บทที่ 715 มหาสมุทรแห่งพลังงานลบ

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

ขณะพูดคุยกันอยู่นั้น ลูเซียนก็หยิบวารสาร ‘เวทธาตุ’ ฉบับล่าสุดขึ้นมากวาดตาอ่านหัวข้อบทความ เพียงเพื่อจะค้นพบว่าผู้เขียนคือผู้มีนามว่าเทลาวิฟที่เขาไม่รู้จัก เทลาวิฟเป็นจอมเวทระดับสี่และนักเวทระดับห้า

‘เขาคงจะเป็นนักเวทที่เพิ่งเลื่อนขั้นเมื่อไม่นานมานี้แน่ๆ มีแต่คนหนุ่มเท่านั้นที่จะสามารถนำเสนอแบบจำลองได้โดยไม่ถูกประสบการณ์เหนี่ยวรั้ง…’ ลูเซียนคิดในใจ

มิใช่ว่าเพราะดักลาส บรูก เฟอร์นันโด และแฮทธาเวย์จะไม่พิจารณาถึงความน่าจะเป็นของสภาพพลังงานแบบลบกับปฏิสสาร และพวกมันควรจะมีอยู่ร่วมกับสสารทั่วไปในรูปแบบใดหากพวกมันไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้ ทว่า แม้พวกเขาจะคิดข้อสันนิษฐานเหล่านั้นขึ้นมาได้ พวกเขาย่อมไม่วู่วามนำเสนอ แต่จะรอจนกว่าปฏิสสารจะได้รับการพิสูจน์

หากพวกเขาเคยนำเสนอแบบจำลองคล้ายๆ กันนี้ ก็มีเพียงเหตุผลเดียวคือแบบจำลองจะเป็นประโยชน์ต่อการค้นพบและยืนยันการมีอยู่ของปฏิสสารกับพลังงานลบ แต่เห็นได้ชัดว่า ‘มหาสมุทรสุญญากาศแห่งพลังงานลบ’ ไม่ได้พิสูจน์อะไร

ในบทความนี้ เทลาวิฟ จอมเวทประหลาด ได้นำเสนอ ‘มหาสมุทรแห่งพลังงานลบ’ ที่มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งโดยยึดหลักจากส่วนประกอบของอนุภาคขนาดเล็กจิ๋ว

ตามที่เฟอร์นันโดว่าไว้นั้น อิเล็กตรอนจะเติมเต็ม ‘วิถีโคจร’ ของระดับพลังงานที่ต่ำที่สุดเสมอ ในเมื่อพลังงานลบมีระดับต่ำยิ่งกว่าระดับพลังงานทั้งหมดที่มีอยู่ มันจึงเป็นเรื่องชัดเจนที่อิเล็กตรอนจะพุ่งไปยังทิศทางนั้น มันก็เหมือนกับการสร้างฐานอาคารเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงเป็นห้องใต้ดิน ชั้นที่หนึ่ง ชั้นที่สอง และต่อๆ ไป

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าพลังงานที่ก่อตัวขึ้นจากการแปรสภาพขนานใหญ่จะทำลายทั้งจักรวาลเท่านั้น เพียงปรากฏการณ์เท่าที่สังเกตการณ์มานั้นก็พิสูจน์ว่าความน่าจะเป็นไม่มีอยู่จริงอย่างน่าเชื่อถือแล้ว นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเดียป แลร์รี และคนอื่นๆ ที่ได้ผลสรุปเป็นพลังงานลบในตอนแรกต่างคิดว่าผลลัพธ์ของพวกเขาผิดพลาดเพราะความประมาทของตนเอง

หลังจากที่ลูเซียนนำเสนอสมการควอนตัมของเขาและแง้มเรื่องการมีอยู่ของปฏิสสาร จอมเวทหลายๆ คนก็เริ่มพิจารณาว่าเหตุใดอิเล็กตรอนจึงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นหากว่าพลังงานลบมีอยู่จริง ด้วยเหตุนี้ เทลาวิฟจึงได้สันนิษฐานอย่างอาจหาญว่าอิเล็กตรอนนั้นมิได้ ‘เข้าหา’ ระดับพลังงานลบตาม ‘สัญชาตญาณทางธรรมชาติ’ ของพวกมัน เพราะระดับพลังงานลบมีอิเล็กตรอนอื่นครองพื้นที่อยู่และพวกมันก็ไม่สามารถฝ่าไปได้อีก

นอกจากนี้ เขาได้อนุมานโดยยึดหลักจากการกระจายตัวของอิเล็กตรอนว่าเหล่าจอมเวทไม่สามารถสังเกตการณ์อิเล็กตรอนพลังลบได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้ เพราะเหตุนี้ ในแบบจำลองของเขา ทุกๆ ที่บนโลกใบนี้จึงเต็มไปด้วยอิเล็กตรอนพลังลบ พวกมันควบรวมหนาแน่นเสียจนเรียกได้ว่ามนุษย์กำลังใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลาง ‘มหาสมุทรแห่งพลังงานลบ’ แม้แต่ในสุญญากาศก็เช่นกัน มันหาได้มีสุญญากาศที่แท้จริง!

ดังนั้น มันจึงเป็น ‘มหาสมุทรประจุลบ’ ที่ ‘ท่วมท้น’ จักรวาลและมี ‘พลังงานไร้ที่สิ้นสุด’

แต่ว่า อิเล็กตรอนประจุลบสามารถกระตุ้นขึ้นมาได้ หลังจากที่พวกมันแปรสภาพเป็นสังเกตการณ์ได้ เมื่ออิเล็กตรอนทั่วไปดูดซับพลังงาน ก็จะเหลือเพียงหลุมลึกใน ‘มหาสมุทรประจุลบ’ หลุมที่ว่านี้มีประจุไฟฟ้าขั้วตรงข้ามและมวลเดียวกันกับอิเล็กตรอนประจุลบ และหลุมนั้นก็จะเป็นอิเล็กตรอนประจุบวก (หรือก็คือปฏิอิเล็กตรอนและโพซิตรอน)

หลังจากมาถึงส่วนนี้ เทลาวิฟก็คาดเดาต่อไปด้วยจินตนาการอย่างสมกับเป็นนักเวท ซึ่งมันไปไกลกว่า ‘ทะเลดีแรค’ หรือทะเลแห่งมโนภาพจากโลกเดิมของลูเซียน เขาเชื่อว่ามหาสมุทรแห่งพลังงานลบซึ่งมีอยู่ทุกหนทุกแห่งนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้พลังเหนือธรรมชาติอย่างเวทมนตร์มีอยู่ได้ ทั้งพลังจิต เจตจำนง และลวดลายสัญลักษณ์เวทมนตร์ต่างจำเป็นต้องสื่อสารกับมหาสมุทรแห่งพลังงานลบด้วยวิธีการพิเศษ จึงต้องใช้พลังเหนือจินตนาการที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้ ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นต้นกำเนิดของพลังเวทมนตร์และพลังเหนือธรรมชาติอื่นๆ ทั้งยังมอบคำอธิบายให้กับกฎทรงพลังงาน[1]ของเวทมนตร์อีกด้วย

เฮลเลน แม่มดแห่งแดนน้ำแข็งเคยทดสอบกฎทรงพลังงานระหว่างพลังจิตกับเวทมนตร์เมื่อนานมาแล้ว พลังจิตจะถูกใช้ไปพอๆ กับพลังงานที่คาถาบทนั้นๆ มีในตอนแรกเริ่ม เหตุผลที่ว่าทำไมเวทมนตร์คาถาบางบทจึงสำแดงฤทธิ์ร้ายแรงกว่าพลังจิตที่ดูดซับไปก็คือ เวทมนตร์บทนั้นๆ มีปฏิกิริยากับสภาพแวดล้อมและไปกระตุ้นปฏิกิริยาลูกโซ่ ตัวอย่างที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คงจะเป็น ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’ แต่คำถามยังคงมีอยู่ว่า พลังจิตเติมเต็มกลับมาได้อย่างไรหลังจากถูกดูดซับไป

การฟื้นฟูพลังจิตให้กลับมาเต็มด้วยน้ำยาเวทมนตร์นั้นเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครนึกสงสัยถึงแหล่งกำเนิดพลังงาน แต่ทว่า การเพิ่มพูนพลังจิตขึ้นตามธรรมชาตินั้นค่อนข้างเป็นเรื่องแปลก ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูช้าๆ ในแต่ละวัน หรือการฟื้นฟูอย่างรวดเร็วด้วยการนั่งสมาธิเข้าฌาน ย่อมต้องมีแหล่งกำเนิดพลังงานที่เชื่อถือได้ มันมิใช่ว่าพลังจิตจะฟื้นฟูมาได้โดยไม่ต้องใช้อะไรเสียหน่อย เมื่อบางสิ่งเพิ่มขึ้น สิ่งอื่นย่อมต้องลดลง แต่ปัจจุบันกลับไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นถึงการลดลงที่ว่านี้เลย

ยามนี้มีคำอธิบายเกี่ยวกับคำถามนั้นที่เป็นกระแสหลักอยู่สองแบบ แบบแรกเชื่อว่าการฟื้นฟูพลังจิตมีแก่นแท้คือปฏิกิริยาภายในดวงจิต หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ดวงจิตเป็นเหมือนเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้ ซึ่งจะผลิตพลังงานออกมาให้กับคนผู้นั้นด้วยอัตรามั่นคง ทว่า คำอธิบายนี้ก็ต้องประสบปัญหาเดียวกัน คือ แม้แต่เครื่องปฏิกรณ์ก็ต้องใช้วัตถุดิบที่ยังไม่ผ่านการแปรรูป แล้วดวงจิตดูดซับอะไรเข้าไปเพื่อทำให้เกิดพลังงานกันเล่า

เพื่อที่จะตอบคำถามนั้น โอลิเวอร์ มหาจอมเวทผู้ ‘มีความโรแมนติก’ ที่สุด จึงได้นำเสนอแบบจำลองที่ดูน่าเชื่อถืออย่างยิ่ง นั่นคือ สิ่งที่ดวงจิตดูดซับก็คือ ‘ตัวมันเอง’ เมื่อ ‘ตัวมันเอง’ ถูกดูดซับไปจนหมด มันก็จะจบชีวิตลง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการเพิ่มศักยภาพทางเวทมนตร์จึงทำให้มีชีวิตยืนยาวหลังจากที่ดวงจิตได้รับการเสริมพลังแล้ว ช่วงชีวิตยืนยาวสามารถขยายออกไปได้ผ่านพิธีกรรมเช่นกัน เพราะมันจะเติมเต็มดวงจิตที่เสื่อมถอยลงขึ้นใหม่

แต่แบบจำลองนี้กลับมีข้อบกพร่องในตัวมันเอง และแม้แต่โอลิเวอร์เองก็ยังไม่เห็นด้วยกับมันเสียทั้งหมด จากทฤษฎีของเขา หากคนผู้หนึ่งใช้เวทมนตร์น้อยลง หรืออาจกระทั่งไม่ใช้เลย ช่วงชีวิตอันยืนยาวของคนผู้นั้นจะเพิ่มขึ้นมากอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ช่องว่างระหว่างช่วงชีวิตของจอมเวทผู้ใช้เวทมนตร์น้อยกว่าคนที่ใช้บ่อยๆ กลับไม่แตกต่างกันมากนัก

คำอธิบายอีกแบบหนึ่งเกี่ยวกับการฟื้นฟูพลังจิตก็คือ พลังงานจะมาจาก ‘ความจริงของโลก’ และ ‘การเข้าฌาน’ ก็เป็นวิธีการเชื่อมต่อดวงจิตกับ ‘ความจริงของโลก’ มันสามารถพิสูจน์ยืนยันได้ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าเหล่านักเวทชั้นสูงจะได้รับการตอบสนองจากโลกแห่งความเป็นจริงจากความจริงของโลกในขณะที่ชั้นอื่นๆ ไม่สามารถทำได้

ส่วนเรื่องที่ว่าความจริงของโลกอยู่ ณ แห่งหนใด และพลังงานถูกส่งมาอย่างไรนั้น ก็คืออีกปัญหาหนึ่ง

ทว่า มันไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมอัศวินกับสัตว์อสูรเวทมนตร์จึงสามารถฟื้นฟูพลังได้ด้วยตนเอง เว้นแต่ว่าพวกนั้นจะเชื่อมโยงกับ ‘ความจริงของโลก’ เช่นกัน แต่ไม่ทราบอย่างไรจึงไม่สามารถรับการตอบสนองจาก ‘ความจริงของโลก’ ได้

เพราะแทบไม่มีความก้าวหน้าใดๆ ในเรื่องของดวงจิตและ ‘ความจริงของโลก’ คำอธิบายทั้งสองแบบซึ่งเป็นกระแสหลักจึงเป็นได้เพียงข้อสันนิษฐานที่ไม่ได้รับการยืนยันจากทฤษฎีหรือสมการใด

ในทางกลับกัน แบบจำลองพลังงานลบของเทลาวิฟได้บรรยายถึงมหาสมุทรแห่งพลังงานที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งและอธิบายวิธีการฟื้นฟูพลังจิตในแบบที่ตรงไปตรงมาอย่างที่สุดโดยยึดหลักจากสมการลูเซียน รวมถึงพลังงานลบและปฏิสสารซึ่งพิสูจน์ยืนยันได้จริง

‘ฌานสมาธิ’ คือการสื่อสารระหว่างดวงจิตกับมหาสมุทรแห่งพลังงานลบ เพราะมันมีอยู่ทุกหนทุกแห่งและแทบจะมีพลังงานอย่างไร้ขอบเขต ดวงจิตจึงสามารถดูดซับพลังงานจากมันเพื่อฟื้นฟูพลังจิต ส่วนการตอบสนองจาก ‘ความจริงของโลก’ จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางประการในโลกแห่งปัญญาซึ่งจะทำให้การสื่อสารกับมหาสมุทรแห่งพลังงานลบมีความเข้มข้นขึ้น

ด้วยตรรกะเดียวกันนี้ แบบจำลองมหาสมุทรพลังลบจึงอธิบายได้ว่าเหตุใดเวทมนตร์พหุสัณฐานจึงใช้พลังงานมหาศาลเพื่อคงรูป แต่กลับใช้เพียงเล็กน้อยเพื่อกระตุ้นใช้ในตอนแรก หลังจากที่ลูเซียนนำเสนอสมการมวลสาร-พลังงาน การศึกษาเกี่ยวกับเวทมนตร์เหล่านั้นจึงได้ผลลัพธ์ที่ทำให้เกิดข้อสงสัยต่อกฎทรงพลังงาน แต่ว่า เฮลเลนได้ทำการทดลองแสนยอดเยี่ยมที่ได้ผลลัพธ์ออกมาว่าการไม่อนุรักษ์พลังงานในความหมายทั่วๆ ไปนั้นไม่มีอยู่จริง

แบบจำลองนี้สำคัญมากเสียจนเทลาวิฟต้องกล่าวขอบคุณสภาเวทมนตร์ ท่านผู้บัญชาอะตอม สมาการลูเซียน และข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับปฏิสสารอย่างซาบซึ้งหลังจากจบเนื้อหาหลักของบทความ และเขายังตั้งชื่อเล่นให้กับแบบจำลองพลังงานลบของเขาว่า ‘ตาน้ำเวทมนตร์’ และ ‘มหาสมุทรเหนือธรรมชาติ’

“งานเขียนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง มันบ่งบอกว่าเรามีทิศทางใหม่ในการศึกษาธรรมชาติของเวทมนตร์…” ลูเซียนกวาดตาอ่านบทความเร็วๆ แล้วออกความเห็นอย่างเป็นกลาง

ไฮดี้ถามกลับด้วยดวงตาที่เปล่งประกายระยิบระยับดั่งคริสตัลภายใต้แสงจากโคมไฟเวทมนตร์ “ท่านยอมรับแบบจำลองนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ อาจารย์”

“ยอมรับงั้นหรือ ข้าจะยอมรับบทความที่ไม่มีผลการทดลองกับปรากฏการณ์มารองรับได้อย่างไร แนวคิดของเขาก้าวหน้าล้ำสมัยอย่างยิ่งและมันได้มอบเส้นทางใหม่ให้แก่เรา ซึ่งอาจอธิบายได้ถึงธรรมชาติของเวทมนตร์ แต่ก็ยังต้องรอดูว่ามันจะเป็นเส้นทางที่ผิดหรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับคณิตศาสตร์และผลการทดลอง” ลูเซียนตอบยิ้มๆ

แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าแบบจำลองนี้ถูกคนจากโลกเดิมละทิ้ง เขาก็ไม่คิดเร่งร้อนแสดงความไม่เห็นด้วย

ในทางหนึ่ง ลูเซียนกำลังออกสำรวจท่ามกลางม่านหมอกด้วยตนเองอยู่ ยิ่งเขาศึกษาเกี่ยวกับโลกจุลภาคมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตระหนักว่ามันจะต้องเป็นเหตุผลขั้นพื้นฐานของความแตกต่างระหว่างทั้งสองโลกอย่างแน่นอน แต่จะเป็นส่วนไหนที่สร้างความแตกต่างนั้น ยังต้องทำการสำรวจต่อไปในอนาคต ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่สามารถไม่เห็นด้วยกับมันเพียงเพราะว่าทฤษฎีนี้เคยมีคนจากโลกเดิมพิสูจน์ว่าไม่เป็นความจริง แต่เขาจำเป็นต้องทำการทดลองและการอนุมานด้วยตนเอง

ในอีกทางหนึ่ง ลูเซียนเองก็หวังว่าแบบจำลองนี้จะสามารถจุดประกายความคิดให้เหล่าจอมเวทหันมาพิจารณาเกี่ยวกับแก่นแท้ของเวทมนตร์มากขึ้น เป็นเวลานานมากแล้วที่การศึกษาเรื่องแก่นแท้ของเวทมนตร์หยุดชะงักไปเพราะปัญหายากลำบากทั้งหลาย จอมเวทส่วนใหญ่จึงหมดความสนใจในเรื่องนี้ แทนที่จะมานั่งสงสัยว่าเหตุใดจึงมีเวทมนตร์ พวกเขาเพียงอุทิศตนให้กับการสร้างเวทมนตร์ใหม่ๆ และปรับปรุงเวทมนตร์ที่มีอยู่แต่เดิม ด้วยหวังว่าเหตุผลจะเผยตัวออกมาเองเมื่อพวกเขาขุดค้นลึกลงไปตามส้นทางที่พวกตนเชื่อ ยิ่งหลังจากที่ลูเซียนได้นำเสนอทฤษฎีผลกระทบจากผู้สังเกตในขอบเขตของโลกจุลภาค วิธีการศึกษาของพวกเขาก็ดูเหมือนจะถูกต้อง

“อาจารย์ของเราพูดถูก มันเป็นเพียงแบบจำลองที่มีความเป็นไปได้ แต่การใช้แบบจำลองนี้ สภาวะควอนตัม การซ้อนทับของควอนตัม และผลกระทบจากผู้สังเกตดูจะไม่จำเป็นต้องใช้เพื่ออธิบายแก่นแท้ของเวทมนตร์เลย” เลย์เรียเอ่ยเสียงเหม่อลอยขณะตกอยู่ในภวังค์ และนั่นก็ทำให้ไฮดี้อดหัวเราะไม่ได้ ‘นี่นางกำลังบอกเป็นนัยๆ ว่าทฤษฎีผลกระทบจากผู้สังเกตของอาจารย์เรามีข้อผิดพลาดต่อหน้าท่านเลยหรือ แต่ก็นะ แอนนิคกับสปรินต์คงจะต้องดีใจมากแน่ ความชื่นชมต่อบทความนี้แสดงออกชัดบนหน้าตาพวกเขาเสียขนาดนั้น’

ลูเซียนแย้มยิ้ม “มันอาจอธิบายได้เพียงการฟื้นฟูพลังจิต แต่มันอธิบายไม่ได้ว่าทำไมมหาสมุทรแห่งพลังงานลบจึงติดต่อสื่อสารได้ หรือว่าเหตุใดมันจึงมีเวทมนตร์มากมายมหาศาล นั่นคงจะจัดอยู่ในประเภทของผลกระทบจากผู้สังเกต สภาวะควอนตัม และการซ้อนทับของควอนตัม”

แอนนิคและสปรินต์ไม่มีทฤษฎีใดจะมาอธิบายคำถามเหล่านั้นได้ ดังนั้น แม้ว่าลูเซียนจะมองออกว่าพวกเขาหาได้เห็นด้วยกับเขาไม่ ทั้งสองก็ไม่ได้เอ่ยทัดทานอันใด

“มีบทความอื่นอีกหรือไม่” ลูเซียนถามด้วยท่าทางสบายๆ ขณะเปิดวารสารไปเรื่อยๆ

………………………………….

[1] เป็นกฎในทางฟิสิกส์ที่กล่าวว่า พลังงานจะถูกอนุรักษ์ตลอดช่วงเวลา พลังงานที่ป้อนเข้าไปในระบบใดระบบหนึ่ง จะเท่ากับพลังงานที่ส่งออกมา พลังงานไม่สามารถถูกสร้างขึ้นใหม่หรือถูกทำลาย มันทำได้แต่เพียงเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงานรูปแบบอื่นเท่านั้น