ภายในเมืองทางตอนเหนือใกล้กับดินแดนเยือกแข็ง สภาพอากาศในเดือนแห่งการเก็บเกี่ยวหนาวลงมากแล้ว แต่อากาศวันนี้กลับอบอุ่นสะบายกว่าปกติ

ทหารม้ากลุ่มหนึ่งควบผ่านทะเลทรายอย่างเร่งรีบ แสงแดดสะท้อนมะลังมะเลืองจากชุดเกราะสีดำของพวกเขาและย้อมเหรียญตราสัญลักษณ์รูปหมีโลหิตให้เป็นสีทอง

พวกเขาดูคล้ายกับกำลังตามหาบางสิ่งบางอย่างอยู่ แต่กลับมองเมินกลุ่มทหารรับจ้างที่อยู่ไม่ห่างจากพวกเขาราวกับเหล่าทหารรับจ้างไม่มีตัวตน

“ถ้าข้าจำไม่ผิด เวทพรางกายแบบกลุ่มเป็นเวทมนตร์ระดับเจ็ดมิใช่หรือ” ในหมู่ทหารรับจ้างมีสุภาพบุรุษผู้หนึ่งที่ดูไม่เหมือนทหารรับจ้างเลยสักนิด เขาเอนกายพิงลำตัวของม้าด้วยท่าทางเกียจคร้านในชุดสูททักซิโดสีแดงและถือแก้วไวน์ในมือ ราวกับกลัวว่าคนอื่นๆ จะไม่ทราบว่าเขาคือ ‘ชนชั้นสูง’

คาทรินาตอบคำถามของไวเคานต์คาเรนเดียด้วยความภาคภูมิใจ “หลังจากที่สภาก่อตั้งขึ้น ก็มีการศึกษาวิจัยเรื่องแสงมาตลอด ดังนั้น เราจึงมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการอำพรางอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นเวทพรางกายแบบเดี่ยวหรือแบบกลุ่ม ล้วนมีแก่นแท้เดียวกัน”

“มันไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิดที่จะสร้างเวทมนตร์ระดับห้าที่มีคุณสมบัติส่วนหนึ่งของเวทพรางกายแบบกลุ่ม และว่ากันตามจริงแล้ว ที่ท่านไม่เคยเห็นเวทมนตร์บทนี้ก็เพราะว่ามันสามารถตบตาได้เพียงอัศวินทั่วๆ ไปเท่านั้นเจ้าค่ะ ท่านไวเคานต์”

“บางครั้งข้าก็นึกอิจฉาเหล่าจอมเวทจริงๆ พวกเจ้าดูกระตือรือร้นในการสำรวจค้นคว้าอยู่ตลอด และพวกเจ้าก็ไม่เคยเบื่อเลย ต่างจากเราที่ใช้เวลาส่วนใหญ่เฉาตายอยู่ในปราสาททึบทึม บางทีข้าก็รู้สึกว่าชีวิตนี้ช่างไร้สีสันและไม่มีอะไรน่าสนใจ และการมีชีวิตอยู่นั้นไม่ต่างจากการตายไปแล้วเลย” ไวเคานต์คาเรนเดียยกไวน์ขึ้นจิบ แสร้งทำเป็นว่าตนคือจิตกรผู้โศกเศร้าตรอมใจ

คาทรินาแย้มยิ้ม “ท่านแวมไพร์ เหล่าแวมไพร์มิใช่วิญญาณหรอกหรือ เหตุใดท่านจึงเกิดภาพหลอนว่าท่านยังมีชีวิตอยู่อีกเล่า”

“ก็ฟังดูสมเหตุสมผล…” ไวเคานต์คาเรนเดียพลันพูดอะไรไม่ออกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสตรีผู้เติบโตมาภายใต้ ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ และระบบการเรียนการสอนของลูเซียน

แอนนามองทั้งสองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นางได้ค้นพบเรื่องที่น่าปลื้มปีติอย่างการที่คาทรินา นักเวทที่แสนทรงพลังและลึกลับ กับไวเคานต์คาเรนเดีย แวมไพร์ผู้หล่อเหลาเหนือคำบรรยาย ยังคงมีด้านที่เป็นปกติธรรมดา ทั้งสองหาได้มีท่าทีหยิ่งยโสและมองผู้อื่นราวกับสิ่งต้อยต่ำอย่างที่นางหวาดกลัว

หลังจากที่ทหารม้าจากไปไกล คาทรินาก็หันกลับมาหาแอนนาและยาคอฟ “เจ้าตัดสินใจได้หรือยังว่าจะไปที่ใดต่อ”

เนื่องจากไวเคานต์แอนดรีคือทายาทคนเดียวของเคานต์คัลเคต กลุ่มทหารรับจ้างจึงเกรงว่าจะเกิดการตามล้างแค้นแม้ว่าแอนดรีควรจะถูกประหารเพราะเป็นตัวการในคดีบูชาปีศาจก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ทางศาสนจักรจะปกป้องกลุ่มคนไร้ความสำคัญเช่นพวกเขาให้อยู่รอดปลอดภัยไปตลอด

ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่เหตุการณ์จบลง พวกเขาก็ฉวยโอกาสนี้ไปหาครอบครัว แสร้งว่าตนตายจากเทศกาลฆ่าฟัน แล้วออกมาจากเมืองคัลเคตพร้อมกับคาทรินาและไวเคานต์คาเรนเดีย

“พี่คาทรินาได้ทิ้งสัญลักษณ์ของหน่วยตรวจสอบจากสภาเวทมนตร์ไว้ในคฤหาสน์แล้ว ข้าไม่คิดว่าเคานค์คัลเคตจะให้ความสนใจอะไรกับเรามากนัก ทุกสิ่งคงจะเหมือนเดิมตราบใดที่เราไม่อยู่ที่เมืองทางตอนเหนือนี้ เราเลยเลือกที่จะไปในที่ที่เราคุ้นเคยเจ้าค่ะ” หลังจากรอดพ้นวิกฤติมาได้ แอนนาก็ไม่นึกประหวั่นต่ออันตรายที่ร้ายแรงน้อยกว่าเสียเท่าไหร่ “แล้วท่านล่ะเจ้าคะ ท่านจะกลับไปที่สภาเวทมนตร์ใช่หรือไม่”

ด้วยเติบโตมาในจักรวรรดิชาชราน พวกเขาจึงแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความเป็นไปบนโลกนี้ นอกจากยาคอฟที่เคยร่วมมือกับนักเวทเป็นการชั่วคราวแล้ว ทหารรับจ้างคนอื่นๆ ต่างไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสภาเวทมนตร์หรือนครอัลลินมาก่อนเลย พวกเขารู้จักเพียงโฮล์ม ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ อันญมณีพิเศษ และเหมือง และพวกเขาก็มักจะต้องคุ้มกันกลุ่มพ่อค้าที่ลักลอบนำสินค้าเหล่านี้เข้ามาบ่อยๆ

แม้ว่าคาทรินาจะกลายเป็นนักเวทชั้นสูงผู้แข็งแกร่งแล้ว เหล่าทหารรับจ้างก็อดใจไม่ได้ที่จะหันไปมองนางหลังจากได้ยินคำถามของแอนนา ด้วยใจคาดหวังที่จะได้ใช้เวลากับนางให้มากกว่านี้

“ยังมีภารกิจอื่นรอข้าอยู่ ข้าจะยังไม่กลับไปอัลลินในเร็ววันนี้หรอก ที่จริง เจ้าจะไปที่โฮล์มก็ได้นะ ที่นั่นมีอิสระมากกว่าและมีโอกาสมากมายสำหรับการฝึกฝน เจ้าเพียงเดินทางไปให้ถึงอีสต์ฮาเวนหากว่าเจ้าขึ้นเหนือมุ่งหน้าสู่ดินแดนเยือกแข็งแล้วจากนั้นก็เบนไปทางทิศตะวันออก จากที่นั่น จะไปถึงโฮล์มได้ง่ายกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท่านเป็นอัศวินผู้หนึ่ง ยาคอฟ” คาทรินาเอ่ยแนะอย่างจริงใจ

ดวงตาของแอนนาพลันฉายแววแพรวพราวด้วยความตื่นเต้น แต่ไม่นานก็กลับมาเศร้าซึมดังเดิม “พี่คาทรินาเจ้าคะ จริงๆ ข้าก็เคยคิดแบบนั้น แต่…แต่ข้าเกิดและเติบโตขึ้นที่ดินแดนแห่งนี้ และข้าก็รักมันสุดหัวใจ ทั้งอาหาร สถาปัตยกรรม บทกวี เรื่องเล่า ขนบธรรมเนียม และวิถีชีวิตของผู้คนยามอยู่ร่วมกันได้ฝังรากลึกลงในหัวใจข้าเสียแล้ว ข้าไม่อยากไปจากที่นี่ เว้นเสียแต่จะจำเป็นเจ้าค่ะ บางที เราอาจเดินทางไปยังเมืองที่อยู่ถัดไปทางทิศตะวันออกสองสามเมือง ที่นั่นเองก็มีแหล่งทรัพยากรและโอกาสรออยู่มากมายเช่นกันเจ้าค่ะ”

“ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกัน วางใจเถิด ข้าเป็นอัศวินผู้หนึ่ง ย่อมไม่มีชนชั้นสูงคนใดปฏิเสธความสวามิภักดิ์จากอัศวินหรอก แถบนี้มิใช่อาณาประเทศทางตอนใต้ซึ่งไม่เคยได้สู้รบปรบมือมานับศตวรรษเสียหน่อย” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ยาคอฟก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น บางทีเขาอาจจะไปเยือนนครอัลลินในสักวันหนึ่ง แต่นั่นคงเป็นตอนที่เขาเลื่อนระดับขึ้นเป็นมหาอัศวินขั้นที่ห้าแล้ว เพื่อที่เขาจะสามารถมองคาทรินาได้อย่างเท่าเทียม

คาทรินาแอบเอ่ยเตือนแอนนากับยาคอฟโดยไม่ขยับริมฝีปากแม้แต่นิด “เจ้าควรจะแยกทางกับทหารรับจ้างอย่างแฮงก์ที่หักหลังเจ้าและห้ามให้พวกนั้นรู้จุดหมายปลายทางที่แท้จริงของเจ้า มิเช่นนั้นพวกเขาอาจหักหลังเจ้าอีกครั้งเพื่อแลกกับรางวัลจากเคานต์คัลเคต”

แม้ว่านางจะไม่โหดเหี้ยมพอที่จะสังหารพวกเขา แต่นางก็มีความรอบคอบสมกับเป็นจอมเวท

“…เข้าใจแล้ว” ยาคอฟกับแอนนาไม่ค่อยอยากจะยอมรับคำแนะนำนั้นเสียเท่าไหร่ แต่ท้ายที่สุด ทั้งสองก็พยักหน้าระรัวหลังจากนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องขัง ในฐานะทหารรับจ้างมากประสบการณ์ ทั้งสองย่อมคุ้นเคยกับความตายและการฆ่าฟัน พวกเขาจึงไม่ได้รู้สึกอะไรนัก

ด้วยความช่วยเหลือจากเวทมนตร์ คนทั้งกลุ่มจึงมาถึงดินแดนเยือกแข็งทางตอนเหนืออย่างรวดเร็ว แอนนาคว้ามือคาทรินาไปกุมไว้อย่างอาลัยอาวรณ์ ขณะที่ดวงตาฉาบไว้ด้วยม่านน้ำบางๆ “พี่คาทรินา ข้าจะไปเยี่ยมท่านที่โฮล์มสักครั้งหากมีโอกาส”

“ที่นั่นยินดีต้อนรับเจ้าเสมอ หากเป็นไปได้ ข้าอาจจะกลับมาที่จักรวรรดินี้อีกครั้ง เมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าอาจไปกลับบ้านเกิดได้โดยไร้กังวลแล้วก็เป็นได้” เสียงของคาทรินาฟังดูอ่อนโยน ในจักรวรรดิชาชรานมิมีการสื่อสารผ่านสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เทเลแกรม โทรศัพท์บ้าน ไปรษณีย์และบุรุษไปรษณีย์ ในเมื่อยาคอฟกับแอนนายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปลงหลักปักฐาน ณ แห่งหนใด พวกเขาก็อาจติดต่อกันไม่ได้อีกเลยหลังจากลากันไป

เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น คาทรินาก็พลันเข้าใจถึงความสำคัญของการทำให้อุปกรณ์แปรธาตุเป็นที่นิยมแพร่หลาย

จู่ๆ แอนนาก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงเอ่ยด้วยเสียงแผ่ว “พี่คาทรินาเจ้าคะ จักรวาลที่ท่านอัญเชิญมานั้นเป็นพลังชั้นตำนานใช่หรือไม่ นั่นคือพลังจากอาจารย์ บิดา หรือว่า…”

“นั่นคือ ‘จักรวาลอะตอม’ มิติพิเศษของอาจารย์ข้าผู้มีนามว่า ‘ผู้บัญชาอะตอม’ ท่านคือมหาจอมเวทและนักเวทชั้นตำนาน” คาทรินายอมรับตามตรง แน่นอนว่าอาจารย์ของนางมิใช่ผู้ที่จะทำให้นางรู้สึกอับอายเลยสักนิด ในทางตรงกันข้าม นางกลับรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์นาง

“นักเวทชั้นตำนาน! เป็นดังที่ข้าคิดไว้จริงๆ! ท่านแข็งแกร่งเทียบเท่าทูตสวรรค์เสราฟิมเลยหรือไม่เจ้าคะ” แอนนาดูท่าทางทั้งตกตะลึงและสงสัยใคร่รู้ นางไม่รู้ว่ามหาจอมเวทหรือผู้บัญชาอะตอมคืออันใด แต่มิมีใครกล้าดูถูกนักเวทชั้นตำนานอย่างแน่นอน อดีตผู้ปกครองเมืองทางตอนเหนือก็เป็นนักเวทชั้นตำนานหญิงผู้มีนามว่าฟิเทีย ‘จักรพรรดินีแห่งผลึกวารี’ ดังนั้น เรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ใจเกี่ยวกับนางจึงยังคงเล่าขานกันอยู่ มีหลากหลายเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจนผู้คนต่างคิดว่าเหล่านักเวทชั้นตำนานนั้นเป็นรองบรรดาเทพเจ้าที่แท้จริงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ที่คาทรินาเก่งกาจเวทมนตร์หิมะก็เป็นเพราะอาจารย์ของนางส่วนหนึ่ง และอีกส่วนเป็นเพราะนางเติบโตมากับเรื่องเล่าน่าหวาดหวั่นเกี่ยวกับนักเวทผู้นี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะคุ้ยเคยกับอดีตผู้ปกครอง ส่วน ‘จักรพรรดินีแห่งผลึกวารี’ ผู้นี้ ได้หายตัวไปหลังจากที่จักรวรรดิเวทมตร์โบราณล่มสลาย มิมีผู้ใดรู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

“ทูตสวรรค์เสราฟิม…” คาทรินาแย้มยิ้มแต่ไม่ตอบอันใด สำหรับนางแล้ว อาจารย์ของนางย่อมแข็งแกร่งกว่าทูตสวรรค์เสราฟิมทั่วๆ ไป และแทบจะแข็งแกร่งเทียบเท่าราชาทูตสวรรค์เลยทีเดียว

หลังจากที่แอนนา ยาคอฟ และคนที่เหลือออกเดินทางไปตามเส้นทางบนดินแดนเยือกแข็ง ในที่สุดไวเคานต์คาเรนเดียก็เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มๆ “อีวานส์ดูจะยังไม่โด่งดังมากพอในจักรวรรดิชาชราน ข้าเชื่อว่าพวกเขาคงจะตื่นตะลึงยิ่งกว่านี้หากเจ้าเทียบเขากับ ‘ผู้สังเกตการณ์’ ‘เคานต์เนตรเงิน’ หรือ ‘ไรห์น คาเรนเดีย’”

นั่นเป็นเพราะไรห์นมีชื่ออยู่ในบัญชีสังหารของศาสนจักรฝ่ายเหนือ แต่ลูเซียนนั้น เพราะเติบโตพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดและแทบไม่เคยกระทบกระทั่งกับศาสนจักรฝ่ายเหนือ จึงเป็นอยู่ในรายชื่อนั้น ทางศาสนจักรฝ่ายเหนือเข้าอกเข้าใจถึงศักยภาพของตนเองดีและไม่ได้เพิ่มชื่อของบุคคลระดับหัวหน้าทุกๆ คนจากกองกำลังฝ่ายศัตรู พวกเขาจะเลือกศัตรูที่ ‘ก่ออาชญากรรม’ ตามการตัดสินของพวกเขาเท่านั้น

“บัญชีสังหารของศาสนจักรฝ่ายเหนือมิได้มีอิทธิพลถึงเพียงนั้น บัญชีกวาดล้างสิเจ้าคะที่เป็นที่ยอมรับมากว่า…” คาทรินาพูดราวกับว่านี่เป็นเรื่องของอาคาร์นาศาสตร์ สำหรับนักเวทแล้ว การถูกเพิ่มชื่อเข้าไปในบัญชีกวาดล้างถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง

หลังจากพูดคุยสัพเพเหระกันต่อเล็กน้อย ไวเคานต์คาเรนเดียก็เริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง “ข้ายังรู้สึกว่ายังมีปริศนาอีกมากมายในคดีบูชาปีศาจนี่ ความจริงอาจไม่เป็นอย่างที่เราคาดเดาก็เป็นได้ บางที ไวเคานต์แอนดรีอาจเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง…”

เขาเกิดความสงสัยนี้จากความบังเอิญทั้งหลายในเหตุการณ์ แต่เขายังไม่มีหลักฐานหรือข้อสันนิษฐานใดในยามนี้

“ใช่เจ้าค่ะ นั่นคือเหตุผลที่ข้าเพียงบอกลำดับเหตุการณ์ที่เราพบเจอไปในรายงานที่ข้าส่งผ่านดาวเคราะห์เทียม ข้าไม่ได้สรุปคดีเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ในคณะกรรมการกิจการได้รับอิทธิพลทางความคิด บางที พวกเขาอาจมีข่าวกรองที่เราไม่รู้ก็เป็นได้เจ้าค่ะ…” คาทรินาพยักหน้าเห็นดีเห็นงาม

ในคืนวันนั้น นางใช้ดาวเคราะห์เทียมส่งรายงานภารกิจกลับไปอย่างง่ายดาย บางที โลกใบนี้ก็ดูเล็กจ้อยสำหรับนาง เพราะมันไม่มีปัญหาอะไรเลยในการติดต่อสื่อสารกับนครอัลลินที่อยู่ห่างไกลออกไป จนกระทั่งนางต้องมองส่งแอนนาจากไปเมื่อครู่นี้ นางจึงได้ตระหนักว่าโลกยังคงกว้างใหญ่นัก ใหญ่เสียจนคนสองคนไม่อาจพบหน้ากันอีกครั้งหลังจากบอกลา

“ข้าพบร่องรอยของบิดาข้าแถวๆ นี้ ข้าจึงจำต้องไล่ล่าหาตัวเขา ภารกิจถัดไปของเจ้าข้าคงอาจช่วยเหลือได้” ไวเคานต์คาเรนเดียพูดยิ้มๆ แต่ดวงตาของเขากลับฉายแววเย็นเยียบ

‘บิดา? ไล่ล่า? นี่ท่านไรห์นจะไม่จัดการเรื่องนี้เสียหน่อยหรือ’ คาทรินารู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง แต่นางก็มีเหตุผลมากพอที่จะไม่ไต่ถามบีบคั้นอะไรอีก นางจึงออกเดินทางไปยังเมืองดูมิวท์ด้วยตัวเอง

ในหอคอยอัลลิน ด้านในสถาบันอะตอม…

ลูเซียนเพิ่งจะเลื่อนระดับพลังให้กับนาฬิกาจันทรากาลเสร็จ ทันทีทที่เขาเข้ามาในห้องสมุด ก็เห็นไฮดี้เดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับวารสารเล่มหนึ่งในมือ ลูกศิษย์ของเขาเอ่ยด้วยท่าทางเปี่ยมด้วยไฟปรารถนา “อาจารย์เจ้าคะ บทความใน ‘เวทธาตุ’ ได้สร้างแบบจำลองที่เป็นไปได้สำหรับข้อสันนิษฐานของท่านในเรื่องพลังงานลบและปฏิสสารเจ้าค่ะ”

“แบบจำลองที่เป็นไปได้งั้นรึ” ลูเซียนพอจะเดาได้ว่ามันจะเกี่ยวกับอะไรเมื่อดูจากงานศึกษาวิจัยในช่วงนี้ เขาถามกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มๆ

“เจ้าค่ะ พลังงานลบคือมหาสมุทรในสุญญากาศ บางที นี่อาจเป็นแหล่งกำเนิดของพลังงานก็เป็นได้ ใช่ไหมเจ้าคะ สุญญากาศไม่จำเป็นจะต้องว่างเปล่าเสียหน่อย” ไฮดี้ค่อนข้างสนใจในเรื่องนี้ แอนนิคและสปรินต์เองก็สนใจบทความนี้เช่นนั้น จึงเข้ามาร่วมวงด้วย

ลูเซียนยิ้มแฝงนัย “ใช่แล้ว สุญญากาศไม่ได้ว่างเปล่า”