ตอนที่ 35 อีกครั้งแล้วที่มีพลังตอบสนองอยู่ด้านหน้า ต้องการแรงสนับสนุนจากดวงตาสุนัข Ink Stone_Fantasy
เมื่ออยู่ภายใต้ผู้ทรงพลังที่แท้จริง เล่ห์เหลี่ยมและกลอุบายใดๆ ก็ไร้ค่าไปในทันที
สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เตรียมการเพื่อวันที่สิบห้าเดือนเจ็ดมานานนับปี แม้ผู้บำเพ็ญเซียนและสัตว์ภูตส่วนใหญ่อาจเป็นพวกหยาบช้า ไม่ซับซ้อน ไม่ชำนาญเรื่องการวางแผน ทว่าน้ำพักน้ำแรงที่พวกเขาทุ่มให้กับยอดเขายอดเมฆาและหุบเขาจันทร์เต็มดวงนั้นโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด
โชคร้ายที่หลังจากจิตวิญญาณของทุกสรรพสิ่งลุกฮือขึ้นมา ความพยายามทั้งหลายทั้งปวงก็กลับกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยในทันที ในโลกบำเพ็ญเซียน คำพูดที่ว่ามนุษย์สามารถเอาชนะธรรมชาติได้เป็นคำพูดที่ได้ยินอยู่บ่อยๆ ทว่ามีเพียงผู้ที่เคยประสบกับอำนาจของสวรรค์เท่านั้นจึงจะล่วงรู้ได้ว่าคำพูดดังกล่าวไร้สาระเพียงใด
เมื่อยามที่แสงนับล้านๆ มาบรรจบกันจนกลายเป็นทะเลขนาดใหญ่ มันก็ไม่ต่างกับเป็นการแก้แค้นของสวรรค์ ทะเลกว้างใหญ่นี้โอบรอบทุกอย่างที่อยู่ในหุบเขาจันทร์เต็มดวงเอาไว้ ความคิดของทุกคนว่างเปล่าลงราวกับว่าถูกชำระล้าง ไม่อาจคิดใคร่ครวญถึงสิ่งใดๆ ได้ทั้งสิ้น
แรงปะทะโดยตรงของจิตวิญญาณทุกสรรพสิ่งไม่รุนแรงพอที่จะสร้างความเสียหายให้สิ่งต่างๆ ได้ หากวิญญาณกำเนิดใหม่ของราชาพยัคฆ์ยังผูกติดอยู่กับร่างตัวเอง เขายังสามารถใช้วิชาปกป้องร่างเซียนที่ทรงพลังดูแลตัวเองได้ ทว่าในเมื่อวิญญาณกำเนิดใหม่ของเขาออกจากร่างมาเช่นนี้ มันก็ไม่ต่างกับการเดินไปสู่ความตาย
แรงปะทะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ แต่กลับรู้สึกว่ายาวนาน และในวินาทีที่เกิดการปะทะกัน ลำแสงนับพันล้านก็สลายไปในความสว่างไสวของแกนจักรพรรดิ
วิญญาณกำเนิดใหม่สีม่วงแดงของราชาพยัคฆ์สูญหายไปไม่เหลือร่องรอย ค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมายในหุบเขาจันทร์เต็มดวงแตกสลายเป็นชิ้นๆ และภายใต้แรงปะทะนั้น วิญญาณของสุนัขภูตนับหมื่นตัวก็ได้เข้าสู่วัฏจักรของการเวียนว่ายตายเกิด
เมื่อไม่มีราชาพยัคฆ์และไม่มีค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมาย แกนจักรพรรดิจึงค่อยๆ กระจายไปทั่วทั้งเขาไท่อวิ๋น ไม่มีใครควบคุมและขัดขวางมันได้อีก
ทว่าสัตว์เซียนภูตจันทรากลับไม่ได้ไปปรากฏตัวที่อื่น สุนัขเซียนร่างขาวบริสุทธิ์ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ หวังลู่ มันยืนรับแกนเสงจันทร์บริสุทธิ์ที่ตกลงมาชำระล้างร่างกายอยู่ภายใต้การคุ้มครองของกระบี่ตั้งรับไร้ลักษณ์
คนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์มีมากกว่าร้อยคน แต่ไม่มีใครกล้าขัดขวางพวกเขาเลยสักคน แม้จะยังมีผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนและสัตว์ภูตที่ทรงพลังอยู่อีกมาก แต่ก็ไม่มีใครคิดจะลงมือ
เมื่อมองหวังลู่ซึ่งกำลังยิ้มแย้มอยู่ในหุบเขาจันทร์เต็มดวง ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ก็รู้สึกถึงความเย็นเยียบที่ก้นบึ้งของหัวใจ
แม้อาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายจะเพิ่งเริ่มฟื้นตัว และที่มุมปากก็มีเลือดที่ยังไม่เช็ดติดอยู่ แต่เมื่อได้เห็นจิตวิญญาณของทุกสรรพสัตว์ที่น่าสะพรึงกลัวแล้ว ใครจะกล้ายืนยันว่าชายผู้นี้จะไม่มีไพ่ตายใบอื่นซุกซ่อนอยู่อีก หนำซ้ำหลังจากที่ราชาพยัคฆ์หายตัวไป ใครหน้าไหนจะมีความกล้าที่จะก้าวเท้าออกไปโบกธงรบกันเล่า
เวลาผ่านไปอย่างเนิบช้า
ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์รวมตัวกันอยู่ที่บริเวณยอดเขายอดเมฆา และมองดูหวังลู่กับคนในกลุ่มค่อยๆ ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บและฟื้นฟูพละกำลังขึ้นทีละน้อย อีกทั้งสัตว์เซียนภูตจันทราที่พวกเขามาดหมายมานานก็กำลังอาบแกนจักรพรรดิเพื่อชำระบาปอยู่
ค่ำคืนของวันที่สิบห้าเดือนเจ็ดนั้นยาวนานกว่าที่ทุกคนคาดคิดไว้
ผ่านไปเนิ่นนาน สีทองของดวงจันทร์ที่อยู่บนฟากฟ้าก็เริ่มหม่นลงเล็กน้อย ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ตัวสั่นเทา พลางคิดว่าความทรมานกำลังจะจบลงเสียที ทว่าอึดใจถัดมา พวกเขาก็พบว่าไม่ใช่ดวงจันทร์บนฟ้าที่หม่นลง แต่เป็นเพราะแสงจากหุบเขาจันทร์เต็มดวงเริ่มรุนแรงขึ้นต่างหาก
สัตว์เซียนภูตจันทราดูดซับแกนจักรพรรดิได้มากพอและกำลังเข้าสู่ขั้นของการเปลี่ยนร่างแล้ว
สำหรับใครหลายคน ขั้นตอนการเปลี่ยนร่างของสัตว์เซียนนั้นคู่ควรกับการเฝ้าสังเกตการณ์เป็นอย่างยิ่ง ทว่าทันทีที่สัตว์เซียนภูตจันทราดูดซับแกนจักรพรรดิได้เพียงพอแล้ว ร่างของมันกลับถูกปกคลุมด้วยแสงหนาทึบราวกับเป็นรังไหม
หวังลู่และคนอื่นๆ ในกลุ่มยังคงยืนนิ่งอยู่ข้างๆ สัตว์เซียนภูตจันทรา
“จบแล้วใช่ไหม”
ในตอนนั้นเอง แม้แต่หวังลู่ก็ยังเผยร่อยรอยความเหนื่อยอ่อนออกมา
——
สำหรับคนส่วนใหญ่ทุกอย่างอาจจะจบสิ้นแล้ว
ทว่ากับคนบางคน ทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
เหตุการณ์ต่อไปนี้เกิดขึ้นที่ยอดเขายอดเมฆา ไม่ใช่บนยอดสูงสุด แต่เป็นภายในยอดเขาที่ลึกลับและดำมืด
“ฮะ เฮือก…”
เสียงหอบหายใจอย่างอ่อนแรงแต่ถี่รัวดังขึ้นจากโพรงมืดทึม น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก ราวกับว่าต้นกำเนิดของเสียงเพิ่งหนีรอดมาจากความเป็นความตายของชีวิต
ทว่าไม่นานเสียงนั้นก็เงียบลง และอึดใจถัดมาแสงสว่างก็ปรากฏขึ้นในโพรงลับแห่งนี้ ภายใต้แสงนั้น ร่างล่ำสันของเจ้าของเสียงที่มีกล้ามเนื้อแน่นไปทั้งตัวก็ปรากฏให้เห็น บนลำคอคือศีรษะที่เป็นเสือ และในฝ่ามือของคนผู้นั้นก็ปรากฎเป็นแสงของอัคคีสายฟ้า
เขาคือราชาพยัคฆ์ที่ชีวิตควรจะมอดม้วยไปแล้ว!
ก่อนหน้านี้ตอนที่หวังลู่ใช้จิตวิญญาณของทุกสรรพสิ่งต่อกรกับค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมาย อาคมป้องกันของเล่ยเจิ้นก็ค่อยๆ ถูกทำลายไปทีละชั้น พลังอิทธิฤทธิ์ของวิญญาณกำเนิดใหม่กลายเป็นสิ่งไร้ค่าเมื่อต้องเผชิญกับพลังที่รุนแรงบ้าคลั่ง ทว่าตบะขั้นกำเนิดใหม่ก็เป็นตบะขั้นกำเนิดใหม่อยู่วันยังค่ำ วิชาของเขานั้นลึกลับกว่าผู้บำเพ็ญเซียนทั่วไป นิสัยของราชาพยัคฆ์แม้จะหยาบช้า แต่กลับมีไหวพริบขัดจากรูปร่างหยาบกระด้างที่เห็นภายนอก ก่อนจะทำการใหญ่ในคืนวันที่สิบห้าเดือนเจ็ด เขาได้ออกจากห้องมาตระเตรียมแผนการและตั้งค่ายกลวิญญาณกำเนิดใหม่ลี้ภัยขนาดย่อมไว้ในโพรงลับของยอดเขายอดเมฆา ทำให้สามารถเอาชีวิตรอดในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานมาได้
แน่นอนว่าเมื่อต้องเผชิญกับกระแสแห่งจิตวิญญาณทุกสรรพสิ่งที่เกรี้ยวกราด ค่ายกลย่อมๆ นี้ย่อมไม่เพียงพอที่จะปกปักษ์ชีวิตเขาได้ ราชาพยัคฆ์จึงไม่ลังเลที่จะสังเวยสัตว์ภูตสองตัวของเขา นั่นคือพยัคฆ์มีปีกที่ทุ่มเทและจงรักภักดีกับพยัคฆ์เงาที่เก็บตัวมากว่าสิบปี เขาใช้พวกมันเป็นตัวแทนสับเปลี่ยนเพื่อจะได้มีโอกาสหลบหนีมากขึ้น
ถึงกระนั้นราคาที่ต้องจ่ายไปก็ทำให้เขาต้องเจ็บปวดแสนสาหัสอยู่ดี วิญญาณกำเนิดใหม่ของเขาเสียหายหนัก และการจะหลอมมันขึ้นมาใหม่ภายใต้ร่างกายที่เป็นมนุษย์นั้น ราชาพยัคฆ์ต้องบริโภคเลือดและเนื้อเป็นจำนวนมาก ตอนนี้เขารู้สึกว่าตนเองอ่อนแออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้วิญญาณกำเนิดใหม่ของเขาจะยังคงมีสีม่วงและแดง และยังอยู่ดีในวิหารหยกที่ใกล้พังทลายซึ่งพอจะหายใจเข้าออกอยู่ได้ แต่เพื่อจะรักษาทุกอย่างที่ว่ามานี้ให้คงอยู่ ร่างของเขาจึงเปราะบางอย่างหนัก
ทว่าตราบใดที่ภูเขายังคงเขียวขจี โอกาสในการกลับมาก็ยังมีอยู่เสมอ เขาคือราชาพยัคฆ์ ตลอดทั้งชีวิตเขาเคยเผชิญพายุรุนแรงมามากมาย แม้ตอนนี้สภาพจะน่าอนาถ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็จะผ่านพ้นมันไปได้อย่างแน่นอน
ตอนนี้เขาแค่ต้องฟื้นฟูกำลังวังชาอยู่ในโพรงนี่เสียก่อน จากนั้นค่อยออกไปสะสางความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นเหล่าผู้อาวุโสจากแคว้นทักษิณสวรรค์ซึ่งเป็นกำลังเสริมก็คงจะมาถึงพอดี
แม้ผู้อาวุโสสูงสุดจำนวนไม่น้อยจะไม่สบอารมณ์นักเมื่อเขาและคนอื่นๆ ออกมาจากแคว้นทักษิณสวรรค์ แต่อย่างไรเสียเขาก็ยังเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์อยู่ดี สำนักย่อมไม่นิ่งเฉยมองสมาชิกตบะขั้นกำเนิดใหม่คนหนึ่งร่วงลงมาจากฟ้าแน่ ถึงตอนนั้นถ้าเขายอมก้มหัวให้ อีกหนึ่งร้อยปีให้หลัง เขาก็น่าจะยังมีโอกาสทำประโยชน์ที่คู่ควรกับการบันทึกให้แก่สำนัก
ทว่าขณะกำลังคิดอยู่นั้น เขาพลันได้ยินเสียงฝีเท้าที่ด้านนอกโพรงลับ
ใจของราชาพยัคฆ์กระตุก โพรงลับนี้คือที่มั่นสุดท้ายที่จะรับประกันชีวิตของเขา หนำซ้ำเขายังไม่เคยเอ่ยถึงสถานที่แห่งนี้ให้ใครรู้ แถมที่นี่ยังตั้งอยู่ที่ใจกลางสุดของภูเขา เช่นนั้นแล้วใครกันจะบุกบั่นมาได้
อัคคีสายฟ้าที่ส่องแสงอยู่บนฝ่ามือสว่างไสวขึ้นจนเห็นร่างของบุคคลดังกล่าว
ทันทีที่สายตาของราชาพยัคฆ์เห็นได้ชัดขึ้น กล้ามเนื้อบนร่างของเขาก็พลันเขม็งเกลียวขึ้นมา
“เจ้าเองหรือ อาเซี่ย”
ผู้ที่เข้ามาคืออาเซี่ย! บุคคลที่มีตบะขั้นสร้างแกนซึ่งไม่นานมานี้ยังมีท่าทีอ่อนน้อมต่อราชาพยัคฆ์อยู่ รอยยิ้มประจำตัวยังคงปรากฏอยู่บนหน้า หนำซ้ำยังดูเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ ราวกับว่าเพิ่งได้รับความสุขจากการปลดปล่อย
“ใช่ ข้าเอง ท่านไม่ต้อนรับข้าหรือ”
หากเห็นอากัปกิริยาเช่นนี้ของอีกฝ่ายในสถานการณ์ปกติ ราชาพยัคฆ์คงจะรู้สึกยินดีไม่น้อย ทว่าตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกสบายใจเลยสักนิด
“ทำไมเจ้าถึงรู้จักที่นี่ ข้าไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้เจ้ารู้!”
อาเซี่ยยักไหล่ “ถูกแล้ว แม้แต่คนที่ใกล้ชิดที่สุดท่านก็ไม่เคยเอ่ยให้รู้ แต่ในฐานะคนที่ใกล้ชิดที่สุดของท่าน บางเรื่องท่านก็ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา ข้ารู้ดีว่าท่านได้วางค่ายกลช่วยชีวิตไว้ที่ยอดเขายอดเมฆา เรื่องนี้ท่านอาจจะลวงคนอื่นได้ แต่ไม่ใช่กับข้า”
“หึ เจ้านี่ฉลาดจริงๆ” ราชาพยัคฆ์ยิ้มเย็น “แต่หากเจ้าฉลาดพอ เจ้าควรจะรู้ว่าบางเรื่องไม่รู้ย่อมดีกว่า หากเจ้าหันหลังกลับไปตอนนี้ ข้าจะทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
อาเซี่ยขำ “ท่านน่ะทั้งที่มีรูปลักษณ์หยาบกระด้างแต่กลับมีมันสมองฉับไว ไม่โง่เง่าเหมือนคนอื่นๆ แล้วทำไมตอนนี้จึงต้องหลอกตัวเองด้วยเล่า ในเมื่อข้ามาถึงที่นี่แล้ว ท่านไม่รู้หรือว่าข้าตั้งใจมาเพื่ออะไร”
“…มันไม่สำเร็จหรอก”
อาเซี่ยส่ายศีรษะ “ไม่สำเร็จหรือ งั้นท่านคงยังไม่รู้จักข้าดีพอ”
พูดจบเขาก็สาวเท้าเข้าไปหาราชาพยัคฆ์อย่างช้าๆ จากนั้นก็ยื่นแขนออกไปและวางฝ่ามือบนหน้าผากของอีกฝ่าย
อึดใจถัดมา ราชาพยัคฆ์ก็รู้สึกได้ถึงแรงดูดมหาศาลที่บนหน้าผากของตน แรงดูดนี้ทำให้จิตใจของเขาปั่นป่วนราวกับว่าสมองของเขากำลังถูกต้ม หนำซ้ำเขายังรู้สึกหวาดกลัวอย่างหนักเมื่อวิญญาณกำเนิดใหม่ที่ชำรุดซึ่งอยู่ในวิหารหยกเริ่มกร่อนลงและค่อยๆแตกออกเป็นชิ้นๆ ก่อนจะหลุดออกจากวิหารหยก
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่!?”
“ฮ่ะๆๆ ท่านเดาไม่ออกหรือว่าข้าจะทำอะไร ความสามารถของข้าในโลกบำเพ็ญเซียนนั้นต่ำต้อย รากวิญญาณและโอกาสแห่งเซียนก็แสนธรรมดา ข้าทำได้ไม่ดีนักกับวิชาที่สำนักสั่งสอนให้ จึงถูกเยาะเย้ยว่าเป็นเพียงเศษสวะไร้ค่า แต่คงไม่มีใครคาดคิดว่านกเขาตัวนี้จะมีทักษะการทำรังของนกกางเขน และข้าก็ฝึกฝนมันมาอย่างดี ข้าเตรียมตัวมามากกว่าสิบปีก็เพื่อการนี้!”
ราชาพยัคฆ์กล่าวเสียงเย็น “เจ้าคิดจะขโมยร่างและวิญญาณกำเนิดใหม่ของข้ารึ”
“ถูกต้อง ต่อจากนี้ข้าจะเป็นราชาพยัคฆ์เล่ยเจิ้น ที่มีทักษะบำเพ็ญเซียนสูงส่ง มีชื่อเสียงเกียรติยศในสำนัก อนาคตของข้าจะไม่ถูกจำกัด!”
ขณะพูดรอยยิ้มของอาเซี่ยก็เจิดจ้าขึ้น แรงดูดบนฝ่ามือก็รุนแรงขึ้นเช่นกัน อีกไม่นานวิญญาณกำเนิดใหม่ของราชาพยัคฆ์ก็จะถูกดึงออกมาจากวิหารหยกโดยสมบูรณ์
ราชาพยัคฆ์นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง และกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหม่นเศร้า “ไม่มีประโยชน์”
“ไม่มีประโยชน์? หากไม่ลองแล้วท่านจะรู้ได้ยังไงว่าไม่มีประโยชน์ จริงอยู่มันอาจยากที่ตบะขั้นสร้างแกนอย่างข้าจะเข้าไปควบคุมร่างของตบะขั้นกำเนิดใหม่อย่างท่าน แต่…”
“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้” น้ำเสียงของราชาพยัคฆ์นิ่งขึ้น “ต่อให้เจ้าพรากทุกอย่างไปจากข้า เจ้าก็เป็นข้าไม่ได้ ในโลกบำเพ็ญเซียนนั้น เส้นทางของแต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ต่อให้มีถนนสายหลักอยู่สามพันสาย สุดท้ายแล้วการบำเพ็ญเซียนก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองอยู่ดี เจ้ามัวแต่สนใจสิ่งภายนอก หวังว่าจะเดินทางลัด แต่ทำแบบนี้รังแต่จะทำร้ายตัวเอง”
“เหอะ” อาเซี่ยพ่นลมออกจมูก
ราชาพยัคฆ์กล่าว “ข้าเข้าใจเจ้า…”
“หุบปาก!” เมื่อได้ยินคำว่าเข้าใจ อาเซี่ยก็ฉุนเฉียวขึ้นทันที “เข้าใจรึ น่าขำสิ้นดี! ข้าบำเพ็ญเซียนมาร้อยปี ดิ้นรนให้หลุดพ้นจากสภาพคอขวดของการเดินทางที่ไร้เส้นทาง แต่กลับทำสำเร็จได้ด้วยกลเม็ดแหกคอกหรือไม่ก็ด้วยเล่ห์เหลี่ยม แล้วคนมีพรสวรรค์อย่างท่านจะมาเข้าใจความรู้สึกทุกข์ใจของคนที่ไม่มีทางออกให้กับปัญหาได้อย่างไร!? คนในสำนักต่างหัวเราะเยาะที่ข้าประจบเลียแข้งเลียขาท่าน ท่านเคยพบเจอกับความอัปยศแบบนี้ด้วยหรือ ท่านมีคุณสมบัติอะไรถึงได้กล้าพูดออกมาว่าเข้าใจข้า!”
พูดจบเขาก็เพิ่มแรงดูดให้มากขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ราชาพยัคฆ์ไม่อาจต้านทานได้อีก วิญญาณกำเนิดใหม่สีม่วงแดงของเขาจึงถูกดึงออกมาอยู่ในฝ่ามือของอีกฝ่าย
สีหน้าของอาเซี่ยเต็มไปด้วยความละโมบขณะพินิจวิญญาณกำเนิดใหม่ที่บอบช้ำอย่างยินดี
“เป็นของดีทีเดียว หากข้ายังบำเพ็ญเซียนด้วยวิธีธรรมดา เกรงว่าชาตินี้คงไปไม่ถึงขั้นมีวิญญาณกำเนิดใหม่ ไม่แปลกเลยที่ท่านเอาแต่อวดอ้างว่าสามารถมอบในสิ่งที่ข้าต้องการได้ทุกอย่างยกเว้นเพียงสิ่งนี้”
ราชาพยัคฆ์นิ่งอึ้ง ผ่านไปพักหนึ่งจึงเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น “อาเซี่ยเอ๋ยอาเซี่ย ในเมื่อเจ้าพูดเรื่องนี้ออกมา ข้าก็ไม่มีอะไรจะกล่าวอีก หากเจ้าต้องการอะไรจากข้าก็เอาไปได้เลย! ไหนๆ ข้าก็พบเจอกับหายนะขนาดนี้แล้ว ข้าคงไม่อาจปกป้องเจ้าจากพายุได้อีก ตบะขั้นของข้า ร่างมนุษย์ของข้า วิชาของข้า เจ้าเอาไปให้หมดเลย! ข้าก็ได้แต่หวังว่าเจ้าจะไม่คิดเสียใจกับความจองหองของตัวเองในวันนี้!”
“เสียใจ? ข้าจะเสียใจไปทำไม นี่เป็นโอกาสเดียวของข้า ข้าจะเสียใจหากไม่ฉวยมันไว้ต่างหาก! แต่ไหนๆ ท่านก็เคยทำอะไรให้ข้าตั้งมากมายในหลายปีที่ผ่านมา ข้าจะให้โอกาสท่านได้มีชีวิตรอดก็แล้วกัน”
พูดจบอาเซี่ยก็หัวเราะลั่นไปอีกพักใหญ่ จากนั้นเขาก็กำฝ่ามือ วิญญาณกำเนิดใหม่ของราชาพยัคฆ์ดับแสงลง และดวงตาของอาเซี่ยก็เรืองแสงสีม่วงแดงขึ้นมา
ผ่านไปพักใหญ่แสงในดวงตาของอาเซี่ยก็หม่นลง ร่างทั้งร่างหมดกำลังจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้ ทว่าร่างหนาของราชาพยัคฆ์กลับสั่นเล็กน้อย และเมื่อเขาลืมตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นกลับเปี่ยมไปด้วยความสงบ
“ช่างเป็นพลังที่น่าทึ่งจริงๆ… นี่น่ะหรือขอบเขตของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ ทั้งที่บาดเจ็บสาหัสและใกล้ตายอยู่ร่อมร่อ แต่กลับแข็งแกร่งกว่าตอนที่ข้าแข็งแรงดีเสียอีก”
ราชาพยัคฆ์พูดเสียงแผ่ว น้ำเสียงของเขาฟังดูแปลกไป เห็นได้ชัดว่ายังไม่ชินกับพลังใหม่ของตัวเอง
อาเซี่ยที่อยู่ตรงหน้าขยับตัวเล็กน้อย แล้วพอเขาเปิดปากพูด เสียงที่ดังออกมากลับดูมีอายุและอ่อนกำลัง “ยินดีด้วย สุดท้ายเจ้าก็ได้สมใจปรารถนา!”
“หึๆ สมใจปรารถนา? นี่ยังเรียกว่าสมใจปรารถนาไม่ได้ ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ข้าต้องทำให้เรียบร้อยก่อน”
พูดจบชายร่างหนาก็เหวี่ยงร่างเพรียวและอ่อนแอของอีกฝ่ายลงบนพื้น จากนั้นก็ฉีกกางเกงออกจนขาด
“เจ้า!?” ชายร่างบางไร้เรี่ยวแรงร้องออกมา
“ฮ่าๆ เล่ยเจิ้นเอ๋ยเล่ยเจิ้น ตลอดชีวิตของเจ้า เจ้ากดขี่คนอื่นมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าจะโดนกดขี่บ้าง ตอนนี้เจ้าจะได้เข้าใจความทุกข์ทรมานนับทศวรรษของข้าเสียที… ช่วยบอกข้าทีซิว่าเจ้ารู้สึกดีรึเปล่า”
ระหว่างเปล่งเสียงหัวเราะ ชายร่างหนาก็ค่อยๆ ถอดกางเกงออกจากร่างของตน
“นี่หรือที่ราชาพยัคฆ์รู้สึก มันเป็นแบบนี้สินะ เป็นแบบนี้เองสินะ! ฮ่าๆๆ ช่างสุขสมจริงๆ รู้สึกดีชะมัด!” ระหว่างที่เร่งความเร็วในการเคลื่อนกาย ราชาพยัคฆ์ก็รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าอึดใจถัดมาเสียงหัวเราะของเขาก็ขาดตอนไป
นั่นเพราะร่างที่อยู่ด้านล่างของเขากลับแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน ตอนที่ราชาพยัคฆ์หมุนตัวอีกฝ่ายขึ้นมาดู เขาก็พบว่าคนตรงหน้าได้กัดลิ้นฆ่าตัวตายไปเรียบร้อยแล้ว
“หึ ข้าคิดว่าเจ้าเป็นชายชาตรีมาโดยตลอด ไม่คิดเลยว่าโดนแค่นี้เจ้าถึงกลับทนไม่ได้ ช่างน่าขำยิ่งนัก”
ชายร่างใหญ่ยกเท้าขึ้นถีบร่างของอีกฝ่ายออกไปโดยไม่มีท่าทีอาวรณ์สักนิด
“ให้ข้าเช็ดล้างให้เจ้าหน่อยดีกว่า อืม สงสัยจังว่าป่านนี้เจ้าสัตว์เซียนนั่นจะเปลี่ยนร่างเรียบร้อยหรือยัง”
หลังจากที่ชายร่างใหญ่จากไป ภายในโพรงลับนี้จึงเหลือเพียงศพที่อยู่ในสภาพบิดงอ ทว่าใบหน้าของศพกลับปรากฏรอยยิ้มจางๆ