ภาคที่ 5 ตอนที่ 32 บดขยี้ด้วยพลังที่แท้จริง!

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 32 บดขยี้ด้วยพลังที่แท้จริง! Ink Stone_Fantasy

 

          “พูดก็พูดเถอะ… เจ้าไม่คิดว่าการกระทำของเจ้ามันจะเสี่ยงไปหน่อยหรือ”

            เสี่ยวชีที่ยืนอยู่ตรงตีนเขาภายนอกหุบเขาจันทร์เต็มดวงไม่สามารถเก็บความสงสัยไว้ได้อีก

            ตอนที่ดวงจันทร์สีทองลอยขึ้นบนท้องฟ้า พวกเขาซึ่งอยู่ภายใต้อาคมพรางกายก็ดอดเข้ามาจนถึงหุบเขาจันทร์เต็มดวงได้พอดี แถมที่นี่ยังเป็นขอบของค่ายกลค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งทำลายอีกด้วย ซึ่งค่ายกลนี้ก็อาจทำงานขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ หวังลู่ผู้เป็นหัวหน้ามีท่าทีสงบสุขุมยิ่งนักราวกับว่าชัยชนะอยู่ในมือของเขาแล้ว ทว่าความร้อนรนในใจของเสี่ยวชีกลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

            เมื่อได้ยินคำถามของเสี่ยวชี หวังลู่ก็ละสายตาออกจากพระจันทร์เต็มดวง เขายิ้มและถามกลับ “ทำตัวเสี่ยงเกินไปตรงไหน เราไม่ได้จะย่องมาขโมยฮูหยินของปรมาจารย์เหอถู [1] เสียหน่อย”

            เสี่ยวชีกล่าว “ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าวิเคราะห์สถานการณ์ให้ฟัง ความผิดพลาดของศัตรูถูกนับว่าเป็นส่วนสำคัญ มันเหมือนเจ้าเชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายต้องทำพลาดอย่างแน่นอน แม้การวิเคราะห์ของเจ้าจะฟังดูมีเหตุผล และอาเซี่ยก็มีแนวโน้มที่จะทำแบบนั้น แต่ถ้าความหวังที่เราจะได้ชัยชนะขึ้นอยู่กับโอกาสที่อีกฝ่ายจะทำพลาด แบบนั้นมันจะไม่…”

            หวังลู่ถามกลับ “ใครว่าว่าข้าหวังพึ่งความผิดพลาดของอีกฝ่ายกัน ข้าไม่เคยพูดว่าอาเซี่ยจะทำแบบนั้นแน่นอน ข้าแค่อนุมานอย่างเป็นเหตุเป็นผลเท่านั้น เพราะความจริงยังมีปัจจัยที่เราไม่รู้อยู่อีกมาก แต่ต่อให้เขาไม่ทำอย่างที่คาดไว้ก็ไม่เป็นไร”

            เสี่ยวชีอึ้งไป “ไม่เป็นไร? ต่อให้อีกฝ่ายตอบโต้อย่างอย่างสมน้ำสมเนื้อน่ะหรือ”

            หวังลู่ยิ้มบาง “ใช่ ไม่เป็นไร คุณหนูเจ็ด ข้าบอกท่านแล้ว ครั้งนี้ข้าต้องการบดขยี้พวกนั้นด้วยพลังที่แท้จริงที่ข้ามี ไม่ใช้อุบายหรือแผนการอะไรทั้งนั้น”

            เสี่ยวชีจ้องไปที่หวังลู่ พยายามจะอ่านความตั้งใจจริงจากใบหน้าของอีกฝ่าย

บดขยี้พวกนั้นด้วยพลังที่แท้จริง? เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่เป็นพวกเราเองที่ถูกบดขยี้ แค่ราชาพยัคฆ์เพียงคนเดียว โอกาสที่เราจะชนะก็มีเพียงครึ่งเท่านั้น…

            เมื่อเห็นว่าเสี่ยวชียังแคลงใจอยู่ หวังลู่จึงอธิบายเพิ่ม “โดยแก่นแท้แล้ว ข้าเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา…”

            ก่อนที่เขาจะได้พูดต่อ เขาก็ได้ยินบางคนหัวเราะออกมา

            “คิกๆ!”

เป็นหลิวหลีที่ไม่อาจกลั้นขำไว้ได้อีก

            หวังลู่ถามอย่างโกรธๆ “เจ้าขำอะไรน่ะ!?”

            หลิวหลีหยุดหัวเราะทันที จากนั้นก็ถามขึ้นอย่างสงสัย “ก็อาจารย์เคยสอนว่า ตอนคนอื่นเล่าเรื่องตลก เราควรหัวเราะเพื่อให้เกียรติไม่ใช่หรือ”

            “…แล้วใครบอกเจ้ากันว่าข้ากำลังเล่าเรื่องตลกอยู่”

            หลิวหลีเถียงอย่างจริงจัง “อาจารย์สอนว่า ตอนที่บางคนกำลังตั้งอกตั้งใจเล่าในสิ่งที่ไร้เหตุผล นั่นแปลว่าเขากำลังพูดเรื่องตลกอยู่ ศิษย์พี่ เมื่อครู่ท่านเองก็ทำแบบนั้น เพราะท่านน่ะความจริงเป็นคนชั่วร้ายที่สุดแล้ว!”

            หวังลู่ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที “เฮ้ เฮ้ ข้าเป็นคนชั่วร้ายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ข้าเคยวางยาแล้วข่มขืนเจ้าหรือไง”

            หวังลู่คิดว่าหลิวหลีหมายถึงตอนที่เขาใช้เล่ห์กลเอาชนะนางในการต่อสู้รอบชิงชนะเลิศบนลานเมฆาเมื่อหลายปีก่อน ใครจะรู้ว่า…

            หลิวหลีกะพริบดวงตาคู่โตสวย จากนั้นก็ถามอย่างใสซื่อ “วางยาและข่มขืนคืออะไร[2]”

            “…” หวังลู่รู้สึกเหมือนขุดหลุมฝังตัวแอง หลังจากนิ่งอึ้งอยู่พักหนึ่ง เขาก็ค่อยๆ เปิดปากเพื่ออธิบาย “มันหมายถึง แม้บางคนจะมีอายุไม่น้อยแล้ว แต่เขายังแข็งแรงปึ๋งปั๋ง เราจึงเรียกเขาว่าแก่แต่ก็เต็มไปด้วยพละกำลัง [3] หรือเรียกอีกอย่างว่าวางยาและข่มขืน”

            “ฮ่าๆ!” คราวนี้เป็นเสี่ยวชีที่ไม่อาจกลั้นหัวเราะได้

ทว่าหลิวหลีกลับพยักหน้าอย่างพาซื่อ “ข้าเข้าใจแล้ว โอ๊ะๆ งั้นตามคำอธิบายของศิษย์พี่ ท่านลุงเจ้าสำนักก็เป็นพวกวางยาและข่มขืนสินะ”

            “เอ่อ ถูกแล้ว ตอนเจ้ากลับขึ้นเขาไป ก็อย่าลืมกล่าวชื่นชมเขาด้วยเล่า”

            “เข้าใจแล้ว!” หลิวหลีพยักหน้าจากนั้นก็พูดขึ้น “ขอบคุณศิษย์พี่ที่ชี้แนะข้า!”

            “เรื่องเล็กน้อย” หลังจากจัดการกับหลิวหลีได้แล้ว หวังลู่ก็พูดกับเสี่ยวชี “พูดสั้นๆ คือ เชื่อข้าเถอะ”

            ใบหน้าอาบรอยยิ้มของเสี่ยวชีบิดเบี้ยวไปทันที “ก็ได้ ข้าจะเชื่อเจ้า!”

            ทันใดนั้นทั้งกลุ่มก็เงียบเสียงลงราวกับตกลงกันไว้ก่อน จากนั้นพวกเขาก็ค่อยๆ เงยหน้ามองท้องฟ้าทีละคน

            ในที่สุดไข่สีทองบนฟากฟ้าก็แตกออก

——

            “แกนจักรพรรดิปรากฏออกมาแล้ว!”

            ผู้คนจำนวนมากในหุบเขาจันทร์เต็มดวงต่างร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

            ในตอนนั้นพระจันทร์เต็มดวงสีทองก็หลอมละลายราวกับไข่แดงที่แตกออก มันเปล่งแสงสีทองออกมานับล้านๆ สายกระจายออกไปในความมืดมิด

            ความเร็วในการกระจายนับว่ารวดเร็ว เพราะภายในไม่กี่อึดใจ ฟากฟ้าครึ่งหนึ่งก็อาบไปด้วยแสงจันทร์ที่หลอมละลายนี้

            จากนั้นแสงจันทร์ก็ตกลงมา ลำแสงสีทองนับล้านๆ สายร่วงหล่นลงมาบนโลกราวกับเป็นห่าฝน

            คนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ส่วนหนึ่งที่ประจำการอยู่บนที่สูงของหุบเขาจันทร์เต็มดวงเป็นพวกแรกๆ ที่รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้

            แม้แกนแสงจันทร์สีทองยังไม่ตกลงมาถึงพื้น แต่พลังปราณฟ้าดินกลับไหลพล่านอย่างรุนแรง ผู้บำเพ็ญเซียนบางคนที่มีความรู้สึกไวต่อพลังปราณฟ้าดินต่างรู้สึกว่ามีเสียงลมกรรโชกและเสียงคลื่นซัดสาดดังก้องอยู่ในหู พวกเขารู้สึกเหมือนมีฟ้าผ่าอยู่กลางอากาศ ทำเอาจิตใจสั่นไหวและดวงวิญญาณกระตุก

นี่คือการเปลี่ยนสภาพของโลกอย่างแท้จริง! แกนจักรพรรดิที่หกสิบปีจะเกิดสักครั้งไม่ได้กระจายไปทั่วอาณาจักรเก้าแคว้น… ในแคว้นทักษิณสวรรค์ก็เคยมีปรากฏการณ์แกนจักรพรรดิเช่นกัน แต่การไหลพล่านของพลังปราณฟ้าดินของที่นั่นน้อยกว่าอยู่หลายเท่า!

            ไม่แปลกเลยที่มันจะมีพลังจนสามารถเปลี่ยนร่างของสัตว์เซียนได้ สถานที่แห่งนี้คู่ควรในการเป็นที่อยู่ของเซียนอย่างแท้จริง!

            ความจริงแล้ว เขาอวิ๋นไท่ในตอนนี้กลับเงียบสงบอย่างไม่น่าเชื่อ ความแปรปรวนของพลังปราณฟ้าดินไม่ได้สำแดงออกมาให้เห็น ลำแสงสีทองค่อยๆ ตกลงมายังโลกอย่างเงียบๆ ความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างสงบ

            เมื่อเห็นว่าแกนแสงจันทร์กำลังตกลงมาที่เขาอวิ๋นไท่ ผู้อาวุโสสูงสุดที่อยู่บนยอดเขายอดเมฆาก็ส่งเสียงดังทำลายความเงียบออกมา “เปิดใช้งานค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งทำลายได้!”

            สิ้นคำสั่ง ผู้บำเพ็ญเซียนนับร้อยที่อยู่ทั้งภายในและภายนอกหุบเขาจันทร์เต็มดวงก็ตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน “ขอรับ!”

            จากนั้นพวกเขาก็เริ่มร่ายอาคมออกมาเสียงดัง เมื่อคนนับร้อยต่างทำหน้าที่ในส่วนของตัวเอง เสียงร่ายอาคมของแต่ละคนจึงแตกต่างออกไป คนนับร้อยเปล่งเสียงออกมาพร้อมๆ กัน จนทำให้เกิดคลื่นเสียงดังปุดๆ คล้ายเสียงสิ่งของกำลังถูกต้มดังไปทั่วหุบเขาจันทร์เต็มดวง ขณะเดียวกันพลังลบก้อนมหึมาที่ถูกผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนสี่คนกดเอาไว้ด้วยการใช้ค่ายกลสี่ทิศก็ค่อยๆ ปะทุออกมา

            เมื่อกระแสของแกนจักรพรรดิเกือบจะลงมาถึงหุบเขา วิญญาณหยดสุดท้ายของสุนัขภูตนับหมื่นที่ถูกเก็บไว้บนหุบเขาก็เหือดแห้งลงพอดี จากนั้นพวกมันก็ถูกคนฆ่าสัตว์ชื่อดังในสาขาสังหารด้วยวิธีการที่อำมหิตที่สุด นั่นคือทรมานจนตายชนิดที่ว่าไม่เหลือซาก ภูตผีสุนัขนับหมื่นที่มีความคับข้องใจอย่างท่วมท้นก็มารวมตัวกันที่โลกมนุษย์ แต่ก็ถูกค่ายกลหมื่นสัตว์ร้ายกดเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น หากพวกมันถูกปลดปล่อยออกมา ต้องสร้างความตกใจไปทั่วยอดเขายอดเมฆาและหุบเขาจันทร์เต็มดวงแน่

            พลังมุ่งร้ายเหล่านั้นทะยานจากหุบเขาจันทร์เต็มดวงขึ้นไปบนฟ้าราวกับว่าเป็นการปะทุของภูเขาไฟ ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ที่มีหน้าที่ตรึงค่ายกลในหุบเขาต่างก็เห็นภาพพร่าเลือนของภูตผีจำนวนมหาศาลกำลังประสานเสียงคร่ำครวญ

            พวกมันต่างจากภูตผีเร่ร่อนทั่วไป เพราะเมื่อได้รับพลังลบที่สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์สร้างขึ้น ภูตผีที่มารวมตัวกันในครั้งนี้จึงทรงพลังเป็นอย่างมาก หากไม่ถูกค่ายกลกดไว้อย่างแน่นหนา พลังของภูตผีจำนวนมหาศาลนี้ก็มากพอที่จะทำลายเมืองทั้งเมืองได้!

            ทว่าครั้งนี้ภูตผีเหล่านี้มีหน้าที่เป็นเพียงขี้ข้าของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เท่านั้น เมื่อถูกกระตุ้นจากค่ายกล พวกมันจึงลอยขึ้นไปบนฟ้า และดูดแกนแสงจันทร์เข้าไปราวกับเป็นน้ำวน!

            ภูตผีเกิดจากพลังงานด้านลบ ดังนั้นการปรากฏตัวของพวกมันจึงดึงดูดพลังลบให้มารวมตัวกัน ทั้งสองสิ่งต่างส่งเสริมกันไปมา แกนจักรพรรดิเป็นแกนแสงจันทร์ที่ดีงามที่สุด และสามารถใช้งานได้ไม่สิ้นสุด ตัวมันเองไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย ทว่าต้นกำเนิดของมันมาจากพลังลบ ดังนั้นมันย่อมดึงดูดเหล่าภูตผีให้เข้าไปหา

            ค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งทำลายที่สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์สร้างขึ้นยักย้ายแกนจักรพรรดิทั่วเขาอวิ๋นไท่และดึงมันมาสู่หุบเขาจันทร์เต็มดวงโดยไม่มีรั่วไหลแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ หากสัตว์เซียนจันทราไม่คิดวางมือจากโอกาสที่เกิดขึ้นในรอบหกสิบปีและต้องการอาบแกนจักรพรรดิ มันก็ต้องมาปรากฏตัวที่หุบเขาจันทร์เต็มดวงอย่างไม่มีทางเลี่ยง

            “แต่ขอบเขตของค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งทำลายจะเพียงพอหรือ”

            ผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งในหุบเขาจันทร์เต็มดวงถามขึ้นอย่างกระสับกระส่าย “การยักย้ายแกนจักรพรรดิจำกัดอยู่เฉพาะที่เขาอวิ๋นไท่เท่านั้น เป็นไปได้ไหมว่าสัตว์เซียนจันทรานั่นจะไปเปลี่ยนร่างนอกเขาอวิ๋นไท่”

            “เป็นไปไม่ได้ สัตว์เซียนนั่นยังเติบโตไม่เต็มที่ ดังนั้นมันจึงไปจากเขตแดนของเขาอวิ๋นไท่ไม่ได้ แต่ต่อให้ออกไปได้ชั่วคราว ก็ไม่อาจเปลี่ยนร่างนอกเขตเขาอวิ๋นไท่ได้ จุดนี้ผู้อาวุโสต่างลงความเห็นกันมาหลายรอบแล้ว ไม่อย่างนั้นเราจะต้องสละทรัพยากรและหยาดเหงื่อแรงงาน เผชิญกับสถานการณ์คาดไม่ถึงต่างๆ เพื่อเตรียมค่ายกลนี้ขึ้นมาทำไม แทนที่จะมากังวลเรื่องไม่เป็นเรื่อง เจ้าควรฉวยโอกาสนี้ขัดเกลาพลังวิญญาณขั้นปฐมของตัวเองเถอะ แกนจักรพรรดิบริสุทธิ์เป็นขุมทรัพย์ที่ประเมินค่าไม่ได้รู้ไหม”

            “ขอบคุณศิษย์พี่ที่ชี้แนะ ข้า…”

            ก่อนที่คนทั้งคู่จะสนทนากันจบประโยค ทันใดนั้นก็บังเกิดความผันผวนแปลกๆ ขึ้นจากที่ไกลๆ

            ตอนที่คนทั้งคู่ยังคงสงสัยอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงคำรามของราชาพยัคฆ์ดังมาจากยอดเขายอดเมฆา

            “ดี เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว!”

            เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว?

            ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ ผู้เป็นศิษย์พี่ก็ตกใจ และรีบกลับมาใส่ใจร่องรอยแห่งความผันผวนในทันที ผ่านไปอึดใจหนึ่งสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป “นั่นมันไอของสัตว์เซียนนี่! สัตว์เซียนจันทราปรากฏตัวแล้ว!”

            ในตอนนั้นเอง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในรัศมีหนึ่งพันลี้รอบเขาอวิ๋นไท่ต่างรับรู้ได้ถึงความผันผวนที่แปลกประหลาดนี้ ลึกๆ แล้วพวกมันรู้สึกหวาดกลัว เป็นความกลัวตามสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตต่ำชั้นที่มีต่อสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งกว่า

            และผู้ที่สามารถปกครองทั่วทั้งเขาอวิ๋นไท่ กำราบฝูงสิ่งมีชีวิตจำนวนมหาศาลของที่นี่ได้ แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นสัตว์เซียนจันทราในตำนาน

            สัตว์เซียนจันทราปรากฏตัวขึ้นจริง แต่ไม่ใช่ที่หุบเขาจันทร์เต็มดวงอย่างที่พวกเขาคาดหมายไว้ แต่เป็น…

            ผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนหลายคนกำลังยืนล้อมรอบราชาพยัคฆ์อยู่บนยอดเขายอดเมฆา มีคนหนึ่งกำลังคิดคำนวณอยู่ จากนั้นเขาก็พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ที่ทะเลสาบมรกต!”

            อีกคนอุทานออกมา “ทะเลสาบมรกต? ที่นั่นอยู่ที่ชายขอบของเขาอวิ๋นไท่เลยนี่ แล้วมันจะได้รับแกนจักรพรรดิและเปลี่ยนร่างได้ยังไง”

ราวกับจะเป็นการตอบคำถามนั้น เมื่อมีลำแสงสีเงินพุ่งตรงจากทะเลสาบมรกตที่อยู่ห่างไกลขึ้นสู่ฟากฟ้า แสงที่อยู่ปลายสุดผสานรวมเข้ากับท้องฟ้าสีทองระเรื่อ ทันใดนั้นแกนจักรพรรดิส่วนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ถูกค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งทำลายตรึงไว้ ก็ค่อยๆ กระจายตัวและตกลงมาเป็นแนวดิ่งไปตามลำแสงสีเงินนั้น

            “นั่นมันอะไรกัน” ที่หุบเขาจันทร์เต็มดวง ผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนที่มีหน้าที่จับตามองค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมายผลุนผลันลุกขึ้นและมองไปยังลำแสงสีเงินที่อยู่ไกลๆ อย่างไม่เชื่อสายตา

            “เป็นไปได้ยังไง แสงนั่นดึงแกนจักรพรรดิไปได้ยังไง!”

            แม้ขอบเขตของค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมายจะไม่กว้างมาก แต่ประสิทธิภาพของมันไม่ได้ลดน้อยตามขนาด พลังในการดึงภายในขอบเขตที่กำหนดนั้นไร้ขีดจำกัด! แล้วจะมีสิ่งใดที่ทรงอำนาจยิ่งกว่าพลังของภูตผีนับหมื่นตัวอีกหรือ

            “มันคือแสงจันทร์”

            หลังจากคำนวณเสร็จ ผู้อาวุโสที่อยู่บนยอดเขายอดเมฆาก็เผยความจริงออกมา

            “สิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ทะเลสาบมรกตคือแกนแสงจันทร์จำนวนพอสมควร วิญญาณภูเขาตนก่อนหน้าอาจเป็นผู้รวบรวมเอาไว้ แกนแสงจันทร์ที่ฝังตัวอยู่ในนั้นเก่าเกินไป ไร้ซึ่งความสดใหม่ ดังนั้นจึงไม่อาจใช้เปลี่ยนร่างได้ แต่ยังไงซะมันก็คือพลังแสงจันทร์เหมือนกันและสามารถผสานเข้ากับพลังแสงจันทร์ด้วยกันได้ อีกทั้งยังเป็นพลังดึงดูดตามธรรมชาติของแกนจักรพรรดิด้วย อืม ข้าคิดไม่ถึงความเป็นไปได้ข้อนี้มาก่อน คิดไม่ถึงมาก่อนเลยจริงๆ”

            ผู้อาวุโสหลักส่งเสียงฮึออกมา “แล้วยังไง สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ต้องคิดคำนวณทุกสิ่งก่อนลงมือทำด้วยหรือ อะไรที่คำนวณได้ก็ควรคำนวณ แต่อะไรที่คำนวณไม่ได้ เราก็ใช้กำลังจัดการก็สิ้นเรื่อง! ความแข็งแกร่งของเรามีมากมายกว่าฝ่ายตรงข้ามหลายร้อยเท่า ดังนั้นแม้ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไป แต่ที่สุดแล้วเราก็ยังควบคุมมันได้อยู่ดี การที่อีกฝ่ายใช้เล่ห์เพทุบายกับเราก็ไม่ต่างอะไรจากขุดหลุมศพรอความตายของตัวเองหรอก!”

            พูดจบ ราชาพยัคฆ์ก็ยกแขนล่ำสันขึ้น แถบข้อมือหน้าตาเรียบๆ ที่อยู่บนข้อมือก็สว่างวาบ พลันเงาสูงยาวก็ปรากฏขึ้น

            เงาร่างไร้ตัวตนนี้มีใบหน้าเป็นสุนัข ร่างทั้งร่างของมันเป็นสีดำ มีแขนทั้งหมดสี่ข้าง แต่ละข้างถือแซ่ คบไฟ เหล็กเผาไฟ และคทา ของแต่ละชิ้นมีรอยเลือดสีดำคล้ำปกคลุมอยู่ทั่ว ทันใดนั้นมันก็สะบัดแขนข้างหนึ่ง จากนั้นแส้ในมือก็ยืดขยายตรงไปยังทะเลสาบมรกตที่อยู่ห่างไกลทันที

            “ได้ตัวแล้ว!”

            เงาร่างไร้ตัวตนส่งเสียงออกมา แม้แส้จะพันรอบเป้าหมายไว้ได้ แต่ก็รู้สึกได้ถึงการต่อต้านรุนแรงจากเป้าหมายเช่นกัน

            “ไร้ประโยชน์ ไร้ประโยชน์ ไร้ประโยชน์!”

            เงาร่างไร้ตัวตนหัวเราะลั่นจากนั้นก็สาวแส้กลับมาด้วย ทันใดนั้นร่างสีขาวก็ลอยละลิ่วอย่างไร้ทางสู้มาจากที่ไกลๆ ด้วยแรงดึงของแส้ แม้ร่างสีขาวนั้นจะดิ้นรนไม่หยุด ก็ไม่อาจสั่นคลอนพันธนาการของแส้ได้แม้แต่น้อย

            ราชาพยัคฆ์ยกแขนขึ้น และสายคาดข้อมือหน้าตาธรรมดาก็ยิ่งสว่างเจิดจ้ากว่าเดิม “สัตว์ก็ยังเป็นสัตว์อยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าเจ้าจะร้ายกาจแค่ไหน แต่เมื่อต้องเจอกับปลอกคอวิเศษนี้ ก็ไม่อาจจะดิ้นหนีได้!”

            ถูกแล้ว สิ่งนี้คือปลอกคอสัตว์ภูตซึ่งเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ และเงาร่างไร้ตัวตนก็คือจิตวิญญาณของมัน อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้หลอมมาจากเลือดที่สุนัขนับหมื่นต้องสังเวยให้ มันจึงมีพลังในการกำราบสัตว์ภูตประเภทสุนัข ขนาดสัตว์เซียนที่เปลี่ยนร่างเรียบร้อยแล้วก็ยังไม่อาจสลัดให้หลุดพ้นจากพันธนาการของปลอกคอวิเศษนี่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับสัตว์เซียนที่ยังไม่ได้เปลี่ยนร่างกันเล่า

            “อืม…” ราชาพยัคฆ์รู้สึกได้ถึงไอของสัตว์เซียนที่ส่งผ่านมายังข้อมือของเขาและลงความเห็นอย่างรวดเร็วว่าเป้าหมายนั้นไม่ผิดตัวแน่ สถานการณ์ดูราบรื่นอย่างที่คิดเอาไว้

            “แต่ในเมื่อเหตุการณ์เป็นแบบนี้ ก็แปลว่าการคาดคะเนของอาเซี่ยนั้นเสียเปล่า คนพวกนั้นไม่ได้ลงมือทำอะไร… หรือพวกเขาคิดว่าการตระเตรียมของเรานั้นไร้ช่องโหว่ก็เลยล่าถอยไปเอง ช่างเถอะ ยังไงซะคนพวกนั้นก็เป็นแค่ก้อนน้ำตาลบนหน้าขนม สิ่งสำคัญก็คือการจับสัตว์เซียนนี่ให้ได้ต่างหาก”

            เมื่อมองไปยังร่างสีขาวซึ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ราชาพยัคฆ์ก็ยิ้มออกมา

ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องหวาดหวั่นอีก ตอนนี้เป้าหมายตกอยู่ใต้ความควบคุมของปลอกคอวิเศษเรียบร้อย ดังนั้นต่อให้คนพวกนั้นคิดจะกลับมาหาเรื่องก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก

            หืม แต่ปัญหาเดียวในตอนนี้ก็คือ เจ้าสุนัขภูตที่ยังดิ้นรนอยู่กลางอากาศอย่างไม่หยุดหย่อนดูจะไม่ค่อยบริสุทธิ์เท่าไรนัก

 [1] เจ้าสำนักเซิ่งจิง

 [2] พ้องเสียงกับคำว่าหมี่เจียน

 [3] พ้องเสียงกับคำว่าหมี่เจียน หวังลู่เล่นคำคำว่าข่มขืนกับคำว่าแข็งแรงปึ๋งปั๋ง