ตอนที่ 34 ผู้ที่ทรงพลังอย่างแท้จริง Ink Stone_Fantasy
ฉวนโจ่วฮวาแท้จริงแล้วไม่ใช่สุนัข
สุนัขป่าปีศาจเฟนรีร์สัตว์ประหลาดในตำนานของทวีปตะวันตกซึ่งสวาปามสุนัขเป็นอาหารจะเป็นสุนัขได้อย่างไร ความจริงแล้วสายเลือดของสัตว์เซียนส่วนใหญ่จะมีความพิเศษไม่เหมือนใคร แม้พวกมันจะมีลักษณะภายนอกที่คล้ายคลึงสัตว์ภูต แต่ภายในนั้นแตกต่างกันอย่างมาก
และต่อให้เฟนรีร์เป็นสุนัขจริงๆ มันก็ยังเป็นสุนัขของทวีปตะวันตกอยู่ดี…
ดังนั้นตอนที่เหล่าผู้อาวุโสของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์คิดว่าพวกตนรู้คุณสมบัติของสัตว์เซียนจันทราเป็นอย่างดี และได้ใช้ปลอกคอวิเศษซึ่งมีความสามารถในการควบคุมสุนัขภูต รวมทั้งแส้ของผู้ฝึกสุนัขจัดการกับสุนัขป่าเฟนรีร์ พวกเขาจึงต้องพบกับจุดจบที่น่าอนาถอย่างไม่ต้องสงสัย
เฟนรีร์ไม่ได้ถูกปลอกคอวิเศษควบคุมเต็มที่มาตั้งแต่แรก แม้ปลอกคอวิเศษจะเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ซึ่งยังมีอิทธิพลกับมันบ้าง แต่มันก็สามารถแว้งมาทำร้ายศัตรูได้อย่างง่ายดายหากพวกเขาไม่ทันระวังตัว
จิตวิญญาณปลอกคอวิเศษไม่ได้อ่อนแอ และไม่ใช่เรื่องง่ายที่เฟนรีร์ซึ่งยังโตไม่เต็มวัยจะจู่โจมกลับได้โดยตรง ทว่าหากเป็นจิตวิญญาณปลอกคอวิเศษที่ชะล่าใจ ผลก็จะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งโดยสิ้นเชิง… จิตวิญญาณปลอกคอวิเศษไม่มีกายเนื้อจึงยากที่จะถูกทำให้บาดเจ็บ ทว่าสำหรับเฟนรีร์ที่เชี่ยวชาญด้านการสวาปาม ร่างที่ไร้ตัวตนถือเป็นร่างที่ไร้การป้องกันที่สุดแล้ว หลังจากสวาปามเข้าไป ครึ่งหนึ่งของจิตวิญญาณปลอกคอวิเศษจะหายไปตลอดกาล อีกทั้งสายสัมพันธ์ของมันที่เชื่อมต่อเข้ากับพลังวิญญาณขั้นปฐมของผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนทั้งสองคนก็จะย้อนกลับไปทำร้ายคนทั้งคู่ ทำให้พลังวิญญาณขั้นปฐมเสียหายและแกนทองคำมืดหม่นลง
ทันใดนั้น สุนัขป่าปีศาจที่สง่างามและดุร้ายก็รู้สึกได้ถึงกระแสพลังรุนแรงที่หลั่งไหลเข้ามาในร่างของมัน การซุ่มโจมตีของมันเมื่อครู่กลายเป็นอาหารบำรุงร่างกายมื้อใหญ่ ดังนั้นร่างของมันจึงขยายขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าและความดุร้ายของมันยังล้นทะลักออกมาอีกด้วย!
และหากมันสวาปามร่างของจิตวิญญาณปลอกคอวิเศษอีกครึ่งหนึ่งจนหมด ก็ยากที่จะประเมินได้ว่าร่างของมันจะมีขนาดมหึมาเพียงไร ทว่าตอนที่สุนัขป่าปีศาจพร้อมที่จะเขมือบร่างของจิตวิญญาณปลอกคอวิเศษที่เหลือ เสียงดังกึกก้องราวฟ้าฝ่าก็ดังมาจากใต้ยอดเขายอดเมฆา
“เจ้าสัตว์ชั่วช้า!”
ร่างที่ใหญ่โตนั้นรวดเร็วกว่าเสียงที่ส่งมาเสียอีก สุนัขป่าปีศาจไม่มีเวลาพอที่จะตั้งตัว ทันทีที่มันเห็นเงาร่างใหญ่ยักษ์ขนาดห้าวาที่เบื้องหน้า นิ้วมือของอีกฝ่ายก็กำรอบคอของมันแน่นแล้ว พลังที่ส่งมาจากนิ้วมือนั้นรุนแรงมาก สุนัขป่าปีศาจที่ก่อนหน้านี้เพิ่งสร้างความปั่นป่วนและทำตัวหยิ่งผยองอย่างเหลืออดถูกรัดไว้แน่น ไม่ว่ามันจะดิ้นรนอย่างรุนแรงเพียงไรแต่ก็กลับไร้ประโยชน์ อึดใจถัดมาเสียงเห่าหอนของสุนัขป่าก็กลายมาเป็นเสียงคร่ำครวญอย่างน่าสังเวช
เหนือฟ้ายังมีฟ้าที่แท้จริง
ไม่มีใครคาดคิดว่าราชาพยัคฆ์จะลงมือได้อย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้
ทันทีที่เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงบนยอดเขายอดเมฆา เขาก็ทิ้งหวังลู่กับพวกที่เหลือแล้วรีบขึ้นมาบนยอดเขาโดยไม่ลังเล
ตอนนั้นเห็นได้ชัดว่าหากเขาโจมตีหวังลู่เป็นครั้งที่สอง ฝ่ายตรงข้ามต้องบาดเจ็บรุนแรงแน่ แต่เขากลับไม่เสียเวลาที่จะทำเช่นนั้น
“ฉลาดไม่เบา”
หวังลู่ที่อยู่ในหุบเขาจันทร์เต็มดวงค่อยๆ ฟื้นฟูพลังของกระบี่แห่งเขาคุนอย่างช้าๆ หลิวหลีที่อยู่ด้านหลังเข้าสู่สภาวะจิตกระบี่กระจ่างใจ และไม้เท้านักบวชของเสี่ยวชีก็ปล่อยลำแสงแห่งเซนออกมา… ตอนนี้การป้องกันสามประสานรวมตัวกันเป็นที่เรียบร้อย ต่อให้ราชาพยัคฆ์โจมตีเต็มกำลังอีกสองหรือสามกระบวนท่าก็ไม่อาจเจาะทะลวงการตั้งรับของพวกเขาได้ หากดึงเวลาช้าได้อีกสองกระบวนท่า เฟนรีร์ที่อยู่บนยอดเขายอดเมฆาก็จะมีเวลาเขมือบร่างที่เหลือของจิตวิญญาณปลอกคอวิเศษและหลบหนีไปได้
ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายว่องไวและแม่นยำกว่าที่คิดไว้ ตัวจริงของราชาพยัคฆ์สร้างปัญหาได้มากกว่าราชาพยัคฆ์ที่หุนหันและขี้โมโหตามที่ได้รับรู้มาเสียอีก เมื่อมองร่างกายใหญ่โตที่บนยอดเขายอดเมฆา หวังลู่ก็อดขำออกมาไม่ได้
“มีทักษะอยู่บ้าง แต่ก็ไร้ประโยชน์หากต้องเจอกับผู้ทรงพลังที่แท้จริง”
เสี่ยวชีอดพูดขึ้นมาไม่ได้ “เจ้าพูดคำว่าผู้ทรงพลังที่แท้จริงมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว!”
“หรือจะให้ข้าเปลี่ยนเป็นคำว่าปัญญาของมนุษย์ดี”
————
ในขณะเดียวกันที่บนยอดเขายอดเมฆา เมื่อราชาพยัคฆ์เล่ยเจิ้นเห็นสภาพรอบๆ ตัว เขาก็รู้สึกอยากอัดเจ้าสุนัขป่าตัวจ้อยนี่ให้กลายเป็นเนื้อบด ทว่าไอของสัตว์เซียนที่ฟุ้งออกมาจากมือกลับทำให้เขาหยุดการกระทำลง
ดูท่าว่าเจ้าสุนัขป่าปีศาจตัวนี้จะไม่ใช่สัตว์เซียนจันทราแห่งเขาอวิ๋นไท่ ทว่าไอสัตว์เซียนจากมันก็บริสุทธิ์ถึงแปดหรือเก้าส่วน ซึ่งทำให้อย่างน้อยมันก็เป็นถึงสัตว์กึ่งเซียนที่ประเมินค่าไม่ได้ แม้จะถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้อาวุธศักดิ์สิทธิ์เสียหายและผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนสองคนบาดเจ็บหนัก แต่คนพวกนั้นถือว่าไร้ค่าเมื่อเทียบมูลค่ากับสัตว์กึ่งเซียนนี้
จิตวิญญาณปลอกคอวิเศษถูกเขมือบไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่หากจิตที่เหลือของมันได้กลับเข้าไปในอาวุธศักดิ์สิทธิ์และพักฟื้นสักสิบวันถึงครึ่งเดือน พลังของมันก็จะฟื้นคืนมา ส่วนผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนสองคนนี้ยิ่งจิ๊บจ๊อยเข้าไปใหญ่ ต่อให้พวกเขาตาย ก็ไม่ถือว่าสูญเสียอะไร ดังนั้นตอนนี้สิ่งสำคัญที่ต้องทำคือปราบสุนัขป่าปีศาจที่อยู่ในมือ ไม่ให้มันหลบหนีไปได้
เล่ยเจิ้นกระชับกรงเล็บให้มั่นขึ้น และพลังอิทธิฤทธิ์ตบะขั้นกำเนิดใหม่ที่ดีเลิศกว่าก็เริ่มแทรกซึมเข้าไปในร่างของสุนัขป่าปีศาจ มันไม่เพียงค่อยๆ รุกล้ำเข้าไปในพลังวิญญาณขั้นปฐมของอีกฝ่ายเพื่อสะบั้นพันธสัญญาที่มีอยู่เดิม แต่ยังพยายามแทนที่พันธสัญญานั้นด้วยพันธสัญญาของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์อีกด้วย
เคราะห์ดีที่ตบะขั้นกำเนิดใหม่ของเขาสามารถบรรเทาความหุนหันพลันแล่นในตัวได้ ทำให้เขาสามารถคิดอะไรหลายๆ อย่างได้อย่างสงบ… ระดับของสุนัขป่าปีศาจตนนี้เทียบเท่าได้กับสัตว์เซียน และพันธสัญญานายและทาสที่ประทับอยู่บนพลังวิญญาณขั้นปฐมของมันก็ทำขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการทำพันธสัญญา เห็นได้ชัดว่าเจ้านี่คือสัตว์ภูตของสำนักชั้นนำ ทว่าทันทีที่เขาสามารถแทนที่มันด้วยพันธสัญญาของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ได้ ต่อให้สุดท้ายแล้วสัตว์ตัวนี้เป็นของสำนักเซิ่งจิง สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ก็ยังกล้าเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอยู่ดี อย่างไรเสียพวกเขาก็ถือว่าเป็นสำนักชั้นสูงเหมือนกัน ดังนั้นหลักเหตุผลจึงน่าจะถูกหยิบมาใช้มากกว่ากำลัง
เพียงแค่การแทนที่พันธสัญญาเดิมเป็นเรื่องที่ต้องใช้พลังใจอย่างมาก และราชาพยัคฆ์ก็ไม่ถนัดงานที่ต้องอาศัยความประณีตเช่นนี้ และตอนนี้ผู้อาวุโสอีกสองคนก็กำลังนั่งทำสมาธิ พลังวิญญาณขั้นปฐมของพวกเขาบาดเจ็บรุนแรงจึงไม่อาจช่วยเหลือเขาได้แม้แต่น้อย
ทว่าด้วยตบะขั้นกำเนิดใหม่ ต่อให้เขาต้องค่อยๆ สกัดมันออกทีละน้อย สุดท้ายก็ย่อมสามารถสกัดพันธสัญญาเดิมออกได้อย่างแน่นอน เพียงแค่ต้องใช้เวลามากสักหน่อย ความคิดของราชาพยัคฆ์จึงเปลี่ยนไปยังกลุ่มคนในหุบเขาที่เขาละทิ้งมา ในใจพลางคิดว่าพวกเจ้าคิดหรือว่านี่เป็นโอกาสให้พวกเจ้าได้ลงมือ
เมื่อมองกลับไปที่หุบเขาจันทร์เต็มดวง ราชาพยัคฆ์ก็เห็นว่าพวกผู้บุกรุกเหล่านั้นพร้อมที่จะสร้างปัญหา เขาก็อดส่ายศีรษะไม่ได้ “คิดว่าตัวเองฉลาดนักหรือ หือ!”
การปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันของสุนัขป่าสร้างความโกลาหลให้สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์โดยแท้ ส่งผลให้เกิดการสูญเสียกำลังคนโดยที่ไม่คาดฝันมาก่อน ทว่าราชาพยัคฆ์ได้ตระเตรียมทางหนีทีไล่บนยอดเขายอดเมฆาและหุบเขาจันทร์เต็มดวงไว้ไม่น้อย ต่อให้พวกเขาเดินสะดุดเท้าตัวเอง และไม่มีเวลาทำหลายๆ พร้อมๆ กัน แต่คนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ที่เหลือก็มีจำนวนเพียงพอที่จะกำราบผู้บำเพ็ญเซียนละอ่อนจอมอวดดีพวกนั้น
ต่อหน้าผู้ที่ทรงพลังที่แท้จริง การใช้เล่ห์เพทุบายจะยิ่งนำไปสู่หายนะเข้าไปใหญ่
“โจมตี!”
สิ้นคำสั่งของราชาพยัคฆ์ คนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ที่ตระเตรียมไว้ทั้งในและนอกหุบเขาจันทร์เต็มดวงก็ปรากฏออกมา ราชาพยัคฆ์ไม่คิดจะให้ศัตรูเข้ามาประชิดตัว เขาต้องการบดขยี้อีกฝ่ายให้เร็วที่สุด!
ผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนห้าคน สัตว์ภูตตบะขั้นสร้างแกนสิบตัว รวมถึงพยัคฆ์มีปีกตบะขั้นสร้างแกนช่วงปลายซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของเล่ยเจิ้นอีกหนึ่งตัว… ทั้งหมดนั้นแข็งแกร่งกว่าฝ่ายตรงข้ามถึงสิบเท่า อย่าว่าแต่ฝ่ายตรงข้ามที่มีเพียงผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนระดับกลางคนเดียวและตบะขั้นพิสุทธิ์ระดับต้นสองคนเลย ต่อให้ฝั่งนั้นมีปรมาจารย์ตบะขั้นกำเนิด
ใหม่รวมอยู่ด้วย แค่จะหนีก็ยังยากเลยเพราะพวกนั้นไม่ได้เปรียบด้านต่อสู้แม้แต่น้อย
และหากบวกค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมายเข้าไปด้วยละก็ แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ก็แทบจะหนีออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ!
ภายในหุบเขาจันทร์เต็มดวง สายลมเย็นพัดหวิว วิญญาณร้ายเพ่นพ่านไปมาอย่างคลุ้มคลั่ง กระแสพลังลบในค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมายก่อให้เกิดเป็นกำแพงพายุหมุนที่ป้องกันไม่ให้คนเข้าไปหรือออกมาได้
“ว้าว การเตรียมการนี้ฟุ่มเฟือยไม่เบา” ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์ที่เกือบเข้าตาจนแต่รอยยิ้มของหวังลู่กลับกว้างขึ้น สายตาของเขากวาดไปทั่วและพบว่านอกจากผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนและสัตว์ภูตตบะขั้นสร้างแกนแล้ว ศิษย์ระดับสูงนับร้อยคนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ต่างก็ขยับตัวเข้ามา
“โชคร้ายที่คนพวกนี้เป็นทหารไร้ความสามารถ ดังนั้นหากพวกเจ้าคิดจะโทษใครสักคน งั้นก็โทษหัวหน้าที่ไร้ความสามารถของตัวเองเถอะ”
อึดใจถัดมา สีหน้าของหวังลู่ก็เคร่งเครียดขึ้นขณะพูดออกมา “ตอนนี้ละคุณหนูเจ็ด!”
เสี่ยวชีพยักหน้าจากนั้นก็ใช้ไม้เท้านักบวชเคาะพื้นเบาๆ ทันใดนั้นนักบวชในชุดขาวก็ปรากฏออกมาจากไม้เท้าและมายืนข้างๆ เสี่ยวชี สีหน้าของนักบวชชุดขาวดูเคร่งขรึมเยือกเย็น สายตาของเขาอ่อนโยนและใจบุญ การปรากฏกายของเขานำพาสายลมแผ่วเบาที่อบอุ่นมาด้วย ซึ่งช่วยปัดเป่าวิญญาณร้ายที่อยู่รายรอบให้สลายไป
นักบวชชุดขาวคือจิตวิญญาณไม้เท้านักบวชซึ่งเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
หลังจากที่เรียกจิตวิญญาณไม้เท้าออกมา เสี่ยวชีกับจิตวิญญาณไม้เท้าก็ร่ายพระธรรมพร้อมๆ กัน น้ำเสียงของหญิงสาวไร้ซึ่งความเหลาะแหละและผ่อนคลายอย่างที่เคยเป็นมาตลอด มันฟังดูเคร่งขรึมและเยือกเย็น ทุกพยางค์ที่เปล่งออกมาน่าเกรงขามไม่ต่างจากเสียงกังวานของระฆังโบราณ
เสี่ยวชีและจิตวิญญาณไม้เท้าสวด ‘ทางหกสายสู่พระสูติ’ ซึ่งเป็นบทสวดพื้นฐานของศาสนาเซนที่พบเห็นได้ทั่วไปในอาณาจักรเก้าแคว้น ทว่าด้วยพลังอิทธิฤทธิ์ที่เหลือล้นของพวกเขา ทันทีที่เปล่งเสียง ภูตผีจำนวนนับไม่ถ้วนก็ร้องโหยหวนเป็นเสียงเดียวราวกับว่าถูกทำให้เจ็บปวดจนไม่อาจทนได้ ทว่าเสียงร้องโหยหวนที่ดังประสานกันนี้ บวกกับเสียงของสายลมชั่วร้ายที่พัดโหมรุนแรงกลับกลบแสงจากการท่องบทสวดให้เหลือเพียงห้าวารอบตัวเสี่ยวชีเท่านั้น
ผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนที่รับผิดชอบค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมายหัวเราะออกมา “น่าขำ! คนคนเดียวคิดจะเอาชนะฝูงภูตผีนับหมื่นๆ ตัว เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นพระกษิติครรภโพธิสัตว์หรือไง!?”
สีหน้าของเสี่ยวชีไม่เปลี่ยนแปลงและยังคงสวดมนต์อย่างสงบ พยายามประคองให้แสงแห่งเซนที่อยู่ใต้แรงสกัดของค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมายไม่ดับลง
จากนั้นหวังลู่ก็ก้าวเท้าออกมาและหยุดยืนอยู่ที่กึ่งกลางระหว่างแสงแห่งเซนและสายลมชั่วร้าย
“เจ้าไม่รู้หรือว่าสะเก็ดไฟหย่อมเดียวย่อมทำให้เกิดไฟป่าได้!”
เสียงของเขาฟังราวกับเป็นแกนนำสำคัญของหุบเขา อึดใจถัดมา คนนับร้อยที่ด้านในและด้านนอกหุบเขาจันทร์เต็มดวงก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของพื้นดิน ราวกับว่ามีพลังรุนแรงเคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็ว พลังนี้รุนแรงไร้ที่เปรียบไม่ต่างจากกระแสน้ำในแม่น้ำแยงซี
“นะ นี่มันการสะท้อนกลับของเส้นฮวงจุ้ยนี่!?” ผู้อาวุโสที่มีหน้าที่ดูแลค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมายหวั่นวิตกขึ้นมาทันที แรงที่ส่งผลต่อค่ายกลนั้นทรงพลังมากเสียจนทำให้เขาเกือบควบคุมค่ายกลไม่ได้ ราวกับว่าทั้งหุบเขาจันทร์เต็มดวงกำลังขัดขืนเขาอยู่
แค่ฝีเท้าของหวังลู่ก็สามารถทำให้เกิดการสะท้อนกลับของเส้นฮวงจุ้ยได้เลยหรือ ตลกแล้ว! มีเพียงผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ขึ้นไปเท่านั้นที่จะทำเช่นนี้ได้ แล้วเหตุใดจึงต้องใช้เล่ห์กลพรรค์นี้กัน ทำไมหมอนั่นไม่ลงมือฆ่าคนทั้งหมดให้จบๆ ไปเล่า
ทว่าเรื่องนี้ก็ได้บังเกิดขึ้นต่อหน้าเขาแล้ว และเขาย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ เห็นดังนั้นผู้อาวุโสจึงพยายามควบคุมค่ายกลให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพที่สุดเพื่อกดความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นรอบเส้นฮวงจุ้ย ทว่าเขากลับต้องตกตะลึงเมื่อได้รู้ว่าเส้นฮวงจุ้ยภายในเขาอวิ๋นไท่นั้นมโหฬารกว่าที่คิดไว้มากนัก…
หนำซ้ำนอกจากเส้นฮวงจุ้ยแล้ว แค่เพียงการก้าวเท้าที่ทรงพลังนั้น สิ่งมีชีวิตทั้งหมดภายในและภายนอกหุบเขาจันทร์เต็มดวงต่างค่อยๆ สวดมนต์ไปพร้อมๆ เสี่ยวชีอีกด้วย
เหล่าผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์รู้สึกราวกับมีเสียงนับพันๆ เสียงดังอื้ออึงอยู่ในหู ต้นหญ้าทุกต้นราวกับมีวิญญาณของตัวเอง พวกมันสวดมนต์ประสานเสียงกับเสี่ยวชีและจิตวิญญาณไม้เท้านักบวชที่เป็นคนนำ บางเสียงก็แผ่วเบาและฟังดูยังไม่โตเต็มวัยราวกับเป็นเสียงของเด็ก บางเสียงก็ดังชัดเจนและหนักแน่นราวกับเสียงของบุรุษที่แข็งแรง บางเสียงละมุนและนุ่มนวลราวเสียงของสตรี และหนำซ้ำบางเสียงยังขึ้นๆ ลงๆ ราวกับเป็นเสียงของคนแก่ที่ผ่านจุดสูงสุดของชีวิตมาแล้ว
เสียงนับพันนี้ต่างแตกต่างกัน และต่างมีความปรารถนาของตัวเอง ทว่าไม่คาดคิดว่าพวกเขาล้วนต่อต้านความตาย และแสวงหาการมีชีวิตอย่างเอาจริงเอาจัง
“ความปรารถนาของสิ่งมีชีวิต!?” ผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม ตำนานกล่าวไว้ว่ามีเพียงผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งและมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าเท่านั้นจึงจะได้รับการตอบรับจากจิตวิญญาณนับหมื่น แม้ความสามารถของนักบวชเนื้อสุนัขจะไม่ด้อย แต่ช่องว่างระหว่างนางกับผู้มีคุณธรรมสูงส่งยังห่างไกลกันอีกโข อย่าบอกนะว่า… นี่เป็นฝีมือของหวังลู่!?
ทว่าโชคร้ายที่เขาไม่มีเวลาพอจะคิดต่อ ภายใต้การตอบรับของทุกสรรพสิ่งในหุบเขาจันทร์เต็มดวง แสงแห่งเซนของเสี่ยวชีก็ค่อยๆ สลายกำแพงของค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมายลง นางซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางได้เปิดพื้นที่ที่บริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้น สายลมชั่วร้ายหยุดพัด เหล่าวิญญาณที่เคืองแค้นสลายตัวไป เหลือทิ้งไว้เพียงสายลมเย็นเยียบเท่านั้น ค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมายลดพลังลงอย่างน่าตกใจและกำลังจะพังทลาย!
“เป็นไปได้ยังไง”
ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนหลายคนที่ยังคงอยู่ในหุบเขาจันทร์เต็มดวงต่างมองหน้ากันและรีบรุดกลับไปยังตำแหน่งของตนทันที จากนั้นก็รวมพลังกันเพื่อรักษาค่ายกลไว้ ในขณะเดียวกันสัตว์ภูตสิบตัวก็รี่เข้าหาเสี่ยวชี พยายามขัดขวางไม่ให้อีกฝ่ายสวดมนต์ต่อ
พลังของสัตว์ภูตเหล่านี้เทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกน ความแข็งแกร่งและพละกำลังของมันช่างน่าทึ่ง ทว่าในพริบตานั้นเองเสียงระเบิดก็ดังก้องขึ้นมาติดๆ กันมากกว่าสิบครั้ง จากนั้นสัตว์ภูตแต่ละตัวก็ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาตามๆ กัน พวกมันถูกพลังรุนแรงผลักให้กระเด็นออกมา
หวังลู่ยังรักษาเพลงกระบี่ตั้งรับไร้ลักษณ์ไว้ได้ แต่จากนั้นเขาก็กระอักเอาเลือดพร้อมไอสกปรกออกมาไม่น้อย
หลิวหลีแนบลำตัวเข้ากับหลังของหวังลู่ มือทั้งสองของนางยึดแขนของอีกฝ่ายไว้แน่น ร่างของคนทั้งคู่เกือบจะรวมเป็นหนึ่งเดียว
เมื่อครู่ตอนที่หวังลู่ปล่อยเพลงกระบี่ไร้ลักษณ์ออกมา หลิวหลีเองก็เปิดใช้งานเพลงกระบี่กระจ่างใจ หลอมรวมจิตกระบี่ที่บริสุทธิ์กระจ่างใสของนางเข้ากับเพลงกระบี่ไร้ลักษณ์ของหวังลู่ และส่งจิตกระบี่รุนแรงนับล้านใส่สัตว์ภูตที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา การใช้พลังโจมตีต่างพลังตั้งรับเพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามถอยหนีในจังหวะสุดท้ายช่วยลดแรงปะทะได้มหาศาล
แน่นอนว่าแม้จะมีบางตัวที่ไม่หวาดกลัวความตายและอ้าแขนรับพลังโจมตีของจิตกระบี่กระจ่างใจ แต่พละกำลังของพวงมันก็ลดลงไปอย่างมาก ดังนั้นต่อให้สัตว์ภูตมากกว่าสิบตัวร่วมมือกัน พวกมันก็ไม่อาจเจาะทะลวงการตั้งรับของกระบี่ไร้ลักษณ์ได้
วิชาไร้ลักษณ์ของหวังลู่ไม่เคยหวั่นเกรงต่อศัตรูที่มาเป็นกลุ่ม เอาเข้าจริงพลังของสัตว์ภูตมากกว่าสิบตัวก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าสัตว์ภูตที่มีความโหดเหี้ยมตามสัญชาตญาณเพียงตัวเดียว ตอนนี้พลังตั้งรับของเขาสูงถึงระดับเก้าพิสุทธิ์ +24 ซึ่งหากแปลงกลับก็คือขั้นสร้างแกนช่วงปลาย หนำซ้ำด้วยความช่วยเหลือของหลิวหลี พลังตั้งรับของเขาอาจทะลุถึงขั้นกำเนิดใหม่เลยด้วยซ้ำ!
นอกเสียจากว่าจะเป็นการโจมตีเต็มกำลังจากผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีใครทะลวงกระบี่ตั้งรับไร้ลักษณ์ได้
หลังจากนั้นสัตว์ภูตมากกว่าสิบตัวก็เข้ามาโจมตีพวกเขาอีกครั้ง ตอนนี้หวังลู่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดเนื่องจากเขาต้องคอยใช้กระบี่ไร้นามสะท้อนกลับการโจมตีที่พุ่งเข้ามาใส่ ทว่าเมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป ‘พลังกำเนิดใหม่ในดินแดนบริสุทธิ์’ ของเสี่ยวชีก็ค่อยๆ ผลักการยับยั้งของผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนทั้งห้าคนออกไป และใกล้จะทำลายค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมายได้ในไม่ช้า
“เจ้าพวกเศษสวะ!”
สุดท้ายแล้วราชาพยัคฆ์ที่บนยอดเขายอดเมฆาก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ เขาส่งเสียงคำรามที่สามารถทำปั่นป่วนจิตวิญญาณได้ออกมา
สายตาของปรมาจารย์ตบะขั้นกำเนิดใหม่นั้นเฉียบคมเพียงใดกัน เพราะแค่ปรายตามองลงมาเบื้องล่างเขาก็รู้ว่าสถานการณ์ที่หุบเขาจันทร์เต็มดวงนั้นอลหม่านเสียจนต้องให้ผู้ที่มีขั้นตบะที่เหนือกว่ายื่นมือไปจัดการ
และคนที่มีขั้นตบะเหนือกว่านอกจากเขาแล้วจะเป็นใครได้อีก
แม้เขาจะยังจัดการกับสุนัขป่าปีศาจไม่เสร็จ เพราะเขาเพิ่งเลาะได้เพียงขอบของตราประทับเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่อาจจัดการหลายๆ สิ่งพร้อมกัน ทว่าสำหรับผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่แล้ว สถานการณ์ตรงหน้าก็ไม่ได้ยุ่งยากเกินจะรับมือไม่ไหว
การแบ่งร่างอวตารเป็นวิธีที่เหมาะเจาะ เพราะเขาเพียงต้องการทำให้อีกฝ่ายไขว้เขวเท่านั้น
เงาสีม่วงแดงปรากฏออกมาจากร่างกายที่ใหญ่โตของราชาพยัคฆ์จากนั้นก็เหาะลงมายังหุบเขาจันทร์เต็มดวง เงานั้นดูคล้ายเป็นร่างย่อส่วนของราชาพยัคฆ์ ที่ด้านนอกของเงาปกคลุมด้วยแสงสีม่วงแดง ส่วนด้านในมีแสงสว่างเจิดจ้าไหลพล่านไปทั่ว
หลายคนตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียว “วิชาแยกร่างวิญญาณกำเนิดใหม่!”
เมื่อผู้บำเพ็ญเซียนบรรลุตบะขั้นกำเนิดใหม่ มันก็เหมือนเขามีสองชีวิต นอกจากผู้บำเพ็ญเซียนจะสามารถละทิ้งร่างด้วยการหลบหนีออกมาในรูปวิญญาณกำเนิดใหม่ยามหน้าสิ่วหน้าขวานแล้วค่อยมาอาศัยอยู่ในร่างใหม่ได้ หากต้องการพวกเขายังใช้วิชาแยกร่างวิญญาณกำเนิดใหม่ เพื่อให้อีกร่างหนึ่งปรากฏออกมาจากร่างของตนได้เช่นกัน
วิญญาณกำเนิดใหม่ไม่มีเกราะกำบังที่เป็นกายเนื้อจึงทำให้ดูเปราะบาง แต่ก็มีทั้งพลังอิทธิฤทธิ์และความสามารถของร่างเดิมอย่างพร้อมพรัก! ตอนที่ราชาพยัคฆ์แยกวิญญาณกำเนิดใหม่ออกจากร่างและส่งมันลงมาที่หุบเขาจันทร์เต็มดวง การปรากฎกายของมันนั้นทรงพลังกว่าทุกคนมากนัก
ทันทีที่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ปล่อยพลังออกมาเต็มที่ ระดับของพลังย่อมแตกต่างมหาศาล ‘พลังกำเนิดใหม่ในดินแดนบริสุทธิ์’ ของเสี่ยวชีถอยร่นลงไปในทันที แสงสีม่วงแดงกดแสงแห่งเซนจนรัศมีของมันหดเล็กลงเหลือไม่กี่วาเท่านั้น กระบี่ไร้ลักษณ์ของหวังลู่ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เลือดสีดำไหลพรูออกจากปากและจมูกของเขา… แม้จะมีหลิวหลีคอยช่วยเหลือ แต่พลังของคนทั้งคู่รวมกันยังไม่อาจต้านทานพลังที่ปลดปล่อยออกมาเต็มกำลังของวิญญาณกำเนิดใหม่ได้แม้แต่น้อย
และนี่คือช่องว่างที่ไม่อาจถมได้ระหว่างผู้ที่ใกล้บรรลุตบะขั้นกำเนิดใหม่กับผู้ที่มีตบะขั้นกำเนิดใหม่จริงๆ หนำซ้ำวิญญาณกำเนิดใหม่ของราชาพยัคฆ์ยังยืนอยู่บนตาของค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมายซึ่งช่วยเพิ่มพลังให้มันได้เล็กน้อยอีกด้วย!
“เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ทรงพลังที่แท้จริง อุบายของเจ้าก็ไร้ความหมาย”
ราชาพยัคฆ์ส่งเสียงเย้ยผ่านอากาศมายังหวังลู่
“ไหนลองเค้นความเจ๋งของเจ้าออกมาให้หมดซิ ขอข้าได้เล่นสนุกอีกสักหน่อย”
ราชาพยัคฆ์กล่าวพร้อมเพิ่มระดับพลังอิทธิฤทธิ์ที่แผ่ออกจากร่างของวิญญาณกำเนิดใหม่ ทันใดนั้นท้องฟ้าก็ราวกับจะถล่มลงมาใส่หุบเขาจันทร์เต็มดวง ภายใต้แรงกดรุนแรงนั้น กระบี่ตั้งรับของหวังลู่ก็เริ่มทลายลง
เสี่ยวชีที่อยู่ตรงใจกลางเกราะป้องกันของกระบี่ไร้ลักษณ์หยุดสวดมนต์และถอนไม้เท้านักบวชกลับคืนมา เมื่อเจอวิกฤติที่หนักหน่วงเช่นนี้ ร่างอวตารอย่างนางก็ถือว่าไร้พลังอย่างแท้จริง
หญิงสาวเงยหน้ามองฟ้าและถอนหายใจอย่างขุ่นเคือง “ทรงพลังที่แท้จริง… ราชาพยัคฆ์เป็นไปอย่างที่เลื่องลือจริงๆ!”
ในสายตาของใครต่อใคร ราชาพยัคฆ์ที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์สาขาเขาอวิ๋นไท่เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ทั่วไป มีเพียงการร่วมมือกับพยัคฆ์มีปีกที่เป็นสัตว์เลี้ยงภูตเท่านั้นที่จะทำให้พลังของเขาสูงกว่ามาตรฐาน ทว่าความจริงดูเหมือนผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่คนนี้จะซ่อนพลังเอาไว้ไม่น้อย แค่วิญญาณกำเนิดใหม่ของเขาอย่างเดียวก็สามารถต่อกรกับผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ระดับแปดได้
ดังนั้นตอนที่เขาพูดโอ้อวดเรื่องความทรงพลังที่แท้จริง แน่นอนว่ามันย่อมไม่ใช่เพียงเรื่องขำขัน
แต่หวังลู่กลับขำออกมา
“เป็นไปอย่างที่เลื่องลือ? จะเลืองลือได้นานแค่ไหนเชียว ฮ่า! ข้าจะแสดงให้ท่านเห็นความทรงพลังที่แท้จริงเอง!”
ทันทีที่หวังลู่พูดจบ เสียงเป่าเขาสัตว์ก็ดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ
——
ไกลจากหุบเขาจันทร์เต็มดวงไปกว่ายี่สิบลี้ เด็กสาวหูแมวก็ลดเขาสัตว์ที่นางได้รับจากหวังลู่ลง เมื่อครู่เสียงทุ้มของเขาสัตว์ในมือเกือบทำให้หูของนางหนวกไป
เด็กสาวรับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในหุบเขาจันทร์เต็มดวงได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะพลังอิทธิฤทธิ์กระหายเลือดที่พลุ่งพล่านของราชาพยัคฆ์ซึ่งทำให้นางขนหัวลุกไปทั้งตัว เด็กสาวหูแมวรู้ชัดว่าหวังลู่และคนอื่นๆ กำลังเผชิญกับสภาวะวิกฤต นางแค่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดก่อนหน้านี้หวังลู่จึงบอกให้นางเป่าเขาสัตว์ทันทีที่รู้ว่าวิญญาณกำเนิดใหม่ของราชาพยัคฆ์ออกมาจากร่าง
อึดใจถัดมา ไอของสรรพสิ่งรอบตัวนางก็เปลี่ยนไป เด็กสาวหูแมวตกตะลึง และท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นเอง นางก็เห็นภาพแสงนับล้านสว่างขึ้นเงียบๆ ในป่าซึ่งอยู่บนภูเขา
แสงที่ส่องประกายหลายสีสันค่อยๆ เคลื่อนออกมาจากป่า โขดหินและลำธาร ช้าๆ ในตอนแรก และเร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อยเหมือนถูกดึงด้วยพลังที่มองไม่เห็น และจากนั้นก็กลายเป็นอุกกาบาตพุ่งขึ้นไปในอวกาศ…
เด็กสาวหูแมวมองไปรอบๆ รับรู้ได้จากสัญชาตญาณว่ามันคือวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่บนภูเขา สิ่งมีชีวิตทั้งหลายต่างมีวิญญาณ และนี่คือการรวมตัวกันของวิญญาณของทุกสรรพสิ่ง!
ก่อนหน้านี้สายแร่ของพลังปราณฟ้าดินทั้งหมดบนเขาอวิ๋นไท่ถูกเสียงจากเขาสัตว์ปลุกให้ตื่น จากนั้นวิญญาณของทุกสรรพสิ่งก็มารวมตัวและเหาะขึ้นไปยังทิศทางเดียวกัน
นั่นคือทิศซึ่งเป็นที่ตั้งของหุบเขาจันทร์เต็มดวง
——
“ในความคิดข้า ความทรงพลังที่แท้จริงคือโจทย์การลบ”
ขอบเขตการตั้งรับของกระบี่ไร้ลักษณ์เริ่มหดลงเรื่อยๆ ภายใต้แรงกดดันรุนแรง การตั้งรับกระบี่สามฉื่อกลายเป็นเพียงการตั้งรับกระบี่สามชุ่น มันจวนเจียนจะพังทลายทว่าเขากลับยังนิ่งเฉยและเริ่มเปิดปากอธิบายความรู้เกี่ยวกับความทรงพลังที่แท้จริง
“แรกสุดให้แผ่พลังของฝ่ายตรงข้ามออกมาก่อน กำเนิดใหม่หนึ่ง สร้างแกนหลายคน พิสุทธิ์หลายคน… จากนั้นก็แผ่พลังของฝ่ายเราลงไปก่อนที่จะลบ เราก็จะเห็นว่าพลังของพวกเราแต่ละคนหักล้างพลังของพวกเขาไปได้เท่าไร ตัวอย่างเช่น ฉวันโจ่วฮวาสามารถหักลบกับผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนของฝ่ายตรงข้ามได้สองคน ส่วน ‘พลังกำเนิดใหม่ในแดนบริสุทธิ์’ ของศิษย์พี่เสี่ยวชีสามารถหักลบผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนออกไปได้สามถึงสี่คน ส่วนการรวมพลังของหลิวหลีกับข้าเพียงพอที่จะหักล้างกับลูกน้องทั้งหมดของฝ่ายตรงข้าม… ตอนนี้มาถึงขั้นตอนสุดท้ายของการลบ ถ้าพลังของขั้นกำเนิดใหม่ถูกยกออกจากสมการนี้ ชัยชนะจะตกเป็นของเรา”
หวังลู่อธิบายอย่างใจเย็น แม้เลือดจะยังไหลออกจากปากและจมูก แต่ท่าทีของเขากลับดูสงบกว่าเดิม
“และจากการคำนวณของข้า แม้ทุกขั้นตอนในการสู้จะไม่ราบรื่นสำหรับเรา ไม่ว่าจะเป็นฉวันโจ่วฮวาที่ถูกจับได้ตั้งแต่แรกๆ ‘พลังกำเนิดใหม่ในดินแดนบริสุทธิ์’ ของศิษย์พี่เสี่ยวชีที่ไม่อาจทำลายค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมายได้ และสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ยังมีไพ่ไม้ตายอื่นซุกซ่อนอยู่… แต่ตราบใดที่เรื่องพวกนี้ยังอยู่ในขอบเขตที่สมเหตุสมผล เราก็ยังหาทางหักลบพวกมันได้อยู่ดี”
เสียบเรียบๆ ของหวังลู่ภายในหุบเขาจันทร์เต็มดวงฟังดูค่อนข้างขัดเคือง ทว่าแม้จะมีผู้คนไม่น้อยที่อยู่ตรงนั้น แต่ไม่มีใครคิดจะหยุดคำพูดของเขาสักคน
นั่นเพราะตอนนั้นทุกคนมองเห็นวิญญาณของทุกสรรพชีวิตภายในระยะหนึ่งพันลี้ของเขาอวิ๋นไท่ลอยขึ้นกลางอากาศและรวมตัวกันเป็นคลื่นพลังรุนแรง
คลื่นพลังนี้ทรงพลังมาก แม้การร่วมตัวกันของวิญญาณทุกสรรพสิ่งจะมีจุดอ่อนมากมาย ไม่ว่าจะดูไม่เป็นระเบียบ กระจัดกระจาย ไร้ระบบและโครงสร้าง แต่พวกมันก็มีจำนวนและพลังที่มากพอ คลื่นที่รุนแรงของมันนั้นมากเกินที่พลังใดจะต้านทานได้
วิญญาณกำเนิดใหม่ของราชาพยัคฆ์บิดไปมาอย่างบ้าคลั่งและพยายามหนี ทว่ามันได้ตรึงตัวเองเข้ากับตาของค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมายเพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งชั่วคราวไปแล้ว และตอนนี้สายลมชั่วร้ายที่ก่อนหน้านี้เป็นกำแพงคอยปกป้องมันก็กลับกลายเป็นกับดักสำหรับมันไปแล้ว
เมื่อวิญญาณของทุกสรรพสิ่งมารวมตัวกัน พลังปราณฟ้าดินก็ปั่นป่วนขึ้น หากไม่ได้รับการคุ้มครองจากค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมาย วิญญาณกำเนิดใหม่ที่บอบบางของเขาคงจะถูกพัดปลิวและสลายไปในทันที! ตอนนี้ราชาพยัคฆ์อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเสียแล้ว!
ราชาพยัคฆ์รู้สึกราวกับว่าเวลาหยุดนิ่ง หนึ่งลมหายใจของเขาดูแสนจะยาวนาน… มีเพียงน้ำเสียงเมินเฉยของหวังลู่ที่ผ่านเข้ามาในหู
“เจ้าไม่คิดว่าแปลกหรือที่ข้าสามารถเรียกจิตวิญญาณของทุกสรรพสิ่งในเขาอวิ๋นไท่ออกมาได้ เมื่อสามวันก่อนวิญญาณภูเขาของสถานที่แห่งนี้ได้ฝากฝังลูกสาวนางไว้กับข้า และในฐานะผู้ปกครองของวิญญาณภูเขาตนต่อไป ข้าไม่เพียงครอบครองพลังของวิญญาณภูเขาโดยตรง แต่ก่อนที่วิญญาณภูเขาจะเติบโตเต็มตัว ข้าก็ถือเป็นผู้ปกครองของเขาอวิ๋นไท่แห่งนี้ด้วย แม้อำนาจนี้จะมีวันสิ้นสุด แต่ข้าก็มีพลังที่จะเปิดศึกบนเขาอวิ๋นไท่ หนำซ้ำยังสามารถบรรลุถึงตบะขั้นพิสุทธิ์ได้เพราะโชคช่วย และใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมทำรูบนเขาสัตว์ก่อนการต่อสู้ครั้งนี้จะเกิดขึ้น ราชาพยัคฆ์ ตบะขั้นของเจ้าก้าวหน้าไม่เบา บรรลุได้ถึงขั้นกำเนิดใหม่อย่างแท้จริง ความกล้าหาญของเจ้าก็เหลือล้นราวกับเมฆบนท้องฟ้า เมื่อเทียบกันแล้ว ความแข็งแกร่งโดยรวมของเจ้าทรงพลังกว่าเรามากนัก ทว่าเมื่อเทียบกับทุกสรรพสิ่งบนเขาอวิ๋นไท่นี้ ความแข็งแกร่งของเจ้าเทียบกับอะไรได้บ้างเล่า หากเจ้าไม่แยกวิญญาณกำเนิดใหม่ออกจากร่าง ข้าก็อาจไม่มีวิธีดีๆ มาต่อกรด้วย แต่ตอนนี้เจ้ากลับก้าวเท้าเข้ามาในดินแดนแห่งความตายเสียเอง และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ทรงพลังที่แท้จริงเช่นนี้ก็มีเพียงแค่ตายกับตายเท่านั้น”
“ความจริงนี่ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย จากโจมตีของจิตวิญญาณของทุกสรรพสิ่งนั้น อย่างดีที่สุดก็สามารถทำให้ศัตรูบาดเจ็บหนึ่งพันเท่า ขณะที่ตัวเองต้องบาดเจ็บหนึ่งหมื่นเท่า เทพธิดาอวิ๋นไท่ใจดีมีเมตตาเกินไป นางไม่อาจทนเห็นผู้คนของนางต้องสังเวยชีวิตถึงขนาดนั้น ดังนั้นก่อนหน้านี้นางจึงทำได้เพียงอดทนต่อการกระทำที่ชั่วช้าของเจ้า แต่ว่าข้าไม่ใช่นาง ข้าทั้งไม่ใจดีทั้งไม่มีเมตตา ข้าเชื่อว่าการเจ็บปวดเป็นระยะเวลานานๆ เทียบไม่ได้สักนิดกับการเจ็บปวดในช่วงสั้นๆ ความจริงวันนี้ข้าจะสั่งให้เขาอวิ๋นไท่หักนิ้วของเจ้าก็ได้ แต่ที่ข้าจะทำก็คือขับไล่ตัวเชื้อโรคอย่างพวกเจ้าออกไปจากที่นี่ทันที!”
“โอ้ ราชาพยัคฆ์ ลมยามค่ำคืนบนเขาอวิ๋นไท่ช่างหนาวเหน็บนัก และวิญญาณกำเนิดใหม่ของเจ้าก็เปลือยเปล่า ข้าเกรงว่ามันจะทนไม่ได้นาน เพราะงั้นจงเป็นเด็กดีและลงไปนอนในหลุมเสียเถิด”
ขณะพูดลำแสงนับหมื่นก็มารวมตัวกัน และวิญญาณกำเนิดใหม่สีม่วงแดงก็ถูกดูดกลืนเข้าไปในกระแสของลำแสงเหล่านั้น จนไม่เหลือแสงสีม่วงแดงอีกแม้แต่นิด