ภาคที่ 5 ตอนที่ 33 เรื่องราวของลูกเป็ดขี้เหร่

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 33 เรื่องราวของลูกเป็ดขี้เหร่ Ink Stone_Fantasy

 

            ตอนที่จิตวิญญาณของปลอกคอวิเศษดึงแส้ที่มัดตัวสัตว์เซียนกลับมาแสดงต่อหน้าราชาพยัคฆ์ เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่รายรอบต่างไม่อยากเชื่อว่าเจ้าสิ่งนี้จะดูธรรมดากว่าที่คิด

            ตอนแรกพวกเขาคิดว่ากับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกันเช่นนี้ต้องมีการต่อสู้กันอย่างรุนแรงแน่ ทั้งยังคิดว่าเจ้าสิ่งนี้ต้องสร้างปัญหาให้พวกเขามากมาย ทว่าเรื่องกลับไม่เป็นเช่นนั้น ยกเว้นการพุ่งขึ้นของแสงจันทร์ที่ทะเลสาบมรกต และการขัดขืนแส้อย่างไร้ประโยชน์แล้ว การกระทำของอีกฝ่ายกลับดูอ่อนด้อยยิ่งนัก

            ทว่าหากมองในอีกมุมหนึ่ง ที่ผลออกมาเป็นเช่นนี้ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร แม้ว่าตัวอ่อนของสัตว์เซียนจะทรงพลังตั้งแต่กำเนิด แต่อย่างไรเสียมันก็เป็นเพียงสัตว์ภูต และตราบใดที่มันเป็นสัตว์ สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ย่อมควบคุมมันได้ ต่อให้เป็นสัตว์เซียนก็ตามที…

            แน่นอนว่าหากมันเป็นสัตว์เซียนที่โตเต็มวัย ความพยายามทั้งหมดของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์อาจไร้ค่าก็เป็นได้ ทว่าสำหรับสัตว์เซียนที่ยังไม่ได้เปลี่ยนร่างนั้น พลังของมันยังจำกัดอยู่มาก

            แล้วนี่เจ้าสุนัขที่ถูกแส้รัดแน่นตัวนี้ยังพยายามดิ้นรนไม่เลิกรา เหมือนกับว่า…มันออกจะทึ่มหน่อยๆ จริงสิ หากว่ามันฉลาดก็ย่อมไม่ออกมารับแกนจักรพรรดิที่ทะเลสาบมรกตแน่ ดูภายนอกนั่นอาจเป็นความคิดที่เข้าท่า แต่ความจริงแล้วก็ไม่ต่างจากฆ่าตัวตายเลย…

            “เอาล่ะ ถึงเวลาที่ผู้อาวุโสหลักจะประทับตราบนตัวมันแล้ว”

            ผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนเอ่ยขึ้นทันที

            ราชาพยัคฆ์พยักหน้า และทันทีที่เขาคิด จิตวิญญาณของปลอกคอวิเศษก็ใช้คบไฟลนที่เหล็กเผาไฟ จากนั้นก็ค่อยๆ เอื้อมมือไปยังสัตว์ภูตที่อยู่บนพื้น

            ทันทีที่ตราทาสนี้ประทับบนร่างของสัตว์ภูต มันก็จะหมดอิสรภาพลง ต่อให้ในอนาคตมันจะเติบใหญ่ขึ้นและขั้นตบะของมันเกือบจะถึงช่วงปลาย ซึ่งสามารถลบรอยตราประทับได้ด้วยตนเอง… แต่ถึงตอนนั้นก็มีตราประทับที่ล้ำหน้ากว่ารอมันอยู่

            ชะตากรรมที่รอคอยมันอยู่คือการที่มันต้องใช้ความวิเศษของตัวเองช่วยเหลือสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ไปจนตัวตาย แน่นอนว่านี่ยังถือเป็นชะตากรรมที่ดี เพราะเมื่อไปอยู่ในสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์มันจะได้รับการฝึกอย่างเข้มงวดจนกว่าจะดึงศักยภาพสูงสุดออกมาได้ แม้ข้อเสียในเรื่องนี้คือการสูญเสียอิสรภาพ แต่โดยรวมแล้วเมื่อเทียบกับการที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนเขาอวิ๋นไท่ ก็ยังนับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีกว่ามาก

            จิตวิญญาณปลอกคอวิเศษกำลังจะนาบเหล็กแดงฉานลงบนร่างของสัตว์เซียนท่ามกลางสายตาของผู้อาวุโสทุกคน ทว่าทันใดนั้น…

            ตู้ม!

            ระลอกคลื่นของลำแสงสีทองก็ดีดเหล็กเผาไฟออกไป จิตวิญญาณปลอกคอวิเศษคำราม “พันธสัญญา!? มีพันธสัญญาอยู่แล้ว! สัตว์เซียนตัวนี้ได้ทำสัญญากับผู้อื่นไปแล้ว มันไม่ใช่สัตว์ที่ไร้เจ้าของ! ตราทาสของข้าไม่อาจประทับลงไปได้!”

            “ว่าไงนะ!?”

            เหล่าผู้อาวุโสต่างตะลึงงัน ทำพันธสัญญาไปแล้ว? มันจะเป็นไปได้อย่างไร สัตว์เซียนจันทราตัวนี้เพิ่งเป็นรูปเป็นร่างโดยสมบูรณ์เมื่อไม่นานมานี้เอง ดังนั้นมันจึงไม่ต่างอะไรจากทารกแรกเกิด และก่อนที่มันจะถือกำเนิดขึ้นมันย่อมไม่อาจแลกเปลี่ยนสัญญากับใครได้ แต่หลังจากที่มันถือกำเนิดขึ้นมา… มีช่วงเวลาให้ทำเช่นนั้นด้วยหรือ

            ขณะที่ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ยังคงกังขา ราชาพยัคฆ์ที่หัวร้อนที่สุดในหมู่พวกเขากลับยังใจเย็นอยู่

            เพราะเขาจำถ้อยคำก่อนหน้านี้ของอาเซี่ยได้… ดูเหมือนว่าผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มจากสำนักใหญ่โตที่ว่านั่นจะอดรนทนไม่ไหวและลงมือจนได้

            การที่สามารถทำสัญญากับสัตว์เซียนล่วงหน้าโดยที่พวกเขาไม่ทันสังเกต และทิ้งรอยประทับไว้ถือเป็นการลงมือที่อาจหาญไม่เบา โชคร้ายที่ความพยายามเหล่านี้ไม่อาจสำเร็จผลได้หากไม่มีการกลบเกลื่อนหลักฐาน

            สัตว์เซียนจันทราไม่อาจออกจากภูเขาไปได้ก่อนที่มันจะเปลี่ยนร่าง ทว่าหากมันต้องการเปลี่ยนร่าง มันจะต้องผ่านกำแพงอุปสรรคซึ่งก็คือสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ให้ได้เสียก่อน และกำแพงที่ว่านี้ก็ไม่อาจข้ามผ่านไปได้

            แล้วอย่างไรต่อ จะมีประโยชน์อะไรที่จะทิ้งตราประทับไว้ เขาจะวิ่งแจ้นไปหาผู้อาวุโสของสำนักตัวเอง แล้วแจ้งว่าตนพบสัตว์เซียนก่อนหรือ ตลกแล้ว! แม้แต่สำนักเซิ่งจิงก็ไม่ใช้วิธีรุนแรงเช่นนั้นหรอก…ใช่ไหมนะ

            พอคิดถึงเรื่องนี้ ราชาพยัคฆ์ก็ขมวดคิ้ว เขารู้ดีว่ายิ่งช้าปัญหาก็ยิ่งเกิด ดังนั้นจึงพูดกับจิตวิญญาณปลอกคอวิเศษ “รีบยกเลิกสัญญานั่นและประทับตราของเราลงไป”

            ทว่าจิตวิญญาณของปลอกคอกลับตอบว่า “ยากมาก พันธสัญญานี้…เป็นชนิดที่ล้ำหน้าไม่เบา ผู้บำเพ็ญเซียนที่ทำพันธสัญญานี้ขึ้นมาต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำพันธสัญญาแน่นอน”

            “หึ ไม่ว่าระดับของมันจะสูงส่งแค่ไหน แต่ในเมื่อมันเป็นพันธสัญญาที่เกี่ยวกับสัตว์ภูต การที่มันมากางอยู่ต่อหน้าเราก็ไม่ต่างจากการอวดวิชากระจอกๆ ต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญ!

เหลียงอวี้ กงหยาง รีบช่วยจิตวิญญาณปลอกคอกะเทาะตรานั่นออกให้เร็วที่สุด”

            ขณะพูด ราชาพยัคฆ์ก็ลุกขึ้น

            ในที่สุดแผนการที่แท้จริงของอีกฝ่ายก็ปรากฎออกมาจนได้

——

            “หึ ได้เวลาแล้ว ไปกันเลย”

            ที่นอกหุบเขาจันทร์เต็มดวง หลังจากรอมาเนิ่นนาน ในที่สุดหวังลู่ก็ส่งสัญญาณให้เริ่มปฏิบัติการ

            เสี่ยวชีตกใจ “ตอนนี้หรือ เห็นชัดๆ ว่าอีกฝ่ายหนึ่งกำลังรอให้เราเดินไปติดกับ”

            ต้องพูดว่าโอกาสที่ดีที่สุดที่จะลงมือก็คือตอนนี้ ตอนที่อีกฝ่ายหนึ่งใช้ปลอกคอวิเศษจับตัวสัตว์เซียนและลากกลับไปยังยอดเขายอดเมฆา ตอนที่คนพวกนั้นคิดว่าชัยชนะอยู่ในกำมือแล้ว และมัวแต่จดจ้องอยู่ที่สัตว์เซียน… และตอนนี้คนพวกนั้นก็รู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ และเริ่มระวังตัวแล้ว!

            “ไม่มีปัญหา เชื่อข้าเถอะ”

            หวังลู่กล่าวเสียงเรียบ จากนั้นก็ก้าวเท้าเข้าไปยังหุบเขาจันทร์เต็มดวง

            ทันทีที่หวังลู่และคนอื่นๆ ก้าวข้ามเขตแดนของค่ายกลห้าเขากำราบเส้นโลหิต อาคมของมันก็เคลื่อนย้ายพวกเขาไปยังกลางหุบเขาทันที

            ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่อาจซ่อนตัวได้อีก

            หากทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมายของหวังลู่ อาเซี่ยย่อมต้องลวงราชาพยัคฆ์ได้สำเร็จ ดังนั้นการปรากฏตัวของหวังลู่และคณะต้องเป็นเรื่องที่สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ไม่ทันคาดคิด และคนพวกนั้นจะต้องแตกตื่น ซึ่งช่วงเวลาที่อีกฝ่ายแตกตื่นนั้นเพียงพอให้หวังลู่จัดการอะไรได้มากมาย ทว่าเรื่องกลับไม่เป็นไปอย่างที่พวกเขาคิด…

            “ในที่สุดเจ้าก็โผล่หัวออกมา ข้ารอมาตั้งนาน กลัวว่าจะไม่มาแล้วเสียอีก!”

            ราชาพยัคฆ์เหยียดยิ้มและหัวเราะเสียงเย็น ทว่าเสียงหัวเราะนั้นไม่ได้อยู่นานนัก เพราะร่างที่อยู่บนยอดเขายอดเมฆาเป็นเพียงภาพติดตาของราชาพยัคฆ์เท่านั้น ในชั่วพริบตา ร่างกายใหญ่โตของผู้อาวุโสสูงสุดผู้นี้ก็ร่อนลงมาจากบนยอดเขายอดเมฆา กรงเล็บพยัคฆ์ทั้งสองข้างฉีกอากาศจนเกิดเป็นสุญญากาศ การเสียดสีกันของอากาศทำให้เกิดเปลวไฟสีน้ำเงินม่วงที่ดูเหมือนอสนีบาตจากสวรรค์ ทว่าหวังลู่ที่ถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่กลับดูนิ่งสงบต่อหน้ากรงเล็บเสือที่ว่านั่น

            คิดจะทำให้คนอื่นประหลาดใจแต่กลับต้องมาประหลาดใจเสียเอง ขณะที่เหยียดยิ้มอยู่ในใจ ราชาพยัคฆ์ก็ลดพลังที่ฝ่ามือลงเพราะเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะสังหารเหล่าผู้บุกรุกพวกนี้

            ตามที่อาเซี่ยได้บอกไว้ ผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มผู้นี้มาจากสำนักใหญ่ การสังหารคนผู้นี้อาจทำให้ราชาพยัคฆ์สุขใจได้ชั่วคราวแต่ย่อมสร้างปัญหาในภายภาคหน้าแน่ แม้ว่าตัวเขาจะไม่ใส่ใจเรื่องปัญหาที่อาจเกิดขึ้น แต่เรื่องของเรื่องก็คือ ผู้บำเพ็ญเซียนจากสำนักชั้นนำมักมีอาวุธวิเศษที่น่าครอบครองอยู่กับตัว หากกรงเล็บของเขาฉีกร่างของอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ อาวุธวิเศษที่เชื่อมต่อกับชีวิตของผู้เป็นเจ้าของก็จะถูกทำลายลงอย่างเสียเปล่า

            แม้ราชาพยัคฆ์จะมีความปรานี แต่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่อย่างเขา แม้จะไม่ใช้พลังเต็มแรง แต่พลังส่วนที่เหลือก็เพียงพอจะเจาะการป้องกันของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนได้

            ทว่าอึดใจถัดมา ขณะที่กรงเล็บของราชาพยัคฆ์กำลังจะฉวยลำคอของหวังลู่ กระบี่หน้าตาเรียบๆ ก็ปรากฏขึ้น

            เปรี้ยง!

            ปลายกระบี่ชนเข้ากับอุ้งมือของราชาพยัคฆ์ พลังอิทธิฤทธิ์ของทั้งสองฝ่ายปะทุออกมา ท่วงท่าที่ดุดันราวฟ้าร้องของราชาพยัคฆ์ถูกหยุดอย่างฉับพลันและสะท้อนกลับไปไกลหลายวา ทว่าตัวของหวังลู่เองก็จมลึกลงไปในพื้นหลายวาเช่นกัน

            แต่นอกจากนั้น พลังของหวังลู่กลับไม่ปั่นป่วน กายของเขาและกระบี่ที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวนั้นมั่งคงดั่งขุนเขา

            พลังของเขาถูกขัดขวาง!? ราชาพยัคฆ์ที่อยู่กลางอากาศแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง การโจมตีขั้นกำเนิดใหม่ของเขาถูกผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานหยุดไว้ได้ โอ้ ไม่สิ เป็นผู้บำเพ็ญเซียนตัวเล็กๆ ที่มีตบะขั้นพิสุทธิ์ต่างหาก!?

            แน่นอนว่าเรื่องนี้มีคำอธิบายตามหลักเหตุผลได้หลายข้อ ทั้งความปรานีของราชาพยัคฆ์ทั้งการโต้กลับที่ไม่คาดคิดของหวังลู่ มันจึงสามารถหยุดการโจมตีจากกรงเล็บของราชาพยัคฆ์ไม่ให้สำแดงพลังอย่างเต็มที่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นช่องว่างระหว่างขั้นกำเนิดใหม่และขั้นพิสุทธิ์ก็ไม่ควรถูกกลบได้ง่ายๆ เช่นนี้

            สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ แม้เจ้าตัวจะใช้พลังไปไม่มาก แต่พลังอิทธิฤทธิ์ที่ไหลพุ่งออกไปจากวิญญาณกำเนิดใหม่ภายในวิหารหยกมีพลังวิญญาณตามธรรมชาติของผู้บำเพ็ญเซียนประกอบอยู่ด้วย ดังนั้นคุณภาพของพลังจึงแตกต่างกันมาก คาถาเดียวกันจะทรงพลังขึ้นเป็นสองเท่าหากปล่อยมาจากพลังวิญญาณของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ มันก็เหมือนกับการต่อสู้ระหว่างสองกองทัพ ที่ทัพหนึ่งมีแต่ทหารซึ่งเจนสมรภูมิส่วนอีกทัพหนึ่งเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์มาใหม่รวมถึงตัวแม่ทัพเองด้วย ซึ่งในเรื่องนี้ความแตกต่างกันของความแข็งแกร่งจะพิสูจน์ตัวมันเองอยู่แล้ว

            เมื่อครู่ราชาพยัคฆ์ใช้พลังเพียงสองส่วน แต่ด้วยสามัญสำนึกแล้ว แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนยังต้องใช้พลังอิทธิฤทธิ์มากกว่านี้สองถึงสามเท่าในการรับมือพลังของราชาพยัคฆ์ และหากคำนึงถึงเรื่องที่ว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของตบะขั้นกำเนิดใหม่นั้นดีกว่าตบะขั้นสร้างแกน ดังนั้นแม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนระดับกลางยังต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อที่จะต้านทานการโจมตีนี้

            ทว่าตบะของหวังลู่ยังไม่ถึงขั้นพิสุทธิ์ระดับกลางด้วยซ้ำ แล้วเจ้าเด็กนี่สกัดการโจมตีครั้งนี้ได้อย่างไร ราชาพยัคฆ์ขมวดคิ้วขณะที่จิตแห่งเต๋าในวิหารหยกกำลังโคจรอย่างบ้าคลั่ง และฉายภาพรายละเอียดการปะทะกันที่เพิ่งเกิดขึ้นออกมาให้เห็น

            เมื่อครู่ตอนที่เขาปล่อยกรงเล็บพยัคฆ์ออกมา นิ้วทั้งห้าของเขาชุ่มโชกไปด้วยประกายสายฟ้าที่ได้รับพลังอิทธิฤทธิ์จากจิตวิญญาณกำเนิดใหม่สองสี ทำให้ความรุนแรงของมันเท่ากับพยัคฆ์ดุร้ายถึงหมื่นตัวและสามารถฉีกทึ้งฝ่ายตรงข้ามได้นับครั้งไม่ถ้วน… แต่หวังลู่กลับต้านทานมันได้ด้วยกระบี่หน้าตาธรรมดาๆ ทว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของกระบี่เล่มนั้นมีพลังที่บริสุทธิ์และไม่เหมือนใครซึ่งเทียบเท่าได้กับขั้นสร้างแกน!

            เจ้าเด็กนี่เป็นใครกันแน่

            แต่ไม่ว่าอย่างไร เจ้านี่ย่อมไม่อาจรอดพ้นการโจมตีครั้งที่สองของข้าได้แน่ จากนั้นข้าค่อยทรมานเขาอย่างช้าๆ เมื่อครู่ที่เขาสกัดการโจมตีของข้าได้มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญต่างหาก…

            ตอนนั้นเอง หวังลู่ก็ยิ้มเย้ยออกมา “มองข้างหลังเจ้าสิ”

            ราชาพยัคฆ์คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว “คิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบงั้นรึ”

            พูดจบประกายสายฟ้าก็เริ่มหมุนวนรอบนิ้วของเขาอีกครั้ง และครั้งนี้พลังอิทธิฤทธิ์ของมันก็เพิ่มขึ้นถึงสิบเท่า ทว่าทันใดนั้นเอง…

            “อ๊าก!”

            เสียงกรีดร้องที่ดังมาจากยอดเขายอดเมฆาทำให้ราชาพยัคฆ์ตกใจและตื่นกลัวเพราะนั่นคือเสียงของจิตวิญญาณปลอกคอวิเศษ!

            ราชาพยัคฆ์หันกลับไป ดวงตาของเขาจ้องทะลุเมฆที่ปกคลุมยอดเขายอดเมฆาแล้วก็เห็นว่าที่บนยอดเขา… มีเงาดำขนาดมหึมารูปร่างน่าขนลุกปรากฏอยู่

            “อ๊ากกกกก!”

เสียงดังกล่าวคือเสียงร้องโหยหวนของสุนัขป่าที่น่าสะพรึงเสียจนอาจขับไล่แสงสว่างของดวงจันทร์ไปได้ มันถูกตรึงไว้กับพื้น ไม่อาจขยับไปไหนได้แม้สักชุ่น สัตว์เซียนจันทรากลายมาเป็นสุนัขป่าขนาดใหญ่ยักษ์สูงเกือบสิบวา ดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้างของมันวาบวับด้วยความกระหายเลือดผิดธรรมดา เลือดยังคงไหลรินออกจากเขี้ยวทั้งสองแถวในปากของมัน

            ปลอกคอวิเศษสีทึบทึมวางอยู่กับพื้น ตั้งแต่ส่วนหน้าอกลงมาของจิตวิญญาณปลอกคอวิเศษที่มีหน้าเป็นสุนัขและร่างเป็นคนถูกสุนัขป่ากลืนกินไปทั้งหมด เหลือไว้เพียงร่างอีกครึ่งหนึ่งที่กลิ้งไปมาและร้องโหยหวนอยู่บนพื้น ส่วนผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ มันตั้งแต่ต้นก็กระอักเลือดออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส

            “นี่มันอะไรกัน!?”

            ราชาพยัคฆ์ตื่นตะลึง

สุนัขป่าขนาดมโหฬารนั่นมาจากไหน หรือจะเป็นสัตว์เซียน แต่สัตว์เซียนถูกปลอกคอวิเศษรัดไว้แน่นหนา หนำซ้ำมันยังไม่ได้เปลี่ยนร่างด้วย หรือต่อให้มันเปลี่ยนร่างได้แล้ว แต่พลังของมันก็ถูกอาวุธศักดิ์สิทธิ์กดไว้ หนำซ้ำยังมีผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนสองคนคอยช่วยต้านอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่จู่ๆ มันจะหลุดออกมาและกัดจิตวิญญาณปลอกคอจนเกิดเป็นแผลฉกรรจ์และบาดเจ็บรุนแรงเช่นนี้

            ระหว่างที่ตกตะลึงอยู่นั่นเอง เสียงของหวังลู่ก็ดังมาจากด้านหลัง

            “อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเจ้าภูมิใจนักหนาสร้างมาเพื่อจัดการสุนัขภูต และแม้ข้าจะเรียกเจ้าสี่ขาจอมทึ่มของข้าว่าสุนัขหน้าโง่มาตลอด แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่สุนัข”