นายหญิงตระกูลของถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากนั่งฟังเรื่องราวอยู่เงียบๆ แม้จะเห็นว่าลูกชายและสามีนั่งอยู่ตรงหน้า แต่นางก็ยังไม่อยากจะเชื่อ รยูฮาซึ่งจับมือพ่ออยู่ข้างๆ ก็เช่นเดียวกัน
“สวรรค์ช่วยไว้สินะ”
“คนช่วยต่างหากล่ะ”
นอกจากจะซูบผอมลงแล้ว แผลเป็นบนใบหน้าก็ยังยาวขึ้นด้วย แต่ท่านมหาเสนาบดีก็ยังสามารถพากยอกซานกลับมาถึงเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย
“เขาช่วยกยอกซานกับข้าทั้งๆ ที่รู้ว่าข้าคือประเทศปฏิปักษ์”
ซึ่งก็คือยอนกุก หนึ่งในประเทศเล็กๆ ที่ร่วมโจมตีแทซากุกในครั้งนี้ด้วย แม้จะสามารถทำร้ายทั้งสองคนซึ่งหมดแรงได้อย่างง่ายดาย ทว่าชายชราก็ทำแค่เพียงพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรและช่วยเหลือพวกเขาต่อ อีกทั้งยังหาเรือกลับมาแทซากุกให้ด้วย
“ลูกจะส่งข่าวไปทูลฝ่าบาท ว่าให้ปล่อยเชลยศึกจากยอนกุก”
“ทรงคิดได้ดีมากพ่ะย่ะค่ะพระมเหสี”
“ไม่สิ ไปบอกด้วยตัวเองน่าจะดีกว่า ตอนแรกว่าจะค้างอยู่ที่นี่สักสามวัน แต่พรุ่งนี้คงต้องกลับเข้าวังแล้วเจ้าค่ะ พร้อมท่านพ่อเลย คัง อย่าสิ”
รยูฮาดุคังด้วยเสียงหัวเราะในตอนท้าย คังในอ้อมแขนของท่านตาเริ่มมองหาอะไรเล่น ก่อนจะหัวเราะร่าพร้อมกับดึงหนวดเคราไปด้วย
“ปล่อยไปเถอะ คงจะดีใจที่ได้เจอตา”
“คงจะเป็นเช่นนั้น โอ๊ย!”
รยูฮาขมวดคิ้วแล้วจับท้องอีกครั้ง
“เด็กๆ ป่วนมาสักพักแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ แต่ปกติจะไม่เจ็บเช่นนี้บ่อยนัก”
คำพูดนั้นทำให้จิตใจนายหญิงของตระกูลสงบลง เพราะนางมีลูกมาสามคนแล้วจึงคุ้นเคยและระมัดระวังกับสถานการณ์นี้เป็นอย่างมาก
“เป็นมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เสด็จมาถึงเมื่อสักครู่ใช่หรือไม่เพคะพระมเหสี”
“เจ้าค่ะท่านแม่ โอ๊ย!”
รยูฮาส่งเสียงร้องดังกว่าเมื่อครู่และบีบมือพ่อตนเองแน่นโดยไม่รู้ตัว ท่านมหาเสนาบดีเองก็ไม่ได้คุ้นชินกับสถานการณ์ตอนนี้เท่าไหร่นัก หลังจากเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นระยะๆ ความเจ็บปวดก็ค่อยๆ ทวีคูณและถี่ขึ้นเช่นกัน นายหญิงตระกูลจองรีบลุกพรวดวิ่งออกไปข้างนอกทันที ก่อนท่านมหาเสนาบดีจะเปิดปากพูด
“ไปตามหมอหญิงมา! เร็วเข้า!”
ห้องคลอดถูกตระเตรียมขึ้นอย่างเร่งรีบเมื่อความเจ็บปวดเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ โดยฝ่ายทำคลอดที่แต่งตั้งเพื่อพระมเหสีต่างขยับตัวอย่างไม่ได้หยุดพัก จำต้องส่งม้าเร็วไปยังพระราชวังโดยด่วน ทว่าหากผ่านทหารเฝ้าประตูทุกประตูเข้าไปก็ไม่มีเวลามากขนาดนั้น ท้ายที่สุดท่านมหาเสนาบดีจึงขึ้นหลังม้าและมุ่งตรงไปยังพระราชวังราวกับโผบินด้วยตนเอง และเมื่อเข้าถึงห้องทรงงาน พระราชวังอันกว้างขวางจึงโกลาหลวุ่นวายในชั่วพริบตา
“ฝะ ฝ่าบาท! ท่านมหาเสนาบดีซอดูมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”
คนเอะอะโวยวายคนแรกสุดคือทหารเฝ้าประตู คนต่อมาคือขันทีที่ต้องเผชิญหน้ากับเขาโดยตรงหน้าห้องทำงาน เมื่อจูฮวานสูญเสียความสุขุมผิดปกติและขานบอกอย่างตะกุกตะกัก ฮอนจึงโกรธเลือดขึ้นหน้า
“เจ้า กล้าดีอย่างไรถึงเอ่ยนามของผู้ล่วงลับพล่อยๆ เช่นนี้!”
แต่ท่านมหาเสนาบดีกลับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ก่อนจูฮวานจะเรียกร้องความไม่เป็นธรรมให้ตนเอง
“ฝ่าบาท กระหม่อมมหาเสนาบดีซอดูพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องจริงงั้นหรือ ความตกตะลึงเข้าทดแทนความโมโห ฮอนเลื่อนเก้าอี้ออกแล้วลุกขึ้นอย่างรีบเร่ง เหล่าเสนาบดีที่จมอยู่กับกองเอกสารก็ทำพู่กันและม้วนกระดาษร่วงด้วยความลุกลี้ลุกลนเช่นกัน นี่มันเรื่องอะไรกัน คนตายแล้วเมื่อเดือนก่อนปรากฏตัวในพระราชวังอย่างนั้นหรือ! ทว่าสิ่งที่มหาเสนาบดีซอดูกล่าวเป็นอย่างแรกสุดหลังจากเข้ามาห้องทรงงานกลับทำให้ทุกคนลืมว่าเขากลับมามีชีวิตอีกครั้งเสียสนิท
“พระมเหสีเสด็จเยือนตระกูลซอ และทรงเจ็บท้องคลอดพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
ไม่มีเวลายินดีเรื่องพ่อตา ฮอนตะโกนสั่งให้นำม้าออกมาฉับพลัน ก่อนจะมุ่งหน้าสู่บ้านของรยูฮาด้วยชุดคลุมมังกรทอง พร้อมกับชื่นชมกับการตัดสินใจของตนเองเมื่อเช้าที่ส่งหมอหลวงและหมอหญิงติดตามมาด้วย
“เสด็จเข้าทางนั้นไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ท่ามกลางความโกลาหล ท่านมหาเสนาบดีรีบคว้าตัวฮอนที่กำลังก้าวตรงไปยังประตูใหญ่หน้าบ้านด้วยความมั่นใจ และเชิญให้เข้าทางประตูเล็กด้านหลังแทน เนื่องจากห้ามประตูหน้าบ้านตั้งแต่เริ่มเจ็บท้องคลอด จนกระทั่งผ่านยี่สิบวันวันหลังคลอดเรียบร้อยแล้ว หลังผ่านประตูเล็กนั้นเข้าตัวบ้าน ฮอนจึงเห็นว่าบ้านหลังนี้ปกคลุมด้วยความวุ่นวายอันคุ้นเคย ใช่แล้ว ความวุ่นวายที่เคยสัมผัสเมื่อครั้งมินอาคลอดคัง และขณะนั้นเขาถึงได้รู้สึกจริงๆ ว่ารยูฮากำลังจะคลอดลูกแล้ว
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
“ไม่เป็นไร เป็นอย่างไรบ้าง พระมเหสีเล่า”
ท่าทางการวิ่งมาพร้อมดินเปรอะเปื้อนตรงชายเสื้อคลุมมังกรดูรีบร้อนอยู่ไม่น้อย ทหารองครักษ์และเหล่าข้าราชบริพารที่ยืนอยู่ตรงสวนจึงรีบเข้ามาหมอบกราบ แต่ถึงพวกเขาจะไม่เข้ามาโค้งคำนับ ฮอนก็ไม่ได้ถือความอันใด จังหวะนั้นเสียงกรีดร้องจากในห้องก็ดังขึ้นมาพร้อมๆ กับการปิดกั้นมัน
“อ๊าา อุ๊บ!”
“ร้องไม่ได้เพคะ มันจะทำให้เปลืองแรงเปล่าๆ เพคะพระมเหสี!”
แค่คลอดลูกคนเดียวมินอาก็เกือบตายแล้ว ทว่ารยูฮาต้องคลอดถึงสองคน ฮอนทำได้แค่เพียงกระทืบพื้นที่ไร้ความผิดใดไปเรื่อยๆ เท่านั้น คล้ายเกลียดตัวเองที่ไม่อาจทำอะไรได้เลย แม้ผู้ติดตามมาทีหลังอย่างจูฮวานจะอ้อนวอนให้เสด็จรอด้านใน ก็ถูกเตะกลับมาเหมือนเดิม
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท! อ๊ากก!”
เสียงรยูฮาร้องหาตนทำให้ฮอนที่นั่งยองๆ อย่างไร้เกียรติมาสักพักลุกพรวด ทหารองครักษ์ ขันที ไปจนถึงข้าราชบริพารทั้งหมดต่างคว้าชายฉลองพระองค์ไว้เพื่อห้ามฝ่าบาทที่คิดจะวิ่งไปยังห้องคลอด อย่างไรก็ตามยังเป็นโชคดีสำหรับฮอน เพราะผู้คนเหล่านี้ไม่อาจแตะต้องตัวเขาได้
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
“ปล่อย! ผู้ใดไม่ปล่อย ข้าจะตัดหัวมันเสียตรงนี้!”
“ทรงตัดหัวกระหม่อมก็ได้ แต่ไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ!”
“กล้าขัดคำสั่งข้างั้นหรือ! ปล่อย! ข้าบอกให้ปล่อย!”
เขาเคยวิ่งเข้าห้องคลอดของน้องสาวพระมเหสีหรือพี่สะใภ้ของตนมาแล้ว รอบแรกก็ไม่ยาก แต่รอบสองจะต่างกันหรือไม่ เมื่อเสียงตะโกนรั้งฝ่าบาทดังขึ้นอีกครั้ง ผ้าสีดำก็ตกลงบนศีรษะของเหล่าทหารองครักษ์ที่จับดึงชายฉลองพระองค์ทันที
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท! ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮอนว่องไวมากจนคนรอบข้างคว้าตัวไม่ทัน หลังจากถอดเสื้อคลุมมังกรทองทิ้งและเปิดประตูห้องคลอดเข้าไปก็เกิดความชุลมุนวุ่นวายในทันที แต่เขาไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้นรีบรุดเข้าไปจับมือรยูฮา
“ข้ามาแล้ว”
“ฝ่าบาท อึก ฝ่าบาท!”
“เช่นนั้นแหละ ออกแรงอีกหน่อย!”
พอเห็นว่าฮอนมาอยู่ข้างๆ แล้ว รยูฮาจึงดึงมือออกจากการจับกุมด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล และสิ่งที่นางคว้าแทนมือก็ไม่ใช่สิ่งอื่นใด แต่เป็นมวยผมของฮอนที่รวบไว้บนศีรษะอย่างเรียบร้อยนั่นเอง
“เจ้าคนเลว! เพราะเจ้า… อ๊าก!”
“พระมเหสี! อย่าเพคะ! ปล่อยเถิดเพคะ!”
“ปล่อยอะไร! อ๊าก! นี่! ข้าน่ะ! บอกให้เจ้ารับสนมเข้ามาไง! อ๊ากก!”
นางลืมความสุขของการตั้งท้องมาตั้งนานแล้วหลังเผชิญกับความเจ็บปวดถาโถมเข้าใส่ เหลือแต่เพียงความต้องการแก้แค้นฮอน ผู้เป็นสาเหตุของความเจ็บปวดเหล่านี้เท่านั้น ไม่ว่าซังกุง หมอหลวงและหมอหญิงจะห้ามปรามด้วยความตื่นตระหนกเท่าไหร่ก็ไร้ประโยชน์
เสียงข้าราชบริพารตะโกนร้องว่าไม่ได้ เสียงกรีดร้องพร้อมคำพร่ำบ่นใส่ฮอน และเสียงของพระราชาขอให้ปล่อยผสมปนเปกัน จนทำให้ห้องคลอดที่ควรศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างอะไรกับสนามรบ
“อ๊าก! เจ้า! ฝ่าบาท! อ๊ากกก! คอยดูเถอะ!”
“พระมเหสี ปล่อยก่อน! รยูฮา! ซอรยูฮา!”
“เห็นหัวแล้วเพคะ! อีกนิดนึงเพคะพระมเหสี!”
“อ๊ากก!”
ลูกคนแรกออกมาพร้อมเสียงกรีดร้องครั้งสุดท้าย
“ยินดีด้วยเพคะ องค์ชายทรงมีพระวรกายแข็งแรงดี!”
“ยินดีด้วยเพคะฝ่าบาท!”
รยูฮาน้ำตาไหลพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้สักพัก แต่อาการเจ็บท้องคลอดกลับมาอีกรอบ ลูกอีกคนก็ร้องออกมาเสียงดัง เด็กทารกปรากฏตัวออกมาทีละคนจากด้านหลังม่านสีขาว ต่างคนต่างดิ้นไปมาทำเอาภายในห้องดังก้องด้วยเสียงร้องไห้ ประหนึ่งแข่งกันว่าใครจะเกิดมาได้แข็งแรงกว่ากัน
“อุแว้! อุแว้!”
“อุแว้! อุแว้!”
“เป็นราชธิดาเพคะฝ่าบาท! ยินดีด้วยเพคะ!”
“ยินดีด้วยเพคะฝ่าบาท!”
จากนั้นรยูฮาจึงปล่อยมวยผมของฮอนออก และเอนศีรษะชุ่มเหงื่อของตนลงบนหมอน ฮอนเองก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงเช่นเดียวกัน ทว่าซังกุงก็นำมีดเงินซึ่งถูกลนไฟเก้ามารอบถวาย ขณะตนกำลังจ้องมองลูกทั้งสองคนนิ่งๆ โดยไม่สนใจจะจัดเส้นผมยุ่งเหยิงให้เรียบร้อย
“โปรดทรงตัดสายสะดือด้วยเพคะฝ่าบาท”
เนื่องจากเคยทำมาแล้วหนึ่งรอบ ฮอนจึงทำได้ดีทีเดียว หลังจากค่อยๆ ตัดสายสะดืออย่างระมัดระวังเสร็จ ทารกแรกเกิดเนื้อตัวเป็นสีแดงก็โดนห่อตัวด้วยผ้าสะอาดและอุ้มมาวางบนหน้าอกของรยูฮา แม้จะเจ็บศีรษะแปลบๆ ทว่าเขาก็พึงพอใจเมื่อได้แบ่งรับความเจ็บปวดของนางแม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม จุ๊บ ฮอนประทับจูบลงบนฝ่ามือที่คว้ามวยผมตนมาเขย่าเมื่อครู่
“เจ้าเก่งมาก ขอบใจนะ รยูฮา”
* * *