ภาคที่ 5 ตอนที่ 36 ฟันต่อฟัน เอาคืนสองเท่า

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 36 ฟันต่อฟัน เอาคืนสองเท่า Ink Stone_Fantasy

 

          ตอนที่อาเซี่ยปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในร่างของราชาพยัคฆ์ที่ยอดเขายอดเมฆา เวลายังผ่านไปไม่ถึงครึ่งวันดี

            เหตุการณ์แกนจักรพรรดิหลั่งไหลสะท้านโลกซึ่งปรากฏขึ้นหกสิบปีครั้งเพิ่งจะสิ้นสุดไป แสงสีทองค่อยๆ สลายไปและดวงอาทิตย์ยามเช้ากำลังอ้อยอิ่งอยู่ที่ขอบฟ้า ศิษย์นับร้อยและผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์รวมตัวกันอยู่บนยอดเขายอดเมฆา พวกเขาทุ่มเถียงกันไม่จบไม่สิ้นเพราะตกลงกันไม่ได้ว่าควรจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้า

            “อาวุโสกงหยาง เราจะทำยังไงกันดี”

            ศิษย์หลายคนกำลังยืนล้อมรอบผู้อาวุโสผู้นี้อยู่ ความกังวลและสิ้นหวังปรากฏชัดในคำพูดและท่าทางของพวกเขา

            ปกติแล้วราชาพยัคฆ์ไว้วางใจกงหยางผู้นี้ที่สุด ยกเว้นเพียงกรณีพิเศษเช่นกรณีของอาเซี่ย ดังนั้นคนอื่นๆ จึงถือว่าเขาเป็นผู้สั่งการคนที่สองของที่นี่ ตอนนี้สำนักสาขาเขาอวิ๋นไท่กำลังเผชิญกับการสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อไม่มีเสาหลักแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายคนหันหน้ามาพึ่งเขา

            โชคร้ายที่อาวุโสกงหยางแค่ช่วยตัวเองยังทำไม่ได้เลย ตอนที่เขาควบคุมปลอกคอวิเศษอยู่นั้น เขากลับถูกเฟนรีร์ซุ่มโจมตีจนเกือบทำให้แกนสีทองแตกออกเป็นสองเสี้ยว ตอนนี้แม้แต่เวลาที่จะประสานลมหายใจเพื่อเพิ่มพลังให้ตนเองก็ยังไม่มี นับประสาอะไรกับการกระตุ้นขวัญกำลังใจของเหล่าศิษย์ที่สับสนเพื่อชี้แนะหนทางข้างหน้ากันเล่า

            แม้จะมีผู้อาวุโสหลายคนที่ไม่ได้บาดเจ็บและยังมีพละกำลังเต็มเปี่ยม แต่พวกเขาต่างเห็นแย้งกันและเอาแต่ทุ่มเถียงกันไม่หยุด และถึงกระนั้นก็ยังไม่มีใครคิดหาวิธีที่มีประสิทธิภาพออกมาได้

            “ตามที่ข้าเห็น เราควรร่วมแรงกันและโจมตีหมอนั่นอีกครั้ง ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถปลดปล่อยจิตวิญญาณของทุกสรรพสิ่งออกมาได้อีก! เพราะก่อนหน้านี้วิญญาณกำเนิดใหม่ของผู้อาวุโสสูงสุดได้ออกมากำราบเขา ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บหนักและไม่มีเวลาฟื้นฟูตัวเอง แล้วเขาจะมีพลังที่ไหนมาโจมตีเราได้อีก”

            “หึ หากเจ้าเก่งกล้านักละก็ ทำไมไม่ไปโจมตีเขาเองเล่า ไหนๆ เจ้าก็คิดว่าเขาไม่มีพลังเหลือจะสู้รบแล้ว ส่วนเจ้าก็เป็นถึงผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนที่สูงส่งมิใช่หรือ อีกฝ่ายเป็นเพียงขั้นพิสุทธิ์ แค่สองสามกระบวนท่าเจ้าก็น่าจะปราบเขาลงแล้ว”

            “นี่ คนแซ่หลิว คิดจะหาเรื่องกันรึไง!?”

            “ข้าก็แค่มีสมองมากกว่าเจ้า! อีกฝ่ายกล้าให้สัตว์เซียนเปลี่ยนร่างต่อหน้าเราแบบนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าไพ่ในมือของเขายังมีอยู่เหลือเฟือ ทำใดเจ้าถึงยังมองแค่เรื่องตื้นๆ อย่างเช่นเรื่องตบะขั้นกัน แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดก็ยังถูกเขาฆ่าตายเลย หรือเจ้าคิดว่าตัวเองเก่งกล้ากว่าผู้อาวุโสสูงสุดกัน”

            “ไปตายเสียไปเหลียงอวี้ ผู้อาวุโสสูงสุดดีกับเจ้ามาตลอด แต่หลังจากที่เขาตาย เจ้าไม่เพียงไม่คิดแก้แค้น แต่ยังคิดหาข้ออ้างเพื่อจะเลี่ยงความรับผิดชอบ ยังกล้าเรียกตัวเองว่าลูกผู้ชายได้อีกรึ!?”

            “เป็นเพราะการตายของผู้อาวุโสสูงสุดพวกเราจึงควรต้องรอบคอบให้มากขึ้น ส่วนเรื่องการรักษาชื่อเสียงของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ พวกเจ้าสองคนคงไม่คิดจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการต่อสู้…”

            หนึ่งในผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนหยุดคำพูดของตัวเองลงทันใด เพราะเขาเห็นร่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ปรากฏขึ้นในสายตา

            “พูดใหม่ซิว่าใครตาย”

            เสียงโหวกเหวกเงียบลงทันใด สายตาที่งงงวยกว่าร้อยคู่หันไปจับจ้องอยู่ที่ร่างล่ำสันซึ่งมีหัวเป็นพยัคฆ์

            “ผู้อาวุโสสูงสุด!?”

            “ท่านราชาพยัคฆ์!?”

            “ศิษย์พี่เล่ยเจิ้น!?”

            ทันใดนั้นเสียงร้องตะโกนก็ดังขึ้นพร้อมกัน ทุกคนมองไปที่ร่างของคนซึ่งน่าจะตายไปแล้วอย่างไม่เชื่อสายตา แม้พวกเขาจะเห็นว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บและดูอ่อนแรง แต่กระแสพลังอิทธิฤทธิ์ที่เป็นเอกลักษณ์ก็สามารถกลับจุดความเชื่อมั่นในใจทุกคนขึ้นมาได้

            “ว่าแล้วเชียวว่าท่านยังไม่ตาย ข้ารู้ว่าท่านย่อมไม่ตายง่ายๆ แน่!”

            ผู้อาวุโสคนหนึ่งน้ำตากบตา

            เมื่อครู่คนนับร้อยยังทุ่มเถียงกันไม่หยุด เสียงของพวกเขาดังก้องจนทำเอาก้อนกรวดแตกและตกลงมา… ไม่ใช่ว่าพวกเขาคิดอยากจะมีเรื่องกัน แต่มันเป็นวิธีซ่อนความหวาดกลัวไว้ต่างหาก

            กงหยาง เหลียงอวี้และผู้อาวุโสคนอื่นๆ ไม่อาจควบคุมสถานการณ์ได้ เหล่าศิษย์กำลังจิตสั่นขวัญแขวน ส่วนผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนที่เหลือก็ต่างมีแผนการของตัวเอง บางคนเสนอว่าควรยอมแพ้ให้กับผู้บำเพ็ญหนุ่มตบะขั้นพิสุทธิ์คนนั้นด้วยซ้ำ!

            เมื่อปราศจากคนที่มีอำนาจมากพอที่จะควบคุมสถานการณ์ คนนับร้อยของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ก็เริ่มแตกหักกันเอง

            “หึ พวกเศษสวะไม่เอาไหน!”

            เสียงตำหนิที่ดังออกมาดูไม่เด็ดขาดเท่าเสียงที่เคยได้ยินมาตลอดหนึ่งปี ทว่าสำหรับคนที่อยู่ตรงนั้น เสียงนี้ดูราวกับเสียงของธรรมชาติ พวกเขารู้สึกว่าจิตใจเต็มเปี่ยมด้วยความอบอุ่น ไม่มีความลังเลหรือความกระวนกระวายใจอีกต่อไป

            นี่คืออิทธิพลของราชาพยัคฆ์ผู้อาวุโสสูงสุด แค่คำพูดของเขาก็สามารถยุติข้อถกเถียงและกระตุ้นขวัญและกำลังใจให้ทุกคนได้แล้ว

            “ผู้อาวุโสสูงสุด ช่วยชี้แนะทีว่าเราควรทำยังไงต่อไป”

            อาวุโสกงหยางรีบถามคำถามที่อยู่ในใจของทุกคน

            “หึ เจ้ายังต้องถามข้าอีกหรือ ลืมกฎของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ไปแล้วรึไง แส่เข้ามาวุ่นวายในเรื่องของสำนัก ทำลายแผนการกว่าหนึ่งปีของเรา ขโมยสัตว์เซียนภูตจันทราไปจากเรา ทำให้ศิษย์และสัตว์ภูตมากมายได้รับบาดเจ็บและเกือบจะฆ่าข้าด้วย เจ้าคิดว่าจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ หรือ”

ราชาพยัคฆ์กล่าวขึ้นจากนั้นก็หัวเราะเสียงเย็น ขณะพูดไอสังหารก็ฟุ้งอยู่ในอากาศ “ฟันต่อฟัน เอาคืนสองเท่า!”

            เหล่าศิษย์ทั้งรู้สึกตกตะลึงและพึงพอใจ

            สมกับเป็นราชาพยัคฆ์จริงๆ แม้นิสัยจะกักขฬะ แต่ผู้อาวุโสสูงสุดย่อมปกป้องพวกเขาจากพายุฝนไม่ว่าจะด้วยวิธีใด!

            ทว่าแม้พวกเขาจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้น แต่ก็ไม่อาจหย่อนความระวังได้ ผู้อาวุโสเหลียงอวี้ที่รอบคอบอยู่เสมอกล่าวเตือนเสียงดัง “ท่านราชาพยัคฆ์ คนพวกนั้นยืนอยู่ในหุบเขาจันทร์เต็มดวงอย่างเปิดเผยมาตลอดทั้งคืน แม้เป็นไปได้ว่าจะเป็นเพียงการตบตา แต่พวกเขาก็อาจมีไพ่ที่น่ากลัวอยู่ในมือ ดังนั้นข้าว่าเราจึงควรระวังตัวเอาไว้บ้าง”

            “ระวังตัวเอาไว้? ไร้สาระ! ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าถอดวิญญาณกำเนิดใหม่ออกจากร่าง นั่นไม่เรียกว่าระวังตัวหรือ คำว่าระวังตัวมันก็แค่ข้ออ้างให้กับความขี้ขลาดของเจ้าเท่านั้น!”

            พูดจบราชาพยัคฆ์ก็ไม่ใส่ใจท่าทีลังเลของเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์อีก เขาหันหลังและเดินตรงไปยังหุบเขาจันทร์เต็มดวงทันที

            เมื่อเห็นร่างของราชาพยัคฆ์ที่ค่อยๆ เลือนไป แม้พวกเขาจะถูกตำหนิว่าทำตัวขี้ขลาดตาขาวและรู้สึกอับอายอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่จิตที่จะต่อสู้ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ดับลงไปแล้วกลับถูกจุดขึ้นมาใหม่ ตราบใดที่ยังมีผู้อาวุโสสูงสุดราชาพยัคฆ์อยู่ พวกเขาก็ย่อมไร้เทียมทาน!

            แต่ไม่มีใครสักคนได้เห็นว่าราชาพยัคฆ์ที่เดินอยู่เบื้องหน้าเกือบจะกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่อยู่

            แน่ละว่าไม่มีใครเห็น… ท่ามกลางเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์ที่อยู่ตรงนั้น บางคนคุ้นเคยกับราชาพยัคฆ์มาเป็นทศวรรษ แต่กลับไม่มีใครมองออกเลยว่าแก่นที่อยู่ภายในร่างได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

            หากมองในอีกมุมหนึ่ง การละทิ้งร่างรวมถึงตบะขั้นสร้างแกน และสามารถครอบครองร่างและวิญญาณกำเนิดใหม่ของราชาพยัคฆ์ได้ แปลว่าระหว่างเขาและราชาพยัคฆ์ไม่มีสิ่งใดแตกต่างกันมากนัก อาเซี่ยเตรียมตัวเพื่อวันนี้มากว่าสิบปี นิสัยใจคอของราชาพยัคฆ์ถูกประทับอยู่ในใจของเขา แม้แต่รายละเอียดเล็กน้อยที่สุดก็ยังไม่หลุดรอดสายตา เมื่อเขาตัดสินใจที่จะรับบทราชาพยัคฆ์ เขาก็ทำได้เหมือนอีกฝ่ายอย่างที่สุด

            ไม่สิ เมื่อเทียบกับราชาพยัคฆ์ที่ทำทุกอย่างได้ด้วยความราบรื่นมาตลอด จนไม่ตระหนักถึงความชั่วร้ายภายในจิตใจของผู้คน อาเซี่ยผู้ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการเอาตัวรอดก็มั่นใจมากว่าเขาจะสามารถทำได้ดีกว่า… อย่างในสถานการณ์ตรงหน้านี้ หากเป็นราชาพยัคฆ์ตัวจริง เขาอาจกล้ำกลืนความอัปยศอดสู หรืออาจปลดปล่อยความโกรธเกรี้ยวถึงขนาดยอมพินาศไปพร้อมๆ กับศัตรู

            ทว่าอาเซี่ยนั้นแตกต่าง ในมือของเขามีไพ่อยู่สองใบซึ่งอาจทำลายความได้เปรียบของฝ่ายตรงข้ามได้

            หลังจากสวมบทบาทเป็นราชาพยัคฆ์ ไพ่สองใบนี้จะสามารถแผ้วถางหนทางไปสู่ชัยชนะอัดสดใสได้

            อึดใจถัดมา เขาก็ใช้กำลังสกัดพลังอิทธิฤทธิ์จากวิญญาณกำเนิดใหม่ในวิหารหยกออกมา และเปลี่ยนมันให้เป็นปีกเพื่อเหาะขึ้นไปบนภูเขาล้อกับสายลมและบินตรงไปยังหุบเขาจันทร์เต็มดวง

——

            ที่ใจกลางหุบเขาจันทร์เต็มดวง การเปลี่ยนร่างของสัตว์เซียนภูตจันทราดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว ลำแสงสีทองจากรังไหมพลันปรากฏขึ้น มันขยายและหดตัวท่ามกลางความมืดและแสงสว่างราวกับว่าเป็นจังหวะการเต้นของหัวใจ

            ลมหายใจของชีวิตใหม่กำเนิดขึ้นอยู่ในรังไหมที่ทำจากแสง แม้จะยังไม่ถึงกระบวนการสำคัญที่จะเจาะทะลุรังไหมออกมา แต่กระแสพลังที่เกิดขึ้นกลับรุนแรงเป็นอย่างมาก

            มันคือสัตว์เซียนจริงๆ ตำนานกล่าวไว้ว่าความแข็งแกร่งของสัตว์เซียนที่เติบโตเต็มที่นั้นเทียบเท่าได้กับเซียน หากเปรียบกับหวังลู่และหลิวหลีแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพรสวรรค์เหลือล้นสองคนนี้กลับดูไร้ความหมายไปในทันที

            ตอนนี้พวกเขาแค่ต้องรอให้มันออกมาจากรังไหม

            หวังลู่เตรียมยันต์สวรรค์ไว้นานแล้ว ทันทีที่สัตว์เซียนภูตจันทราเปลี่ยนร่างอย่างสมบูรณ์ เขาจะจุดยันต์สวรรค์พาสัตว์เซียนภูตจันทรากลับไปยังสำนักกระบี่วิญญาณ เมื่อเทียบกับสัตว์เซียนแล้ว ยันต์สวรรค์ชิ้นนี้ถือว่าไร้ราคา ส่วนเรื่องเจตจำนงและความต้องการของสัตว์เซียนภูตจันทรานั้น… ในฐานะผู้ปกครองของมันเขาย่อมไม่เอาเรื่องนั้นมาใส่ใจ

            แน่นอนว่าก่อนที่จะใช้งานยันต์สวรรค์ พวกเขาต้องคุ้มกันสัตว์เซียนภูตจันทราเสียก่อน ตอนนี้กระบี่แห่งเขาคุนของเขายังชี้เป็นมุมเฉียง พลังอิทธิฤทธิ์ยังโคจรอย่างไม่ติดขัด กระบี่ตั้งรับไร้ลักษณ์ซึ่งสร้างเกราะป้องกันให้พวกเขามาตลอดทั้งคืนแสดงให้เห็นถึงพลังที่คงทนของวิชาไร้ลักษณ์ได้เป็นอย่างดี

            หลิวหลีที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่ได้ทำตัวเกียจคร้าน จิตกระบี่กระจ่างใจไร้พ่ายของนางได้ประโยชน์มหาศาลจากแกนจักรพรรดิ มันซ่อมเสริมตบะขั้นพิสุทธิ์ที่ยังพร่องอยู่รวมถึงควบรวมพลังวิญญาณขั้นปฐมที่ยังไม่นิ่งของนางทีละน้อย หลิวหลีผสานเพลงกระบี่กระจ่างใจของนางเข้ากับกระบี่ตั้งรับไร้ลักษณ์ พลังอิทธิฤทธิ์และจิตกระบี่ของหญิงสาวถูกใช้งานมาเกือบทั้งคืน แต่นางกลับดูไม่เหน็ดเหนื่อยเลย

            นอกจากนั้น ยังมีนักบวชเซนเนื้อสุนัข ฉวนโจ่วฮวาและเด็กสาวหูแมวหลินเยียน…ที่ยืนล้อมรอบรังไหมซึ่งทำจากแสง แต่ละคนคอยเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา

            ทั้งกลุ่มอยู่ในท่าที่พร้อมจะสู้ได้ทุกขณะ และมันก็ช่วยรับรองความปลอดภัยของพวกเขามาได้เกือบทั้งคืน

            ทว่าความเงียบสงบกลับสิ้นสุดลงตรงนั้นเอง

            ที่เหนือหุบเขาจันทร์เต็มดวงปรากฏเงาร่างของกลุ่มคนจำนวนมาก เมื่อมีราชาพยัคฆ์นำทัพ พละกำลังของผู้คนแห่งสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์จึงกลับมาเต็มเปี่ยม แต่ละคนมีท่าทางพร้อมสู้จนตัวตายและอวลไปด้วยไอต่อสู้ที่เข้มข้น

            เมื่อเห็นราชาพยัคฆ์ ทุกคนรวมถึงตัวหวังลู่ต่างผงะ เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย “เจ้าคือฝาแฝดของเขารึ”

            ไม่ใช่พวกเขาตื่นตกใจที่อีกฝ่ายยังไม่ตาย แต่การที่หลังจากหนีรอดจากความตายไปได้อย่างฉิวเฉียด แต่คนผู้นี้กลับเร่งรีบจะเอาชีวิตกลับมาทิ้งอีกหนทำให้หลายคนรู้สึกประหลาดใจ

            ราชาพยัคฆ์โชคดีที่หลบหนีไปได้ แต่เขาก็บาดเจ็บสาหัส ไม่มีพละกำลังเพียงพอที่จะลุกขึ้นสู้อีก ทุกคนต่างได้เห็นว่าเขาไม่ต่างกับผู้ที่กำลังเผชิญกับหายนะ

            ทว่าก่อนที่หวังลู่จะมีโอกาสได้พูดต่อ เสียงของราชาพยัคฆ์ก็ดังก้องไปทั่วหุบเขา

            “ไม่คิดว่าข้าจะกลับมาสินะ!? เวลาเล่นสนุกของพวกเจ้าหมดลงแล้ว!”

            ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หวังลู่ก็ไม่คิดจะพูดอะไรต่อ

            อยากสู้จนตัวตายสินะ ก็ได้งั้นก็มาสู้กัน… ในตอนนี้แม้บาดแผลของเขาจะเยี่ยวยาตัวเอง พลังอิทธิฤทธิ์ พลังกายและพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขา…จะอยู่ในสภาพที่ดีงาม แต่เขาก็รู้สึกเหนื่อยอ่อนเหมือนทุกที

            การต่อสู้ในครั้งนี้เป็นแผนของเขาตั้งแต่ต้นจนจบ เขามีหน้าที่รับผิดชอบทุกการกระทำและทุกความรับผิดชอบทั้งหมด แรงกดดันที่เขาแบกรับหนักหนาเกินกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้ ทว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ดูเหมือนจะลากยาวเกินไปแล้ว ถึงเวลาที่ต้องหยุดพักเสียที แม้ฝ่ายตรงข้ามจะมีจำนวนมาก แต่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ที่ดูน่ากลัวที่สุดตอนนี้เป็นเพียงเศษสวะที่ตอนนี้มีแผลฉกรรจ์ทั่วตัว นอกจากยืนอยู่ด้านหน้าในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณแล้ว ในการต่อสู้ที่จะตามมา คนผู้นั้นทำได้เพียงรับบทผู้นำส่งเสียงให้กำลังใจ ดังนั้นคู่ต่อสู้ที่แท้จริงจึงมีเพียงผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนและสัตว์ภูตเท่านั้น

            ทว่าตราบใดที่เขาและหลิวหลีร่วมมือกันอย่างลงตัว พวกตบะขั้นสร้างแกนเหล่านั้นก็ไม่ถือว่าเกินแรงแต่อย่างใด ต่อให้จะเอาชนะไม่ได้ แต่ก็น่าจะประวิงเวลาได้ ทันทีที่สัตว์เซียนภูตจันทราเปลี่ยนร่างสำเร็จ เขาก็จะใช้งานยันต์สวรรค์ ถึงตอนนั้นคนพวกนี้จะทำอะไรเขาได้อีก

            ทว่าตอนที่หวังลู่กำลังจะเหวี่ยงกระบี่เพื่อเริ่มการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ในใจเขาก็พลันรู้สึกได้ถึงลางร้าย

            ตอนที่ชายหนุ่มมองขึ้นไป ทั้งเขาและราชาพยัคฆ์บังเอิญได้สบตากัน แต่เขากลับรู้สึกว่าลำแสงสีม่วงแดงที่สว่างวาบในดวงตาของอีกฝ่ายนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

            นั่นไม่ใช่ราชาพยัคฆ์ตัวจริง!

            ลางสังหรณ์ของหวังลู่บอกอย่างนั้น

            แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ไม่ต่างกัน… ร่างกายที่อ่อนล้าบอกเขาเช่นนั้น

            อึดใจถัดมา หวังลู่ก็มองเห็นประกายแห่งความขบขันในดวงตาของอีกฝ่าย ราวกับว่าแผนการที่ฝ่ายตรงข้ามวางไว้ใกล้จะสำเร็จเต็มที ในที่สุดเจ้าก็เสร็จข้า หวังลู่เหมือนจะได้ยินคำพูดสบประมาทเช่นนั้นดังออกมา

จิตใต้สำนึกสั่งให้หวังลู่หันกลับไป เขาเห็นหลิวหลียืนอยู่ข้างๆ ด้านหลังของนางเป็นเด็กสาวหูแมวใบหน้ากึ่งว่างเปล่ากึ่งหวาดกลัวกำลังสาวเท้าเข้ามาใกล้…ในมือกำมีดสั้นรูปร่างแปลกตา และทันใดนั้นนางก็แทงมีดสั้นลึกเข้าไปในหลังของหลิวหลี