ตอนที่ 37 ฟันต่อฟัน เอาคืนสองเท่า! Ink Stone_Fantasy
บางครั้งแม้แต่นักผจญภัยมืออาชีพก็ยังสะดุดคว่ำอยู่กลางถนน ในโลกนี้ไม่มีพระเจ้าที่รู้แจ้งและมีอำนาจไปเสียทั้งหมด มีเพียงผู้บำเพ็ญเซียนที่อุทิศตนเพื่อความสมบูรณ์แบบเท่านั้น
จู่ๆ สองประโยคนี้ก็ปรากฏขึ้นในภวังค์ของหวังลู่
เขาไม่แน่ใจว่าไปฟังสองประโยคนี้มาจากไหน แต่หวังลู่ก็ใช้มันเป็นหลักเกณฑ์ในการดำเนินชีวิตมาเนิ่นนานแล้ว
เขามักใช้เล่ห์เหลี่ยมในการจัดการสิ่งต่างๆ เขาชอบที่จะเสี่ยง ชอบทำอะไรอุกอาจซึ่งเปลี่ยนมุมมองของผู้ที่พบเห็นที่มีต่อโลก ทว่าเท่าที่จำได้เขาจริงจังกับทุกอย่าง และไม่เคยคิดต่อสู้ในศึกที่ไม่มั่นใจว่าจะชนะ
รวมถึงศึกในหุบเขาจันทร์เต็มดวงครั้งนี้ด้วย นอกจากวิธีหักลบเพื่อยืนยันเรื่องความทรงพลังที่แท้จริง แม้แต่หลังจากที่ราชาพยัคฆ์หลบหนีไปและผลสรุปทุกอย่างออกมาแล้ว หวังลู่ก็ยังคงระแวดระวังอยู่ จิตวิญญาณแห่งความจดจ่อคือกุญแจสู่ความสำเร็จของเขา
ทว่าแม้แต่นักปราชญ์บางครั้งก็พลาดพลั้ง แค่ไม่กี่อึดใจก่อนที่จะได้ชัยชนะ เชือกที่ขึงไว้ตึงกลับหย่อนลงนิดหน่อย และเผยให้เห็นช่องโหว่เล็กน้อยแต่กลับอันตรายถึงตาย
เขาน่าจะนึกได้ตั้งนานแล้ว
หากมีใครสักคนที่ควรค่าให้เขาจับตามองในศึกแห่งหุบเขาจันทร์เต็มดวงแห่งนี้ คนแรกย่อมไม่พ้นราชาพยัคฆ์ที่มีตบะขั้นกำเนิดใหม่ แต่คนต่อมานั้นกลับไม่ใช่ผู้อาวุโสกงหยางที่เป็นรองผู้บัญชาการหรือสัตว์ภูตของราชาพยัคฆ์ที่อีกฝ่ายปฏิบัติด้วยราวกับเป็นมือขวา แต่เป็นอาเซี่ย
หวังลู่ไม่เคยดูแคลนพลังทำลายล้างของผู้บำเพ็ญเซียนวิตถารผู้นี้ อาเซี่ยเป็นเพียงเศษสวะในโลกบำเพ็ญเซียน และความสามารถในการใช้กลอุบายและเล่ห์เหลี่ยมของเขาก็เทียบนักผจญภัยมืออาชีพอย่างหวังลู่ไม่ได้เลยสักนิด ทว่าอีกฝ่ายกลับเป็นตัวแปรที่คาดไม่ถึงในแผนการที่วางมาอย่างดีของหวังลู่
นั่นเพราะอีกฝ่ายวิตถารมากพอ จิตใจบิดเบี้ยวมากพอและโหดร้ายมากพอ
ความจริงแล้ว ตอนที่หวังลู่เรียกจิตวิญญาณของทุกสรรพสิ่งออกมาจัดการกับราชาพยัคฆ์เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะในคราวเดียว เขาก็คิดอยู่ไม่น้อยว่าอาเซี่ยจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยืนมองสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เงียบๆ ในสถานการณ์ที่ผิดธรรมดาเช่นนี้อีกฝ่ายย่อมอดรนทนไม่ได้ที่จะก้าวเท้าลงไป… เขาเพียงไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วนว่าอาเซี่ยจะลงสนามมาเมื่อไรก็เท่านั้น
ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นความอับโชคของหวังลู่ หากอาเซี่ยยึดร่างของราชาพยัคฆ์ได้ก่อนหน้านี้ จากนั้นก็รักษาอาการบาดเจ็บและโผล่มาที่ยอดเขายอดเมฆา อีกฝ่ายอาจปรากฏกายมาตอนที่หวังลู่ยังระแวดระวังอย่างเต็มที่ก็ได้
ตอนนี้ทันทีที่หวังลู่พบความผิดปกติ และค้นพบตัวตนที่แท้จริงของอาเซี่ยผ่านลางสังหรณ์ สิ่งแรกที่เข้ามาในห้วงความคิดของเขาก็คือ เด็กสาวหูแมวจะกลายเป็นปัจจัยที่สร้างความวุ่นวายที่สุดในเรื่องนี้
หวังลู่ไม่เคยกังขาความจริงใจของเด็กสาวหูแมว ทั้งยังไม่เคยกังขาวิชาจิตกระบี่กระจ่างใจของหลิวหลี ทว่าเขาก็ไม่ได้กังขาระดับการควบคุมที่อาเซี่ยมีต่อทาสของตัวเองเช่นกัน! หลิงเยียนอยู่ภายใต้การสั่งสอนของอาเซี่ยมานับทศวรรษ แล้วนางจะสลัดการควบคุมของอาเซี่ยออกไปง่ายๆ ได้อย่างไร กระบี่กระจ่างใจอาจตัดตราประทับแห่งทาสออกได้ก็จริง ทว่ามันจะเซาะเงาที่ฝังรากแน่นนับทศวรรษในใจของเด็กสาวออกไปได้ง่ายๆ หรือ
การเชื่อฟังอาเซี่ยกลายเป็นสัญชาตญาณของนางไปแล้ว และเมื่อสัญชาตญาณนี้ปรากฏขึ้นในรูปแบบการป้องกันตัว กระบี่กระจ่างใจก็คงจะสลายไปเองเสียมากกว่า! ไม่ใช่ว่าอาเซี่ยมีวิธีที่จะกลับมาควบคุมเด็กสาวหูแมวได้อีก แต่เป็นเด็กสาวหูแมวที่ก้าวเข้าไปหาการควบคุมของอีกฝ่ายเอง!
สิ่งนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้หากไม่ได้เจอกันโดยตรง แต่ทันทีที่สองคนนี้ได้พบกัน สัญชาตญาณการเป็นทาสของเด็กสาวก็จะปะทุออกมา… และเพราะเหตุนี้เช่นกันที่ก่อนศึกในหุบเขาจันทร์เต็มดวงจะเริ่มขึ้น หวังลู่จึงส่งเด็กสาวไปยังสถานที่ห่างไกลเพื่อเป่าเขาสัตว์ และเมื่อสภาพการณ์โดยรวมคลี่คลายแล้ว เขาจึงให้นางกลับมารวมกลุ่มอีกครั้ง เพราะอย่างไรเสียความแข็งแกร่งของตบะขั้นสร้างแกนก็ยังมีประโยชน์อยู่ ทว่าแม้แผนเหล่านี้จะรัดกุมเพียงใด มันก็ยังมีช่องโหว่ที่ไม่คาดฝันอยู่ดี
ตอนที่เด็กสาวใช้มีดสั้นแทงเข้าที่ร่างของหลิวหลีซึ่งไม่ทันระวังตัว หวังลู่ก็รู้ทันทีว่าความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดได้กลายเป็นจริงแล้ว ทันใดนั้นความรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจของเขาก็สลายไปอย่างฉับพลัน
แม้เขาจะไม่ทันป้องกันในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ปฏิกิริยาของหวังลู่ก็นับว่ารวดเร็วมาก
เขาไม่ใส่ใจเด็กสาวหูแมว ไม่แยแสหลิวหลีที่บาดเจ็บหนักด้วยซ้ำ แต่กลับก้าวไปข้างหน้าและพุ่งเป้าไปที่อาเซี่ยซึ่งลอยอยู่กลางอากาศ
เด็กสาวหูแมวไม่ได้ตั้งใจทำร้ายหลิวหลี หลังจากลงมือไปแล้วนางกลับรู้สึกสับสนอย่างหนัก ทว่าเพราะเหตุนี้แม้แต่หลิวหลีเองก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นไปชั่วขณะ แต่ฉวนโจ่วฮวานั้น หลังจากตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง มันก็เข้าไปกัดกระชากมือทั้งสองข้างของเด็กสาวออกมา ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านแต่อย่างใด
ก่อนจะเริ่มศึกแห่งหุบเขาจันทร์เต็มดวง หวังลู่ได้บอกฉวนโจ่วฮวาไว้ว่าให้ขัดขวางการกระทำของเด็กสาวหูแมวทันทีที่มีสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติ จะไม่คร่าชีวิตของนางก็ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องอ่อนโยนด้วย
ด้านอาการบาดเจ็บของหลิวหลี… แน่ละว่านางบาดเจ็บสาหัส ทว่ามันไม่ใช่บาดแผลที่ถึงตาย อาการลังเลในสัญชาตญาณทำให้เด็กสาวหูแมวไม่ได้ถูกควบคุมเต็มขั้น อีกทั้งหลิวหลียังอยู่ในสภาวะต่อสู้ ดังนั้นนางจึงไม่ใช่ไม่เตรียมพร้อม ทว่าข้อแรกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นใกล้ตัวจนนางไม่ทันตั้งตัว ทั้งนางยังเชี่ยวชาญด้านจู่โจมแต่ไม่ถนัดด้านตั้งรับ ข้อสองสองคือวิชาบำเพ็ญเซียนเซนที่เสี่ยวชีถนัดคือวิชาช่วยชีวิต ดังนั้นเมื่อมีนางอยู่ด้วยหวังลู่จึงไม่รู้สึกกังวลเท่าไร ส่วนข้อสามในมุมมองของอาเซี่ย หลิวหลีที่ยังมีชีวิตอยู่เอื้อประโยชน์กับเขามากกว่าหลิวหลีที่ตายแล้ว
ก่อนหน้านี้ ตอนที่หวังลู่เห็นมีดสั้นสีน้ำเงินอมเขียวในมือของเด็กสาวหูแมว เขาก็รู้ในทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะปลิดชีพหลิวหลีโดยตรง มีดสั้นมียาพิษเคลือบอยู่ เป็นชนิดที่กัดกินหัวใจและกร่อนกระดูก แต่ไม่ถึงตายในทันที หลังจากนี้ฝ่ายตรงข้ามน่าจะใช้ยาถอนพิษมาเป็นข้อต่อรองอย่างสมน้ำสมเนื้อ
และวิธีโต้ตอบที่ถูกต้องมีเพียงวิธีเดียว ซึ่งหวังลู่กำลังทำอยู่
เขาปรับเปลี่ยนหน้าที่ของพลังอิทธิฤทธิ์ในวิหารหยกเสียใหม่ โดยใช้มันเป็นเชื้อเพลิงในอาคมที่ทำให้ตัวเบาขึ้น เขาก้าวเท้าไปข้างหน้า จากนั้นร่างก็ทะยานขึ้นไปบนฟ้าตรงไปหาอาเซี่ยราวกับเป็นดาวตก
ต้องจับตัวหัวหน้าให้ได้ก่อน ทันทีที่เขาจับอาเซี่ยได้ ปัญหาอื่นๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ยิ่งตอนนี้หลิวหลีบาดเจ็บสาหัส สิ่งที่ไม่ควรทำที่สุดคือดึงเวลาให้เนิ่นนานเข้าไปใหญ่ หากเป็นเวลาปกติ หวังลู่ไม่คิดจะใส่ใจพวกตัวเล็กตัวน้อยจากสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เลยด้วยซ้ำ ทว่าเพราะเด็กสาวหูแมวทรยศ ฉวนโจ่วฮวาจึงต้องใช้กำลังปราบนาง ส่วนเสี่ยวชีก็พยายามรักษาหลิวหลีอยู่ ตอนนี้เขาไม่เหลือพวกที่จะช่วยต่อสู้ และต่อให้เขาใช้กระบี่ตั้งรับไร้ลักษณ์ แต่ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามมีผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนอยู่ไม่น้อย การตั้งรับของเขาต้องเผยช่องโหว่แน่นอน อีกทั้งอีกฝ่ายยังมีอาเซี่ยที่เขาไม่อาจออมมือให้ด้วย
ดังนั้นการตอบโต้ที่ถูกต้องก็คือการชิงลงมือก่อน และจัดการตัวแปรที่สำคัญที่สุดของอีกฝ่าย แม้เขาจะไม่รู้ว่าอาเซี่ยคิดอะไรอยู่ถึงได้เลือกการเผชิญหน้าเช่นนี้ แต่มันก็เกิดเป็นเงื่อนไขที่ดีเยี่ยมให้หวังลู่ หากอาเซี่ยเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในวงล้อมของผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกน มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่หวังลู่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
แน่นอนว่าท่ามกลางเหตุผลมากมายที่กล่าวมา สิ่งเดียวที่ทำให้หวังลู่ตอบโต้เช่นนี้ก็คือความโกรธ
ตอนที่หลิวหลีทรุดลงข้างๆ เขา สมองที่คิดอยู่ตลอดเวลาของหวังลู่กลับพลันว่างเปล่าไป
พอรู้สึกตัวอีกครั้ง เท้าของเขาก็ก้าวออกมาด้านหน้า ตระเตรียมพลังพร้อมที่จะเหาะขึ้นมาเสียแล้ว
ภาพที่เขามองเห็นเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดง ราวกับว่ากำลังจมอยู่ในทะเลแห่งเปลวเพลิง ความเจ็บปวดจากเปลวเพลิงที่ไร้ที่มานั้นลามมาจนถึงหัวใจ ส่วนสมองก็ราวกับมีพลังอัดแน่นที่พร้อมจะระเบิดออกมา… เขาไม่เคยประสบกับความเดือดดาลรุนแรงเช่นนี้มาหลายปีแล้ว
แม้ตอนที่เขาบาดเจ็บ อารมณ์ของเขายังไม่ปั่นป่วนเท่านี้ แต่กับหลิวหลีนั้นไม่เหมือนกัน นางคือเกล็ดย้อน [1] ของหวังลู่! การเดินทางมายังแคว้นสายหมอกในครั้งนี้เป็นภารกิจของเขาเพียงคนเดียว แต่กระนั้นหลิวหลีก็ยังติดตามเขามาและทำทุกอย่างที่เขาสั่งโดยไม่บ่นหรืออิดออด ความเชื่อใจที่ปราศจากข้องกังขาเช่นนี้หมายถึงความรับผิดชอบที่ใหญ่หลวงสำหรับเขาด้วยเช่นกัน
หวังลู่เป็นศิษย์พี่ ดังนั้นเขาจึงมีหน้าที่ปกป้องศิษย์น้องหญิงของตน เขาเชี่ยวชาญด้านการตั้งรับ และมีประสิทธิภาพพอที่จะรับหน้าที่ความรับผิดชอบ เป็นเพราะหลิวหลีเชื่อใจหวังลู่อย่างเต็มเปี่ยมจนตอนที่นางเข้าสู่สภาวะต่อสู้และเรียกใช้งานกระบี่กระจ่างใจเต็มขั้น นางจึงไม่ได้สละพลังเพื่อปกป้องตัวเอง เพราะนางเชื่อว่าไม่ว่าต้องเผชิญกับอันตรายใดๆ ศิษย์พี่ของนางย่อมสกัดพวกมันได้ทั้งหมด
โชคร้ายที่หวังลู่ทำพลาด แม้จะเป็นเพราะปฏิกิริยาที่ล่าช้าไปเพียงเล็กน้อย แต่มันกลับนำมาสู่ผลที่เลวร้าย ความจริงที่ว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลิวหลีเป็นแรงกระตุ้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้เขาทำเช่นนี้
กระบี่ไร้ลักษณ์ไม่มีความสามารถด้านรักษา และหวังลู่ก็ไม่มีสัญชาตญาณในการรักษายามที่เขาอยู่ในสภาวะต่อสู้ ดังนั้นเมื่อความโกรธเกรี้ยวท่วมท้นจิตใจ ปฏิกิริยาแรกของเขาคือการฆ่า
ในชั่วพริบตาหวังลู่ก็เหาะตรงมาถึงตัวของอาเซี่ย ความเร็วของเขาทำให้เหล่าผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนตื่นตะลึง
มีเพียงอาเซี่ยที่ยังขยับปีกอยู่กลางอากาศอย่างสบายใจราวกับไม่เห็นหวังลู่ที่พุ่งตรงเข้ามาและไม่เห็นไฟแค้นที่เผาไหม้อยู่ในดวงตาของชายหนุ่ม
“ท่าดีไปอย่างนั้น เจ้าทำร้ายข้าไม่ได้หรอก”
อาเซี่ยส่ายศีรษะและยิ้มออกมาพร้อมความลำพองที่เอ่อท้นในใจ ท่าทีของหวังลู่ดูดุร้ายก็จริง แต่ในสายตาเขา อีกฝ่ายนั้นไม่ต่างจากสุนัขที่พยายามกระโดดข้ามกำแพง นั่นเป็นเพราะ…
“เจ้าจะทำร้ายคนอื่นได้ยังไง นายน้อยหวังลู่”
ตู้ม!
การจู่โจมของหวังลู่หยุดชะงักลงทันทีตรงหน้าของเป้าหมาย ซึ่งห่างจากใบหน้าของอาเซี่ยเพียงสามฉื่อเท่านั้น
ผู้บำเพ็ญเซียนหลายสิบคนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์พุ่งตรงมาจากฝั่งของอาเซี่ย และเข้าไปล้อมรอบหวังลู่ในทันที ทว่าพวกเขาไม่เร่งรีบที่จะลงมือ
เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์เป็นไปอย่างที่คิดไว้ รอยยิ้มของอาเซี่ยก็ดูพึงพอใจมากกว่าเดิม “เจ้าว่าแปลกไหมที่ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่เยวี่ยลู่แต่คือหวังลู่ เจ้าแปลกใจไหมว่าทำไมข้าถึงรู้ว่าเจ้าเชี่ยวชาญแต่ด้านตั้งรับ แต่ไม่อาจทำร้ายคนอื่นได้”
ระหว่างที่พูด อาเซี่ยก็ค่อยๆ พินิจปฏิกิริยาของหวังลู่ แต่กลับไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของอีกฝ่าย
ทว่าเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก อาเซี่ยไม่อาจซ่อนความตื่นเต้นในจิตใจได้ขณะตอบคำถามของตัวเอง “ในหมู่ศิษย์ผู้สืบทอดของห้าวิเศษ ไม่กี่ปีก่อนจู่ๆ ชื่อเสียงของเจ้าก็ขึ้นมาอยู่ที่แถวหน้า วิชาบำเพ็ญเซียนตั้งรับของเจ้าสร้างความประหลาดใจให้ทุกคน และถ้าคนๆ หนึ่งมีความรู้กว้างขวางพอ เมื่อได้เห็นผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มที่มีขั้นตบะไม่สูงมากแต่กลับเชี่ยวชาญด้านการตั้งรับ ใครกันจะไม่คิดว่าเป็นเจ้า”
ความจริงมันเดาไม่ง่ายขนาดนั้น อาณาจักรเก้าแคว้นกว้างใหญ่ไพศาล เราสามารถพบเห็นผู้บำเพ็ญเซียนมากพรสวรรค์และการต่อสู้ที่ราวกับการปาฏิหาริย์ได้อยู่เนืองๆ นอกจากพวกผู้เชี่ยวชาญที่ขายข้อมูลเพื่อเลี้ยงชีพแล้ว ยากมากที่คนธรรมดาจะรู้เรื่องราวหลากหลายอย่างเจาะลึก ผู้เชี่ยวชาญด้านการตั้งรับที่อายุยังน้อย และสามารถประลองข้ามขั้นได้… อย่างน้อยก็น่าจะมีคนแบบนั้นอยู่มากกว่าหนึ่งพันคน แน่นอนว่าอาเซี่ยไม่อาจระบุตัวตนของฝ่ายตรงข้ามด้วยข้อมูลแค่นี้แน่
ทว่าคำพูดเหล่านั้นก็เป็นเหมือนการโจมตีทางจิตใจที่ส่งผลต่อกำลังใจของฝ่ายตรงข้าม ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของตน ทำให้ไม่อาจสำแดงพลังได้อย่างเต็มที่
และความจริงก็เป็นเช่นนั้น หวังลู่ถูกคำสาบานกับปีศาจในใจหน่วงเหนียวไว้ ทำให้ไม่อาจทำร้ายผู้คนด้วยวิชาบำเพ็ญเซียน แม้จะมีการยืดหยุ่นให้บ้างเล็กน้อย แต่เขาก็ต้องรอให้อีกฝ่ายโจมตีก่อนถึงจะสะท้อนการโจมตีกลับไปได้
เขาสามารถโจมตีก่อนได้ไหม แน่นอนว่าไม่ ดังนั้นแล้ว…
ทว่าอึดใจถัดมา หมัดรุนแรงกลับปะทะเข้าที่ใบหน้าของอาเซี่ย ความคิดมากมายในหัวของอีกฝ่ายพลันกระจัดกระจายไป
หมัดนี้ไม่ได้หนักมาก แต่พลังการเผาไหม้ที่สามารถเผาท้องฟ้าผลาญทะเลซึ่งซ่อนอยู่ในหมัดทำเอาอวัยวะภายในของราชาพยัคฆ์ไหม้จนต้องกระอักเลือดออกมา!
นี่มันหมัดอะไรกัน หมัดเพลิง? หมัดผลาญดวงจิต? หรือ… เขาทำร้ายข้าได้อย่างไร เขาถูกจำกัดด้วยคำสาบานกับปีศาจในใจชัดๆ แล้วนี่เขากลับทำร้ายข้าได้อย่างไร!?
เหตุใดคำสาบานกับปีศาจในใจจึงไม่ฆ่าเขา ผู้ที่ไม่ทำตามคำสาบานย่อมต้องตายแท้ๆ! แล้วทำไมเขาถึงไม่ตาย
อึดใจถัดมา เสียงเรียบๆ ของหวังลู่ก็ซึมเข้ามาในหูของอีกฝ่าย
“นี่คือความชั่วช้าที่เจ้ามอบให้ข้า ข้าแค่จ่ายคืนไปสองเท่า”
อึดใจถัดมา หมัดหนักๆ หมัดที่สองก็ฟาดใส่ใบหน้าของอาเซี่ยอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเหมือนราวอยู่ในทะเลเพลิง ร่างกายที่บาดเจ็บมาก่อนหน้านี้ใกล้จะแตกสลาย ท่ามกลางความเจ็บปวดนี้ ความคิดหนึ่งก็ปรากฏวูบขึ้นในใจของอาเซี่ย
นี่มันคือการสะท้อนกลับอาการบาดเจ็บนี่! แล้วความเศร้าในใจถือเป็นอาการบาดเจ็บด้วยหรือ!?
…
[1] ตำนานกล่าวไว้ว่า มังกรจะมีเกล็ดย้อนที่กักเก็บพลังส่วนใหญ่ไว้แต่ก็ถือเป็นจุดอ่อนของมันเช่นกัน การแตะเกล็ดย้อนนี้ก็เหมือนการไปยั่วยุมังกร มันมาจากสำนวนที่ว่า 龙有逆鳞 ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า มังกรก็มีเกล็ดย้อน หมายถึงทุกคนมี ‘จุดอ่อน’ ของตัวเอง ซึ่งหากไปแตะโดนเข้าก็จะทำให้คนผู้นั้นโกรธขึ้นมา