กาลเวลาก็มักจะไหลผ่านไประหว่างการบอกลากับการโต้เถียงกันเช่นนี้
ถึงแม้จนกระทั่งถึงตอนนี้ จะไม่มีร่องรอยแสดงให้เห็นว่าซูหลีกับตัวแทนคนของแดนใต้ทั้งหมดได้ละทิ้งความเชื่อที่พวกเขายึดถือกันมาเนิ่นนานหลายปี แต่ทุกคนล้วนมองเห็นถึงรายละเอียดเล็กๆ มากมายนับไม่ถ้วน การเชื่อมสัมพันธ์เหนือใต้นั้นเป็นเรื่องที่จะต้องทำให้ได้ และก็เป็นในตอนนี้เอง เรื่องที่พูดไปแล้วดูจะเป็นเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่ง ก็ถึงกับสยบเรื่องใหญ่เรื่องนี้ไปแล้ว
ที่พูดว่านั่นเป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นเพราะนั่นคือเรื่องการแต่งงานงานหนึ่ง
พูดกันว่าข่าวนั้นกระจายออกมาจากพระราชวังหลี ในการคุยกันอย่างเป็นส่วนตัวครั้งหนึ่ง ใต้เท้าสังฆราชได้ยอมรับว่า เขานั้นถอนการหมั้นหมายระหว่างเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงไปแล้ว
ข่าวนี้กระจายไปทั่วจิงตูจนถึงทั่วดินแดนต้าลู่อย่างลับๆ แต่ก็ไม่ได้มีหลักฐานใด ทางด้านจวนขุนพลเทพตงอวี้กับสำนักฝึกหลวงก็รักษาความเงียบเอาไว้ แต่กลับทำให้คนค่อยๆ เชื่อกันแล้ว
ในงานชุมนุมไม้เลื้อย คณะทูตจากแดนใต้เดินทางมาสู่ขอแทนชิวซานจวิน ในตอนนั้นเฉินฉางเซิงที่ยังไม่มีชื่อเสียงกลับผลักประตูเข้าไป นำเอาสัญญาหมั้นออกมาแผ่นหนึ่ง หลังจากนั้นก็มีนกกระเรียนขาวบินมาจากเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
ตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้ การแต่งงานนี้ก็เป็นเรื่องที่ทั่วทั้งต้าลู่พูดคุยกัน เพราะว่าสัญญาหมั้นฉบับนี้เกี่ยวโยงไปถึงคนหนุ่มสาวทั้งสามคนที่มีอนาคตกว้างไกลและยอดเยี่ยมที่สุดในโลกมนุษย์ และยังมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องราวอีกมากมาย…นิกายหลวง เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ตระกูลชิวซานกับพรรคกระบี่หลีซาน สามารถพูดได้ว่าเป็นกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนต้าลู่ เป็นเพราะสัญญาหมั้นฉบับนี้ถึงได้ถูกโยงเข้าด้วยกัน
หรือว่าเรื่องราวจะจบลงเช่นนี้
ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริง เฉินฉางเซิงเป็นผู้ขอให้ใต้เท้าสังฆราชถอนหมั้น เช่นนั้นจวนขุนพลเทพตงอวี้ที่ถูกเยาะเย้ยมาเป็นเวลานานจะทำเช่นไร บุตรสาวซึ่งเป็นหงส์สวรรค์ที่ถูกทุกคนเอ็นดูและเลื่อมใสผู้นั้น ในตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่บีบคั้นเช่นนี้ ในเวลานี้จะมีความรู้สึกเช่นไร
คนจำนวนมากเป็นเพราะข่าวลือนี้จึงมีความโกรธแค้นต่อเฉินฉางเซิงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะพวกที่เลื่อมใสบูชาสวีโหย่วหรงเหล่านั้น
แต่อย่างไรเสียก็เป็นแค่ข่าวลือ ไม่มีใครสามารถไปถามใต้เท้าสังฆราชต่อหน้าได้ แน่นอนว่าก็ไม่มีเหตุผลที่จะไประบายเพลิงโทสะของตนที่สำนักฝึกหลวง
ถึงแม้ผู้คนอยากจะไปถามเฉินฉางเซิงต่อหน้าว่าเรื่องนี้สรุปแล้วเป็นจริงหรือไม่ แต่ก็ยากที่จะพบตัวเฉินฉางเซิง ดังนั้นความรู้สึกทั้งหมดจึงทำได้เพียงค่อยๆ ตกตะกอนหมักตัว บ้างก็โกรธเกรี้ยว บ้างก็ถากถาง บ้างก็เพียงแค่อยากจะดูเรื่องสนุก เพราะความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้ ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ถึงได้ยิ่งรอคอยวันที่สวีโหย่วหรงจะกลับมาที่จิงตู รอคอยการต่อสู้ของทั้งสองที่ราวกับถูกโชคชะตาลิขิตไว้
……
……
เฉินฉางเซิงนั้นถูกคนพบตัวได้ยากจริงๆ หลายวันมานี้เขาเก็บตัวมาโดยตลอด โดยเฉพาะหลังจากที่ข่าวการหมั้นหมายถูกใต้เท้าสังฆราชยกเลิกไปนั้นลือกันอย่างลับๆ
เพราะว่าเรื่องนี้ เขาจึงรู้สึกผิดกับสวีโหย่วหรงอยู่บ้าง เพราะว่านางเป็นเด็กสาวผู้หนึ่ง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะรักษาความเงียบต่อเรื่องนี้เอาไว้ รอหลังจากสวีโหย่วหรงกลับจิงตูมาแล้ว ค่อยคิดหาทางบอกความจริงเรื่องนี้กับนาง ให้นางเป็นผู้เสนอการถอนหมั้นต่อหน้าชาวโลก หลังจากนั้นเขาค่อยยอมรับ เช่นนี้แล้ว บางทีนางก็ไม่ต้องเจอกับสายตาแปลกๆ ต่อให้สายตาเหล่านั้นจะเป็นความสงสาร ขนาดที่จะต้องมีความเยาะเย้ยและเห็นใจต่อฝ่ายหนึ่ง ให้เป็นเขาก็แล้วกัน เพราะว่าเขาเป็นผู้ชาย
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาไม่เคยเจอสวีโหย่วหรงมาก่อน แต่กลับแน่ใจว่านางจะต้องไม่ใช่คนที่ยอมรับความเห็นใจจากผู้อื่น
ดังนั้นตอนที่ถังซานสือลิ่วได้ยินข่าวลือแล้วมาถามเขา เขาจึงส่ายหน้า แล้วไม่ได้พูดอะไร
เรื่องที่เกี่ยวกับการหมั้นหมายและความรู้สึกเช่นนี้ เด็กหนุ่มที่มายังจิงตูในตอนแรกยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งหลังจากสวนโจว เขาถึงได้รู้ว่าที่แท้ก็เป็นเรื่องเช่นนี้
เขาเคยชอบเด็กสาวคนหนึ่ง เด็กสาวคนนั้นได้ตายไปแล้ว
เขาเคยถูกเด็กสาวคนหนึ่งชอบมาก่อน เด็กสาวผู้นั้นก็จากไปแล้ว
เขาหวังว่าเด็กสาวอย่างสวีโหย่วหรงนี้จะสามารถมีความสุขยิ่งกว่าตน
ในช่วงหลายวันมานี้ เขาพยายามที่จะไม่เจอกับผู้คนอย่างถึงที่สุด และจำนวนครั้งในการพบเจอกับมังกรดำก็เพิ่มขึ้นมามาก
เขาจะไปที่ก้นบ่อของสะพานอุดรใหม่ และนำอาหารมากมายหลายชนิดไปให้กับมังกรดำ โดยเฉพาะอาหารจากโรงอาหารของสำนักฝึกหลวงที่นางสั่งเอาไว้
ทุกครั้งตอนที่มังกรดำแสร้งทำเป็นกินอาหารช้าๆ อย่างสงบ เขาก็จะนั่งยองๆ อยู่ที่ด้านล่างของกำแพงหินนั่น วิเคราะห์ค่ายกลกับโซ่เส้นนั้นที่กักขังมังกรดำเอาไว้ เพียงแต่ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยมาโดยตลอด
ในค่ำคืนหนึ่งที่ฤดูใบไม้ผลิจากไปฤดูหนาวเข้ามา เป็นเวลาตีสามสี่สิบห้าแล้ว เฉินฉางเซิงก็ยังคงไม่ได้นอน
เขายืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองดูต้นไทรย้อยที่ใบร่วงจนหมดแล้วกับผิวทะเลสาบที่เริ่มจับตัวกันเป็นน้ำแข็ง คิดถึงเรื่องบางอย่าง หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงเพลงดังออกมาจากที่ไกลออกไปด้านนอกกำแพง
ช่วงหลายคืนมานี้มักจะได้ยินเสียงเพลงอยู่บ้าง เขาส่ายหัวขึ้นมา
สำนักฝึกหลวงในตอนนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อของจิงตูไปแล้ว เพราะว่าการประลองได้หยุดลงไปเป็นการชั่วคราวแล้ว ชาวเมืองจิงตูที่มาดูเรื่องสนุกก็น้อยลงไปมากแล้ว แต่นักท่องเที่ยวที่มาจากนอกเมืองกลับมากขึ้น บวกกับในสำนักฝึกหลวงมีนักเรียนกับอาจารย์ คนงานรวมกันแล้วนับร้อยคน เมื่อมีคนแน่นอนว่าก็มีโอกาสที่จะทำการค้า แต่ไหนแต่ไรมาพ่อค้าไม่มีทางพลาดโอกาสใดๆ ร้านค้าที่อยู่บนถนนฝั่งตรงข้ามตรอกไป่ฮวาบ้างก็ขายบ้างก็ให้เช่าเต็มไปหมด และถูกเปลี่ยนเป็นสถานที่ต่างๆ มีทั้งโรงเตี๊ยมมีทั้งหอสุรา นับวันก็จะยิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา
ทุกวันเมื่อถึงตอนกลางคืน การค้าของโรงเตี๊ยมกับหอสุราก็จะยิ่งดีเยี่ยม มีบางส่วนเป็นแขกมาจากการที่ได้ยินชื่อเสียง แน่นอนว่าที่มากยิ่งกว่าก็ยังมีนักเรียนของสำนักฝึกหลวง ไม่ว่ากฎสำนักจะเข้มงวดแค่ไหน ประตูจะถูกปิดอย่างแน่นหนาเช่นไร เหล่านักเรียนก็มักจะหาวิธีการต่างๆ นานาเอาชนะประตูและกำแพงสำนักไปได้ หลังจากนั้นก็เข้าไปยังหอสุรากับโรงเตี๊ยม ทำเรื่องที่คนหนุ่มสาวชื่นชอบที่จะทำ
ยกตัวอย่างเช่น กินอาหาร ร่ำสุรา ฟังบทเพลง พูดคุยถึงชีวิตอะไรทำนองนั้น…
แน่นอนว่าเหล่าอาจารย์ของสำนักฝึกหลวงอยากจะเข้ามายุ่ง เมื่อควบคุมนักเรียนไม่ได้ ก็คิดจะกำจัดหอสุราที่นำมาความคึกคักเหล่านั้นออกไป เพียงแต่เรื่องนี้ลำบากอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นกองทัพของนิกายหลวงหรือทหารรักษาการณ์ประตูเมืองหรือจะเป็นกองทัพอวี่หลินก็ล้วนไร้วิธีการ ถังซานสือลิ่วที่สามารถจัดการกับหอสุราและโรงเตี๊ยมซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตรอกไป่ฮวาได้ทั้งหมดเหล่านี้ก็ไม่สะดวกที่จะออกหน้า เป็นเพราะว่าในนั้นมีหอสุราสองแห่งกับโรงเตี๊ยมหนึ่งแห่งที่เขาเป็นคนเปิด
ในตอนกลางดึก ความรุ่งเรืองยังคงอยู่ เสียงเพลงจากฝั่งกำแพงนั้นก็ดังลอยเข้ามาในสำนักฝึกหลวงขึ้นเรื่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เฉินฉางเซิงกำลังคิดจะหาผ้าขนสัตว์ที่ม่ออวี่ทิ้งเอาไว้มาอุดหูเพื่อจะเข้านอน ในตอนนั้นก็ถูกเนื้อเพลงนั่นดึงดูดความสนใจไป
คนที่ร้องน่าจะเป็นนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวง โทนเสียงนั้นแตกอย่างมาก เป็นไปได้ว่าอยู่ในช่วงที่เสียงกำลังแตกหนุ่ม แต่เสียงก็ดังเป็นอย่างมาก เนื้อเพลงของเพลงนี้เรียบง่ายอย่างมาก ไม่ถึงขั้นงดงาม กระทั่งมีความหยาบๆ อยู่บ้าง แต่ก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายเฉพาะของคนหนุ่มสาว เมื่อรวบเข้ากับเสียงของนักเรียนชายผู้นั้น ก็ดูเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
“เด็กหนุ่มนั้นสีแดงสด เจ้าคือผู้เป็นเจ้าของ ต้องการฝนย่อมได้ฝน ต้องการลมย่อมได้ลม ปลาที่จะข้ามประตูมังกรก็ต่างออกไปแล้ว…”
เฉินฉางเซิงยืนฟังอย่างสงบอยู่ที่ตรงหน้าต่าง
เมื่อฟังเพลงบทนี้ พลันคิดไปถึงเรื่องราวกับผู้คนที่ได้พบเมื่อมายังจิงตูในช่วงสองปีมานี้ เขาก็ยากที่จะสงบลง ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาราวกับสายน้ำ
ใช่ ก็เหมือนกับสายน้ำที่ถาโถมเข้ามา
เมื่อก่อนเขาคิดมาโดยตลอดว่าคำพูดที่ใช้บรรยายนิทานความรักเหล่านี้ออกจะเกินเลยไปบ้าง ในตอนนี้ถึงได้เข้าใจ ที่แท้ทั้งหมดนี้ก็ล้วนเป็นความจริง
จิตใต้สำนึกของเขาสั่งให้ลูบไปที่กำไลลูกปัดหินที่อยู่บนข้อมือ และกลับไปยังสวนโจว
หลายวันมานี้เข้ามักจะไปที่สวนโจว และนั่งเหม่อลอยอยู่ในทุ่งหญ้า
บางทีเป็นเพราะเขารู้สึกว่าการอยู่ด้วยกันกับสัตว์อสูรเหล่านี้ เรียบง่ายกว่าการติดต่อกับมนุษย์มากนัก
สัตว์อสูรเหล่านั้นเชื่อฟังอย่างมาก ภายใต้การจัดการของเขา ก็ขุดลอกทางน้ำ ซ่อมแซมทุ่งหญ้ากับทะเลสาบ บวกกับการฟื้นฟูตัวเองของสวนโจวหลังจากที่เปิดขึ้นใหม่ สวนโจวก็ฟื้นฟูจนพอจะเห็นเค้าเดิมบ้างแล้ว
เขาที่เสียดายเวลาอย่างมากยอมที่จะเสียเวลากับกำลังมากมายขนาดนี้อยู่ในสวนโจว เป็นเพราะเขาอยากจะหลงเหลือของที่ระลึกเอาไว้บ้าง
เขายืนอยู่บนสุดทางของถนนเสินในสุสานโจว มองดูยักษ์ล้มภูเขาที่อยู่ด้านล่างกำลังสั่งการสัตว์อสูรนับหมื่นตัวซ่อมแซมถนนหญ้าขาว
เหล่าสัตว์อสูรเป็นแถบสีดำ
เขารู้สึกว่าภาพเหตุการณ์นี้ค่อนข้างจะคุ้นตา หลังจากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ ในตอนแรกเขาก็อยู่กับนางตรงนี้ มองดูฝูงสัตว์อสูรบนทุ่งหญ้าถาโถมเข้ามาราวกับสายน้ำ
ดังนั้น ความเศร้ากับความคะนึงหาก็ถาโถมเข้ามาเหมือนกับสายน้ำเช่นกัน
……
……
บนถนนหลักทางตอนใต้ของจิงตู มีกลุ่มที่เดินทางด้วยรถม้านับสิบคันกำลังเดินทางเข้ามาอย่างยิ่งใหญ่
ทหารม้านับร้อยของเทียนหนานต่างขี่ม้าสายเลือดมังกรมา มองรอบด้านด้วยความระมัดระวัง เพื่อปกป้องขบวนรถเอาไว้
ศิษย์นับสิบของสถานศึกษาหนานซีและยังมีตัวแทนกลุ่มอำนาจของเทียนหนาน ต่างแยกกันนั่งในรถม้าแต่ละคัน
รถม้าที่อยู่ตรงกลางคันนั้นเห็นได้ชัดว่ามีสถานะสูงส่งที่สุด เพราะว่าถ้ารถม้าคันนั้นใช้อาชาสวรรค์สีขาวราวหิมะถึงแปดตัวในการลาก
รถคันนี้ใหญ่โตเป็นอย่างมาก บางทีก็น่าจะเรียกว่าราชรถเสียมากกว่า
สวีโหย่วหรงก็นั่งอยู่ในราชรถ
เรือนผมสีดำของนางกระจายอยู่บนบ่า ขับให้ผิวขาวกระจ่างดั่งหยกก็ไม่ปาน
ผู้คนบนโลกมักใช้คำว่าคิ้วนัยน์ตางามดั่งภาพวาดมาใช้บรรยายความงามของสตรี แต่ความงามของนางจะสามารถใช้หมึกพู่กันวาดออกมาได้อย่างไร
ขนตาของนางยาวเป็นอย่างมาก ริมฝีปากของนางแดงก่ำ ใบหน้าของนางไร้ซึ่งจุดจะตำหนิ ความงามของนางสมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่ได้ให้ความกดดันใดแก่ผู้คน
เพราะว่านางงดงามอย่างเรียบสงบนัก
ก็เหมือนกับภูเขาหลังสายฝน ทะเลสาบก่อนฝนพรำ หมอกบนเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ควันจากเมืองเล็กๆ
การกลับจิงตูของนางในครั้งนี้ เพื่อนำข่าวที่สำคัญอย่างหาใดเปรียบมาให้กับโลกใบนี้
ไม่ว่าจะเป็นต้าโจวหรือเทียนหนาน หลายวันมานี้ล้วนมีการเตรียมการสำหรับการเชื่อมสัมพันธ์เหนือใต้ แต่ข่าวนั้นที่นางนำมา ก็เป็นการทำล่วงหน้าเรื่องทั้งหมดนี้ หรือพูดได้ว่าเป็นการอนุญาต
หลังจากนั้น นางก็จะไปตามนัดหมาย หรือจะพูดว่าเป็นนัดการประลอง
ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ กระทั่งเหล่าอ๋องเผ่ามารที่อยู่ในเมืองเสวี่ยเหล่า ก็ล้วนคอยดูการประลองนั่น
ในสายตาของคนจำนวนมาก เทียบกับองค์หญิงเผ่ามารหนานเค่อ คนผู้นั้นถึงจะเป็นศัตรูแห่งโชคชะตาที่แท้จริงของนาง
เพราะว่าเขาเคยเป็นว่าที่สามีในอนาคตของนาง และในสายตาของคนจำนวนมากในตอนนี้ เขาเป็นผู้ถอนหมั้น เป็นชายหนุ่มผู้เย็นชาที่กำลังดูหมิ่นนาง
ขบวนรถได้หยุดลงอย่างกะทันหัน ตามมาด้วยเสียงดังขึ้นเบาๆ สตรีนางหนึ่งเลิกม่านขึ้น แล้วนั่งขึ้นไปบนรถ มองนางด้วยสีหน้าซับซ้อนแล้วพูดขึ้น “ศิษย์หลาน ใกล้จะถึงจิงตูแล้ว”
สตรีนางนี้คือผู้อาวุโสภายนอกของสถานศึกษาหนานซีเหอชิงปัว ซึ่งมีระดับการบำเพ็ญไปถึงขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นกลางแล้ว
หลังจากที่พูดประโยคนี้จบ เหอชิงปัวก็นึกถึงอะไรบางอย่างได้อย่างกะทันหัน ใบหน้าก็เผยความกังวลขึ้นมา แล้วพูดขึ้นอย่างค่อนข้างจะกระอักกระอ่วน “ชิงปัวพูดผิดไปแล้ว ขอท่านประมุขโปรดอภัย”
“อาจารย์อาไม่ต้องเกรงใจ”
สวีโหย่วหรงมองนางแล้วพูดขึ้นอย่างสงบ หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินออกไปจากนอกรถ
ตามการเคลื่อนไหวของนาง เรือนผมสีดำกับชุดกระโปรงนักบวชสีขาวพลันพลิ้วไหวขึ้นเบาๆ
ปลายผมสีดำของนางเรียบร้อยเป็นอย่างมาก ราวกับว่าถูกกระบี่ที่คมที่สุดแต่งมาก่อน ระหว่างที่ขยับ ก็ทำให้ดวงตาของนางดูสงบยิ่งขึ้น และยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีก
ตรงชุดนักบวชสีขาวผูกด้วยเข็มขัดที่ปักลายดวงดาวเอาไว้จนเต็มเส้นหนึ่ง นางไม่ได้พกกระบี่ เพราะว่านางมาจิงตูเพื่อมารับกระบี่
ธนูถงถูกวางเอาไว้ในมุมหนึ่งของราชรถ และก็ไม่ได้ถูกนางถือเอาไว้ในมือ เพราะว่านางยังไม่อยากถูกใครบางคนในจิงตูเห็นเข้า
อีกมุมหนึ่งยังมีร่มอยู่คันหนึ่ง
มาถึงถนนสายหลัก นางมองไปทางคูเมืองที่เหมือนจะมีเหมือนจะไม่มีที่ขอบฟ้าทางด้านนั้น ค่อยๆ ไพล่มือทั้งสองข้าง
จิงตูนั้นไม่มีกำแพงเมือง และก็ไม่มีประตูเมืองอย่างแท้จริง ดังนั้นในตอนเด็กนางถึงไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงมีทหารรักษาการณ์ประตูเมือง
ตามการปรากฏตัวของนาง ทหารของเทียนหนานที่อยู่รอบด้านเหล่านั้นได้ลงจากม้าด้วยความเร็วสูงสุด และคุกเข่าลงไปบนพื้น
ศิษย์สถานศึกษาหนานซีแล้วยังมีคณะทูตที่ลงจากรถม้าเหล่านั้น ก็พากันคุกเข่าลงไป
ที่คุกเข่าเป็นเพราะจะต้องทำความเคารพ
“คำนับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์”
สวีโหย่วหรงยังมองไปที่จิงตู
หลายปีแล้วที่นางไม่ได้กลับมา แต่ก็ยังคงไม่รู้สึกแปลกหน้ากับจิงตู
เพราะว่าบ้านของนางอยู่ที่นี่ ม่ออวี่ ผิงกั๋ว คนจำนวนมากที่ตอนเด็กนางได้รู้จักอยู่ที่นี่ เหนียงเหนียงอยู่ที่นี่ คนผู้นั้นในตอนนี้ก็อยู่ที่นี่
บนท้องฟ้าสีครามอยู่ๆ ก็ปรากฏแนวเส้นขึ้นมาสองสาย สายหนึ่งขาวสายหนึ่งเทา พุ่งตรงไปทางจิงตู
มองดูภาพเหตุการณ์นี้ นางก็ได้สติกลับมา ถึงได้นึกขึ้นได้ว่าทุกคนกำลังทำความเคารพตนอยู่
เรื่องนั้นก็ผ่านมาหลายวันแล้ว นางคงยังไม่เคยชิน ไม่รู้ว่าควรจะใช้คำพูดเช่นไรตอบรับการทำความเคารพอย่างซื่อตรงของผู้คนดี
ทันใดนั้น นางก็นึกถึงทุ่งหญ้าที่อยู่ในสวนโจวผืนนั้น คำพูดที่มักจะพูดตอนที่อยู่บนหลังของคนผู้นั้น ในตอนนั้นทุกๆ วันนางล้วนไม่ลืมที่จะพูดกับคนผู้นั้นด้วยคำพูดประโยคนี้ เพราะว่านั่นแสดงถึงการอวยพรที่จริงใจที่สุดของนาง บางที…นี่จะเป็นการตอบรับที่เหมาะสมที่สุด
ดังนั้น นางจึงมองทุกคนแล้วพูดขึ้น “ขอให้แสงศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่กับพวกเจ้า”