เสียงลมเสียงฝนเสียงอ่านหนังสือตำรา สำนักฝึกหลวงในวันนี้ได้ยินเพียงแค่เสียงอ่านตำรา เกล็ดหิมะที่เพิ่งจะโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้านั้นแผ่วเบาเกินไป ผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงเพิ่งถูกนักเรียนที่อยู่ในห้องเรียนมองเห็น นำมาซึ่งเสียงร้องเบาๆ ด้วยความตกตะลึงระคนดีใจ อาจารย์ที่มาจากสำนักการศึกษากลางพลันตำหนิเสียงเข้มไปหลายคำ ถึงได้สะกดความวุ่นวายลงไปได้ และในนาทีถัดมาที่นอกหน้าต่างก็มีเสียงหวีดหวิวจากสายลมที่พัดผ่านมา ทุกคนที่อยู่ในห้องเรียนก็ไม่อาจจะรักษาความสงบต่อไปได้ เหล่านักเรียนอายุน้อยต่างพากันพุ่งไปทางหน้าต่าง
สายลมพัดผ่านหิมะบางที่เพิ่งจับตัวกันบนยอดหญ้า นกกระเรียนขาวตัวหนึ่งค่อยๆ บินลงมาจากท้องฟ้า ราวกับกำลังร่ายรำกลางหิมะ ช่างงดงามอย่างหาใดเปรียบ
“งดงามนัก!” เหล่าเด็กสาวมองภาพเหตุการณ์นี้ แล้วพากันตะโกนอย่างตื่นเต้น
ตามความแข็งแกร่งของเผ่ามนุษย์ มาร และปีศาจที่เพิ่มมากขึ้น สัตว์อสูรที่เคยกร่างอยู่ในดินแดนต้าลู่จึงถูกบีบให้ถอยไปยังท่ามกลางบึงใหญ่ภูเขาร้าง เพราะเหตุนี้ สัตว์เทพวิหคเซียนเองก็พบได้น้อยลงมาก โดยทั่วไปมีเพียงภูเขาลึกของพวกพรรคเหล่านั้นถึงจะสามารถพบเห็นได้ นักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงล้วนมาจากเมืองต่างๆ เทียบกับชาวเมืองจิงตูที่เคยเห็นอะไรมามากแล้ว ก็ยิ่งแทบจะไม่เคยเห็นวิหคเซียนในตำนานเหล่านี้ แต่ว่าก็มีคนที่อยู่ในจิงตูมาเป็นเวลานานแล้วอย่างชูเหวินปินที่ย้ายมาจากสำนักเทียนเต้าผู้นั้น เมื่อมองไปที่นกกระเรียนขาวตัวนั้น จึงนึกอะไรมาได้ แล้วพูดขึ้นอย่างตกตะลึง “นี่…นี่ไม่ใช่นกกระเรียนขาวของจวนสวีตัวนั้นหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ข้างกายเขาก็เงียบลงไปทันที ที่ตามมาคือ ห้องเรียนทั้งหมดล้วนเงียบลง เหล่านักเรียนมองไปทางนกกระเรียนขาวตัวนั้น และไม่กล้าส่งเสียงดังเกินไปอีก
นกกระเรียนขาวตัวนี้ไม่ใช่นกกระเรียนขาวธรรมดา การกลับมาของนกกระเรียนขาวตัวนี้สำหรับสำนักฝึกหลวง สำหรับเจ้าสำนักของพวกเขาหมายความว่าอะไร
เป็นอย่างที่คิด ผ่านไปได้ไม่นาน เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตาของเหล่านักเรียน
เฉินฉางเซิงเดินมาถึงสนามหญ้าข้างทะเลสาบ มาถึงตรงหน้าของนกกระเรียนขาว นกกระเรียนขาวมองเขาแล้วพยักหัวลง หลังจากนั้นก็หันหัวมองไปทางหอตำรากับนักเรียนที่อยู่ตรงหน้าต่างที่ไม่ได้อยู่ไกลออกไปเหล่านั้น แสดงให้เห็นถึงความมึนงงอยู่บ้าง ดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่าทำไมเพียงแค่ปีเดียว ที่นี่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากถึงเพียงนี้
เมื่อมองดูนกกระเรียนขาว เขาก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงถามขึ้น “นาง…กลับมาแล้วหรือ”
……
……
แนวเส้นสองสายที่ตรงเข้าจิงตู สีขาวหนึ่งสีเทาหนึ่งนั้น สีขาวคือนกกระเรียนขาว สีเทาก็คือมหาวิหคปีกทองที่สวีโหย่วหรงนำออกมาจากสวนโจวตัวนั้น
…ที่มันเป็นสีเทา เป็นเพราะมหาวิหคตัวนี้ยังไม่ได้โตเต็มที่ สีขนยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีสดใส และยิ่งไม่มีสีทองให้เห็น มองดูแล้วเป็นสีเทาๆ อีกทั้งยังค่อนข้างจะตัวเล็ก ก็เหมือนกับการตอบสนองของเฉินฉางเซิงในครั้งแรกนั่น ในตอนนี้มันก็ดูเหมือนไก่ฟ้าตัวหนึ่ง
ตอนที่เข้ามาในจิงตู นกกระเรียนขาวได้ส่งเสียงดังกระจ่างขึ้นครั้งหนึ่ง พวกเหยี่ยวแดงที่เตรียมจะบินขึ้นมาขวางเมื่อเห็นมันก็แน่นอนว่าต้องปล่อยไป และลูกมหาวิหคตัวนี้ไม่เพียงแต่จะไม่บินตามนกกระเรียนขาวไปที่สำนักฝึกหลวง มันกลับเกิดความสนใจกับพวกเดียวกันที่อยู่บนกำแพงวังเหล่านี้ มันบินเลี้ยวกลางอากาศ กระพือปีก แล้วร่อนลงบนกำแพงวัง
ล้วนพูดกันว่าหงส์สวรรค์ที่ตกที่นั่งลำบากล้วนเทียบไม่ได้กับไก่ฟ้า ลูกมหาวิหคตัวนี้ก็เหมือนกับไก่ฟ้าตัวหนึ่ง แต่อย่างไรเสียหงส์สวรรค์ก็ยังคงเป็นหงส์สวรรค์ มหาวิหคปีกทองก็ยังคงเป็นมหาวิหคปีกทอง จะอย่างไรก็ไม่มีทางเปลี่ยนเป็นไก่ฟ้าได้จริงๆ
มันพับปีกลง เชิดหน้าแอ่นอกมองไปทางฝูงเหยี่ยวแดงที่อยู่หน้ากำแพงวังเหล่านั้น มองซ้ายมองขวาด้วยแววตาเฉยชา แสดงให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมและดุร้ายอย่างถึงที่สุด
เหยี่ยวแดงเป็นหน่วยสัตว์ปีกจู่โจมทางอากาศซึ่งแข็งแกร่งที่สุดที่กองทัพต้าโจวนั้นเลี้ยงเอาไว้ มันมีความเร็วที่ยากจะจินตนาการ อีกทั้งยังมีนิสัยหยิ่งยโสดุร้าย ถึงจะเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ก็ไม่มีทางหวาดกลัว เล่ากันว่าในสงครามทำลายล้างเผ่ามารเมื่อพันปีก่อน แม่ทัพมารในยุคนั้นได้เลี้ยงอสูรนภาเอาไว้ตัวหนึ่ง สุดท้ายก็ถูกเหยี่ยวแดงนับสิบตัวใช้ชีวิตเข้าแลก สังหารให้มันตายอยู่บนท้องฟ้า แต่ในตอนนี้เมื่อมองไปยังร่างที่เล็กและเหมือนกับไก่ฟ้าซึ่งอยู่บนกำแพงวังนั่น ขนตรงแผงคอของเหยี่ยวแดงนับสิบตัวพลันพองขึ้นมาพร้อมกัน แสดงให้เห็นถึงความระมัดระวังอย่างหาใดเปรียบ กระทั่งกองทัพอวี่หลินที่อยู่ด้านข้าง ก็ยังรู้สึกถึงความหวาดกลัวของพวกมัน ส่วนพวกห่านป่าแดงที่เกาะอยู่บนหอที่อยู่ด้านข้างยิ่งแล้วไปใหญ่ ถึงขนาดที่ถูกทำให้ตกใจจนตกลงมาบนพื้น แม้แต่จะยืนก็ยังยืนไม่ขึ้น
นี่คือนกอะไร เหล่ากองทัพอวี่หลินล้วนไม่เข้าใจ จึงมองไปทางนั้นอย่างระมัดระวัง จิตใต้สำนึกก็สั่งให้กำทวนที่อยู่ในมือให้แน่น
ก็เป็นในตอนนี้เอง กิเลนเมฆแดงที่กำลังมองแพะดำที่อยู่ไกลออกไปอย่างเหม่อลอยจากใต้กำแพงวังตัวนั้น ก็เงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนอย่างกะทันหัน
เซวียสิ่งชวนที่กำลังใช้เจตจำนงลับทวนอยู่ในห้องก็เหมือนจะรู้สึกได้ จึงมองตามขึ้นไปที่ด้านบน
บนกำแพงวัง ลูกมหาวิหคหยุดเท้าลงอย่างกะทันหัน เพราะว่ามันรู้สึกได้ถึงจิตสังหารสายหนึ่ง
มันมองลงไปที่บนพื้น สายตาไปหยุดอยู่ที่กิเลนเมฆแดง แล้วรู้สึกได้ถึงปัญหาเล็กน้อย
หลังจากนั้นมันก็สังเกตถึงจุดกำเนิดของจิตสังหารนั่น จึงมองไปทางห้องห้องนั้น แล้วพบว่าเป็นปัญหาใหญ่
ถ้าหากมหาวิหคปีกทองในตอนนี้อยู่ในร่างโตเต็มวัย แน่นอนว่าจะไม่สนใจการท้าทายของกิเลนเมฆแดง และก็ไม่มีทางหวาดกลัวเซวียสิ่งชวน แต่ในตอนนี้ไม่ได้
หลังจากที่มันมองเห็นแพะดำที่อยู่บนพื้นหญ้าในพระราชวังตัวนั้น ขนสีเทาตรงช่วงคอก็ลุกชันขึ้นมาในทันที และรู้สึกได้ถึงความไม่สงบอย่างรุนแรง
โลกภายนอกสวนโจว ก็ยังเต็มไปด้วยอันตรายเหมือนกับความทรงจำในชาติก่อนจริงๆ โดยเฉพาะเมืองของเผ่ามนุษย์นี้ ยังคงเป็นเหมือนดั่งเช่นในอดีต ตนก็แค่อยากจะบินลงมาเที่ยวเล่นสักหน่อย ทำไมถึงได้เจอกับปัญหามากมายขนาดนี้ ก่อนที่เหล่าทหารของกองทัพอวี่หลินจะชี้ทวนเข้ามา มันก็กางปีกทั้งสองข้างออก แล้วบินลงจากกำแพงวังไป ใช้เวลาเพียงครู่เดียว ก็บินข้ามสนามหน้าพระราชวัง บินข้ามจวนอ๋องหลายแห่งกับถนนสามสาย แล้วบินลงไปที่ถนนสายหนึ่งที่ไกลออกไป
บนถนนสายนั้นกำลังมีผู้คนโห่ร้อง คึกคักอย่างหาใดเปรียบ เมื่อยืนอยู่บนกำแพงวัง ก็พอจะเห็นราชรถคันหนึ่งที่แสนงดงามกำลังเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ อยู่บนถนน
เหล่าทหารมองเห็นนกประหลาดตัวนั้นบินลงไปบนราชรถคันนั้น ถึงได้รู้ว่ามันมาจากเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ในใจก็คิดว่ามิน่าเล่าถึงได้น่ากลัวถึงเพียงนี้
มีขุนนางรีบร้อนเข้ามา และรายงานข่าวที่เพิ่งได้รู้เมื่อครู่
“เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์รุ่นก่อนสละตำแหน่ง? โดยมีสวีโหย่วหรงรับตำแหน่งต่อ?”
เมื่อได้ยินข่าวนี้ เซวียสิ่งชวนมองยังถนนที่ไกลออกไปสายนั้น แล้วคิดขึ้นอย่างตกตะลึงว่าสถานศึกษาหนานซีเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมถึงได้เกิดการเคลื่อนไหวที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้
สำหรับศิษย์ของสถานศึกษาหนานซีกับประชาชนของเทียนหนาน สวีโหย่วหรงเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ในอนาคต สำหรับประชาชนของจิงตูจนถึงต้าโจว สวีโหย่วหรงเป็นความภาคภูมิใจของพวกเขา เพราะว่านางเติบโตขึ้นจากที่แห่งนี้ ตามการกระจายของข่าวที่สวีโหย่วหรงรับตำแหน่งเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้อย่างเป็นทางการ เสียงต้อนรับนางของชาวเมืองจิงตูพลันเงียบลงไปครู่หนึ่งเพราะความตกใจ หลังจากนั้นเสียงต้อนรับก็ดังสนั่นสะเทือนชั้นฟ้าขึ้นมา
เหล่าเด็กๆ ไล่ตามราชรถอยู่ที่ด้านข้างของถนน เด็กสาวต่างโบกผ้าเช็ดหน้ากับดอกไม้สดที่อยู่ในมือ มีสาวกที่ซื่อสัตย์คุกเข่าลงบนที่ที่ราชรถขับผ่าน ไม่หยุดที่จะท่องคำอวยพร สายตาของเด็กหนุ่มก็ร้อนแรงถึงเพียงนั้น…ต่อให้ในสายลมจะมีเกล็ดหิมะ อากาศจะหนาวเย็นถึงเพียงนี้ ก็ไม่ทำให้ความคึกคักของจิงตูในวันนี้ลดลงไปเลย และในตอนที่สายลมพัดเอาม่านของราชรถขึ้นมา พอจะเผยให้เห็นเงาร่างของเด็กสาวที่อยู่ด้านในผู้นั้น บรรยากาศก็ยิ่งร้อนแรงจนถึงขีดสุด คนจำนวนมากก็ไม่สนใจคำตำหนิของนักบวชพระราชวังหลีและการขัดขวางของทหารรักษาการณ์ประตูเมืองอีก แล้วยิ่งไม่สนใจสายตาระแวดระวังของกองทัพเทียนหนานเหล่านั้น ต่างพากันเบียดเข้าไปที่กลางถนน ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะถูกกองทัพขวางเอาไว้ แต่กลับขวางของที่อยู่ในมือของพวกเขาไม่ได้
ในช่วงเวลาหนึ่ง ดอกไม้สดที่ยากจะได้เห็นในช่วงกลางฤดูหนาวก็ร่วงหล่นลงมาราวกับสายฝน เพียงแค่ครู่เดียว ราชรถที่สวีโหย่วหรงนั่งอยู่ก็เปลี่ยนไปเป็นทะเลดอกไม้
ผลไม้ที่ถูกล้างจนสะอาดเหล่านั้น ก็ยิ่งโยนเข้ามาในรถม้านับร้อยคันนั้นไม่หยุด ในรถคันหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง เยี่ยเสี่ยวเหลียนได้ยื่นมือไปรับผลเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่แดงก่ำลูกหนึ่ง แล้วกัดลงไปเบาๆ คำหนึ่ง นางรู้สึกว่าช่างเปรี้ยวหวานถูกปากนัก ดวงตาจึงหรี่ลงอย่างดีอกดีใจ แน่นอน ก็เหมือนกับศิษย์พี่หญิงคนอื่นที่อยู่ในรถ ความดีอกดีใจของนางโดยมากมาจากความเป็นมิตรของชาวเมืองจิงตู…เมื่อคิดว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้รับความเคารพรักจากชาวต้าโจวถึงเพียงนี้ คิดว่าหลังจากการเชื่อมสัมพันธ์เหนือใต้ สถานะของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เห็นว่าจะตกต่ำลง ไม่แน่ว่าจะดียิ่งขึ้นเสียอีก ความรู้สึกไม่สงบที่ประมุขจากไปก็ลดลงไปมาก พวกนางคิดด้วยความดีอกดีใจเจ็ดส่วน และมีความภาคภูมิใจอีกสามส่วน “ที่ลือกันว่าโจวอวี้เหรินเข้ามาที่จิงตูในตอนนั้น ก็คงจะไม่ต่างจากตอนนี้แหละนะ”
……
……
“โจวอวี้เหรินเข้ามาที่จิงตูในตอนนั้น เกือบที่จะถูกสังหารด้วยสายตาจริงๆ จำได้ว่าในตอนนั้นข้ายังเด็กนัก ข้ากับคุณหนูเปี่ยวแห่งจวนบัณฑิตได้แอบมองลงมาจากบนหอเฉิงหู ความคึกคักนั้นช่าง…”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมองเห็นสวีโหย่วหรงหรือไม่ จึงได้นึกถึงตนในวัยเด็ก จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็เผยความรู้สึกที่ระลึกความหลังอันหาได้ยากออกมา แต่ก็เป็นเพียงครู่เดียว พลันกลับคืนสู่ความสงบในตามปกติ แล้วพูดขึ้น “ถ้าไม่อยากถูกสังหารด้วยสายตา ก็ต้องหน้าหนาสักหน่อย และก็ต้องทำให้กระดูกในร่างแข็งแกร่งสักนิด”
ในสายตาของชาวโลก แต่ไหนแต่ไรมาสวีโหย่วหรงก็มีท่าทีเรียบเฉยดั่งเทพเซียน และก็มีเพียงตอนที่อยู่ต่อหน้าอาจารย์อย่างเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กับเหนียงเหนียงถึงจะเป็นธรรมชาติที่สุด แล้วพูดขึ้น “หน้าหนา…ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองนาง ในดวงตามีความอบอุ่นออกมาให้เห็น แล้วพูดขึ้นอย่างรักใคร่ “หน้าบางมีอะไรดี ดูใบหน้าน้อยๆ ที่แดงของเจ้าสิ”
แน่นอนว่าในคำพูดนี้มีความหมายแฝงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหน้าหนา หรือว่าร่างกายต้องแข็งแกร่ง ล้วนเป็นคำแนะนำของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ที่มีต่อนาง
หากอยากจะนั่งอยู่ในตำแหน่งประมุขของสถานศึกษาหนานซีให้มั่นคง จนสุดท้ายกลายเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ทั่วทั้งเทียนหนานยอมรับ ในสายตาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ความเด็ดขาดอำมหิตเป็นปัจจัยที่ต้องมี
หน้าหนาก็คือเด็ดขาด ขอเพียงแค่ตนแข็งแกร่งพอ ตอนที่คิดจะอำมหิตถึงจะมีกำลังนั้น
“อยากจะให้ร่างกายและกระดูกแข็งแกร่งสักหน่อย พวกเราก็ควรจะเริ่มกินอาหารกันได้แล้วใช่หรือไม่”
ม่ออวี่ยืนอยู่ที่ด้านข้าง กำลังเรียงอาหาร มองดูสวีโหย่วหรงมีท่าทางมึนงงอยู่บ้าง จึงรู้ว่าบางทีนางอาจไม่อยากตอบรับ บางทีอาจจะเหมือนกับในสมัยเด็กที่เว้นว่างเอาไว้ จึงยิ้มขึ้นแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้น “เหล่าเด็กๆ ในตอนนี้ล้วนไม่ได้ชอบฟังคำพูดของคนแก่อย่างพวกข้าแล้ว”
สวีโหย่วหรงพูดขึ้นเสียงเบา “เหนียงเหนียงยังไม่แก่เลย เหนียงเหนียงไม่มีทางแก่ไปตลอดกาล”
ม่ออวี่ที่ได้ยินจากด้านข้างก็ตัวสั่น แล้วพูดขึ้นมา “ไม่ได้เจอมาหลายปี ปากของเจ้าก็ยังหวานอยู่เช่นนี้”
“กินอาหารก็อย่าพูด”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์หยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วคีบอาหารใส่ชามของสวีโหย่วหรงไปอย่างหนึ่ง หลังจากนั้นก็เริ่มกินอาหาร
ในตำหนักที่กว้างใหญ่ ไม่มีขันทีนางกำนัลใด มีเพียงแค่พวกนางสามคน จึงดูโล่งกว้างเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะหลังจากที่เริ่มกินอาหาร ก็ไม่มีเสียงใดดังขึ้นมาอีก ที่ตรงนั้นจึงดูประหลาดอยู่บ้าง