ใบของต้นไทรย้อยร่วงลงมาเป็นจำนวนมากแล้ว เมื่อยืนอยู่บนต้นแล้วมองไกลออกไป ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังหลีหรือสุสานเทียนซูล้วนชัดเจนถึงเพียงนั้น ราวกับว่าอยู่ที่ตรงหน้า
“คิดไม่ถึงจริงๆ” เฉินฉางเซิงมองไปยังลั่วลั่วที่อยู่ข้างกาย นิ่งเงียบเป็นเวลานาน แล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “คิดไม่ถึงเลย”
“อันที่จริงตอนแรกที่มายังจิงตูนั้นเป็นเจตนาของเสด็จแม่ นางอยากจะรู้ว่าใต้เท้าสังฆราชหรือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะสามารถช่วยข้าแก้ปัญหาเรื่องเส้นชีพจรได้หรือไม่ ไม่เช่นนั้นในอนาคตข้าก็จะไม่สามารถฝึกวิชาของเผ่าจักรพรรดิขาวได้ และไม่อาจสืบราชบัลลังก์ต่อไป ไม่แน่ว่าจะต้องแต่งงานกับคนที่ข้าไม่อยากแต่ง แต่เสด็จแม่จะต้องคิดไม่ถึงอย่างแน่นอนว่าปัญหาที่ใต้เท้าสังฆราชกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยังไม่สามารถแก้ไขได้นี้ กลับถูกอาจารย์แก้ไขไปแล้ว”
ลั่วลั่วเงยหน้าขึ้น มองใบหน้าของเขาด้วยความเลื่อมใสแล้วพูดขึ้น “อาจารย์ ท่านช่างสุดยอดจริงๆ”
“ข้าเพียงแค่ชอบครุ่นคิดเรื่องปัญหาเกี่ยวกับชีพจรมาตั้งแต่ยังเล็ก…”
เฉินฉางเซิงนึกถึงปัญหาข้อนี้ที่ตัวเขาแก้ไขไปได้ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว ดังนั้นจึงนิ่งเงียบไป
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าลั่วลั่วจะจากไป ถึงแม้ว่าการที่นางจากไปจะเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล…นางมาที่จิงตูเพื่อเล่าเรียนหรือจะพูดว่ามารักษาอาการป่วย ในตอนนี้นางเรียนรู้แล้วว่าจะฝึกวิชาของมนุษย์อย่างไร มองเห็นความเป็นไปได้ที่จะสืบทอดตำแหน่งของจักรพรรดิขาว รักษาอาการป่วยแล้ว เช่นนั้นแน่นอนว่าก็ต้องกลับเมืองไป๋ตี้ เพราะว่านางเป็นองค์หญิงของแม่น้ำแดง ที่นั่นมีประชาชนนับร้อยล้านคนที่รอคอยการดูแลของนาง
แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีสัญญาณใดๆ เลย ตอนที่พบกันที่พระราชวังกับพระราชวังหลี นางก็ไม่เคยพูดถึงมาก่อน
เอาเถอะ พวกนี้ล้วนเป็นเพียงข้ออ้าง ถึงจะไม่กะทันหันแล้วอย่างไร เขาก็ยังตัดใจไม่ได้อยู่ดี เพราะว่าตัดใจไม่ได้จริงๆ
เข้าสู่ยามสนธยา ทะเลสาบกับต้นไม้ของสำนักฝึกหลวงล้วนราวกับถูกเผาขึ้นมา ลั่วลั่วเดินกำลังจะเดินออกจากสำนักฝึกหลวง ทันใดนั้นก็หยุดเท้าลง หลังจากนั้นก็หันกลับมา ซบลงไปในอ้อมกอดของเขาอย่างแผ่วเบา
เฉินฉางเซิงรู้ความรู้สึกของนาง เพราะความรู้สึกของเขาก็เป็นเช่นกัน จึงยื่นมือออกไปลูบศีรษะของนาง ในเวลาที่ผ่านมาเกือบจะสองปีนี้ เขากับนางมักจะนั่งเคียงกัน หรือจูงมือกัน หรือนางจะเอาหัวก็ซบกับอกของเขา เพราะว่าสนิทสนมกัน ดังนั้นจึงไม่รู้สึกเช่นไร และในสายตาของเขา นางก็เป็นเด็กสาวผู้หนึ่ง เหมือนน้องสาวหรือไม่ก็ลูกสาว…
“อาจารย์ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าหลอกท่านมาโดยตลอด”
ลั่วลั่วเงยหน้ามองเขา ดวงตากะพริบไปมา แล้วพูดขึ้น “ที่จริงข้าไม่ได้อายุสิบสองปี ข้ากับอาจารย์มีอายุเท่ากัน”
เฉินฉางเซิงชะงักไป ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ขนาดที่ยิ่งไม่รู้ว่าควรจะวางมือเอาไว้ตรงไหน เขารู้สึกว่าวางตรงไหนก็ล้วนผิดไปหมด
“เจ้า…หลอกกันได้อย่างไร”
“อาจารย์ ตัวเจ้าโง่เองจึงมองไม่ออก แล้วยังจะโทษข้าอีก…” ลั่วลั่วเบิกตาโต มองเขาแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง
เฉินฉางเซิงไร้คำพูดจะเอ่ย
ในสำนักฝึกหลวงมีเสียงหัวเราะราวกระดิ่งเงินดังขึ้น
คิกๆ คิกๆ
ลั่วลั่วไปแล้ว กลับเมืองไป๋ตี้ไปเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่นางต้องเจอ
เสียงหัวเราะของนางดังสะท้อนอยู่ในทะเลสาบกับต้นไทรย้อยของสำนักฝึกหลวงอยู่หลายปี
จนกระทั่งให้หลังอีกเนิ่นนาน นักเรียนของสำนักฝึกหลวงพูดถึงองค์หญิงเผ่าปีศาจในตำนานผู้นั้น รองเจ้าสำนักที่พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อน แล้วยังแสดงความปลงอนิจจังออกมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด ในเวลาเดียวกันก็มีคำบ่นต่อถังซานสือลิ่วอย่างไม่จบสิ้น ตอนแรกที่เขารับนักเรียนใหม่นั้นพูดเอาไว้อย่างไร
……
……
ลั่วลั่วไปแล้ว คนที่เข้าออกสำนักฝึกหลวงก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
อาจารย์ที่มาทำการสอนจากสำนักการศึกษากลาง อาจารย์ซินถ้าไม่มีธุระก็มักจะมาที่นี่ บางครั้งเหมาชิวอวี่ก็จะไปนั่งบนโรงน้ำชาที่อยู่นอกสำนักฝึกหลวงอยู่ครู่หนึ่ง
ผู้ที่มาเป็นแขกของสำนักฝึกหลวงมากที่สุดคือเฉินหลิวอ๋อง เวลาสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวได้มากมาย รวมทั้งมุมมองของคน เพราะว่าเวลาคือมาตรฐานเพียงอย่างเดียวที่ใช้ทดสอบสัจธรรมกับใจคน ในการติดต่อและอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเฉินฉางเซิงหรือเซวียนหยวนผ้อ แม้กระทั่งเจ๋อซิ่วที่มีนิสัยเย็นชาก็ล้วนรับรู้ได้ถึงเจตนาที่จะปกป้องสำนักฝึกหลวงด้วยใจจริงของท่านอ๋องหนุ่มผู้นั้น ทั้งสองฝ่ายยิ่งสนิทสนมขึ้นเรื่อยๆ
แต่เวลาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องทุกอย่างไปได้ ยกตัวอย่างเช่นก้อนหินในห้องน้ำก็ยังคงทั้งแข็งทั้งเหม็นอยู่เสมอ ถังซานสือลิ่วยังคงไม่ชอบเฉินหลิวอ๋อง แม้กระทั่งการเสแสร้งก็ยังขี้เกียจจะทำ ทุกครั้งที่เฉินหลิวอ๋องมาเป็นแขกของสำนักฝึกหลวง หลังจากที่เขาถากถางอยู่สองสามประโยคแล้วก็จะลุกออกไป วันนี้ก็ยังเป็นเช่นนี้ แม้เฉินหลิวอ๋องจะได้รับการอบรมมาดีขนาดไหน บนใบหน้าก็ยังอดไม่ได้ที่จะปรากฏความกระอักกระอ่วนออกมา
เฉินฉางเซิงรู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงเอ่ยขอโทษแทนถังซานสือลิ่ว แล้วก็ไปตามหาเขา อยากจะถามเขาว่าทำไมถึงต้องทำเช่นนี้ แต่หลังจากที่เขาเจอถังซานสือลิ่วในส่วนลึกของป่าผืนนั้นในสำนักฝึกหลวง ก็ลืมเรื่องที่ตนจะถามเขาเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะว่าอย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และถังซานสือลิ่วในตอนนี้ก็กำลังทำเรื่องที่น่าประหลาดเป็นอย่างมาก
ถังซานสือลิ่วไม่ได้โค่นต้นไม้เหมือนกับเซวียนหยวนผ้อ และก็ไม่ได้ฝังตัวเองไว้ใต้ใบไม้เพื่อเตรียมตัวจะนอนไปเจ็ดวันเจ็ดคืนเหมือนกับเจ๋อซิ่ว เขากำลังนั่งยองๆ อยู่ใต้ต้นไม้และออกแรงนำของสิ่งหนึ่งสอดเข้าไปในโพรง เฉินฉางเซิงเห็นอย่างชัดเจน ของที่ถูกสอดเข้าไปในโพรงต้นไม้คือกระบี่เล่มหนึ่ง อีกทั้งยังไม่ใช่กระบี่ธรรมดา แต่เป็นกระบี่มีชื่อที่เมื่อวานเขาเพิ่งจะขอกับเขาไป
“เจ้ากำลังทำอะไร” เขาถามขึ้นอย่างตกตะลึง
ถังซานสือลิ่วไม่หันหน้ากลับมาก็พูดขึ้น “เคยพูดกับเจ้าแล้ว ข้าเตรียมจะเอากระบี่พวกนั้นของเจ้ามาซ่อนเอาไว้ ภายหลังให้คนมาค้นหา”
เฉินฉางเซิงมองถามเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ช่วงนี้ทุกสองวันเจ้ามาหาข้าแล้วก็เอากระบี่ไปเล่มหนึ่ง…ไม่เห็นว่าเจ้าจะเอามาคืน หรือว่าล้วนถูกเจ้าซ่อนไปหมดแล้ว”
ถังซานสือลิ่วกลบขอบของโพรงต้นไม้ ทำการปกปิดเอาไว้อย่างลวกๆ หลังจากที่ประเมินดูก็ถือว่าน่าพอใจ จึงยืนขึ้นมาแล้วพูดกับเขา “ไม่เช่นนั้นเล่า หรือว่าข้าจะเอากระบี่พังๆ พวกนี้ของเจ้าไปขายเอาเงินมาซื้อเหล้าดื่มกัน”
เฉินฉางเซิงไร้คำจะพูดอย่างมาก แล้วพูดขึ้น “แต่นั่นเป็นกระบี่ของข้า เจ้ารีบเอาคืนมา”
“ทั้งหมดก็เอาจากเจ้ามาร้อยกว่าเล่มแล้ว ถึงขนาดต้องกังวลขนาดนี้เชียวหรือ”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะเอากระบี่พวกนี้มาซ่อน ข้ายังนึกว่าเจ้าจะอาศัยเจตจำนงกระบี่มาเรียนรู้วิชากระบี่ ดังนั้นถึงได้ตั้งใจเลือกกระบี่ที่ดีที่สุดพวกนั้นให้กับเจ้า…”
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร ดูท่าทางขี้งกของเจ้านั่น ก็แค่กระบี่พังๆ ไม่กี่เล่ม สองปีมานี้ข้าให้เงินเจ้าไปมากมายขนาดไหนแล้ว”
“นี่ไม่ใช่เรื่องเงิน…ต่อให้เจ้าต้องการ เจ้าก็ต้องพูดกับข้าก่อนนะ ถ้าหากให้ข้ารู้ว่าเจ้าจะทิ้งขว้างของเช่นนี้ ข้าจะให้กับเจ้าได้อย่างไร”
“นี่ก็ชัดเจนแล้ว เห็นได้ชัดว่าถ้าเจ้ารู้แล้วก็จะไม่ให้กับข้า เช่นนั้นข้ายังจะบอกเหตุผลกับเจ้าก่อนอีกทำไม เจ้าคิดว่าข้าเป็นเซวียนหยวนผ้อหรือ โง่นัก!”
“ข้าไม่สน อย่างไรเสียเจ้าก็รีบหากระบี่พวกนั้นให้เจอ”
“ข้าก็ไม่สน ซ่อนกระบี่นั้นเหนื่อยนัก ยังต้องหาออกมาอีก ช่างวุ่นวายนัก อีกอย่าง ในห้องน้ำก็เหม็นมาก”
“เจ้า…ถึงกับเอากระบี่ของข้าไปซ่อนไว้ในห้องน้ำ!”
“เจ้าก็ทำเป็นว่าไม่ได้ยิน อย่างไรเสียข้าก็ขี้เกียจจะไปหา”
“เช่นนั้นข้าไปเอง เจ้ารีบบอกข้า กระบี่พวกนั้นซ่อนอยู่ที่ไหน”
“ในเมื่อเป็นการซ่อน…แน่นอนว่าไม่สามารถบอกสถานที่กับเจ้าได้ เจ้าต้องหาด้วยตัวเอง สามารถหาเจอก็ถือว่าเจ้าร้ายกาจแล้ว*”
“ขออย่าได้ใช้คำว่า ‘แล้ว’ คำนี้”
“ลั่วลั่วทำหัวไชเท้าร่วงลง*ไปแล้ว”
“เจ้า…คราวหลังอย่าได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก”
“โง่จนเหมือนกับเจ้านี้ ยังเทียบไม่ได้กับหัวไชเท้า”
“ข้ากำลังถามเจ้าเรื่องกระบี่”
“เล่นซ่อนแอบสนุกอย่างมากนะ”
“…ข้าทำอะไรผิดไปหรือไม่”
“อย่างไรเสียคำแนะนำของข้าคือ ต่อให้ในอนาคตเจ้าเป็นใต้เท้าสังฆราช ก็อย่าได้ไปที่เมืองไป๋ตี้”
“ทำไม”
“ข้ากังวลว่าจักรพรรดิขาวจะกลืนเจ้าไปทั้งเป็น”
“…”
“ที่จริงนะ ถึงแม้เจ้าจะโง่ไปบ้าง แต่ก็อย่างที่ว่าคนโง่ก็มีโชคของคนโง่ ไม่เช่นนั้นถ้าเจ้าแต่งกับลั่วลั่วจริงๆ นั่นก็เท่ากับได้แต่งกับแม่เสือตัวหนึ่ง ชีวิตในอนาคตจะอยู่อย่างไรเล่า”
*คำว่าแล้ว (咯) ในภาษาจีนสามารถออกเสียงว่า ‘ลั่ว’ ได้ ถังซานสือลิ่วใช้เพื่อสื่อถึงลั่วลั่ว
*คำว่าตกลง/ร่วงลง (落) เป็นตัวอักษรเสียงเดียวกับชื่อของลั่วลั่ว เป็นการเล่นคำพ้องเสียงในภาษาจีน