที่เขาหลีซานหรือไม่ ล้วนจะไม่ขัดขวางเรื่องนี้
การต่อสู้กับเผ่ามาร เป็นเรื่องที่ใหญ่โตที่สุดของเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจ ไม่มีเรื่องใดที่จะสามารถนำมาเทียบเคียงกับเรื่องนี้ได้ การเชื่อมสัมพันธ์เหนือใต้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการรวมกลุ่มกัน
ไม่ว่าจะเป็นจิงตูหรือเทียนหนานหรือเมืองไป๋ตี้ ล้วนต้องเตรียมพร้อมสำหรับการดำเนินการในเรื่องนี้
จิงตูกับเทียนหนานต้องพิจารณาถึงการแบ่งอำนาจของทั้งสองฝ่าย เรื่องที่เมืองไป๋ตี้ต้องพิจารณาก็ค่อนข้างจะง่ายดายแล้ว สำหรับสามีภรรยานักปราชญ์คู่นั้นเพียงต้องรับรองว่าสายเลือดของตนจะสามารถปกครองเมืองของเผ่าปีศาจได้ต่อไป รับรองได้ถึงความสงบของสองฝั่งแม่น้ำแดง นี่ก็คือคุณูปการที่ใหญ่หลวงที่สุดของการร่วมมือระหว่างเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจ ดังนั้น ในเวลาเดียวกับที่คณะทูตของเมืองไป๋ตี้มาถึงจิงตู เพื่อมอบของขวัญให้แก่สำนักฝึกหลวงกับเฉินฉางเซิง ก็ยังมีอีกภารกิจหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่า นั่นก็คือการพาองค์หญิงลั่วลั่วกลับไป