หลังจากคลอดที่จวนบิดามารดาโดยไม่ได้ตั้งใจ รยูฮาก็ไม่สามารถออกไปที่ใดได้จนกว่าจะผ่านพ้นยี่สิบเอ็ดวัน ดังนั้นพระหมื่นปีจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นยามพระราชาแอบออกนอกพระราชวังทุกค่ำคืนด้วยความเข้าพระทัย ฮอนเลยสามารถมาเจอราชโอรสและราชธิดาของตนได้ทุกวัน แต่ก็มีบางส่วนที่ทำให้เขาลำบากอยู่บ้าง

 

 

“โอ๊ยๆ เบามือหน่อย”

 

 

“โปรดทรงลงโทษหม่อมฉันเถิดเพคะฝ่าบาท!”

 

 

“พวกเจ้ามีกี่ชีวิตกันแน่ ถึงชอบบอกให้ข้าฆ่าทิ้งอยู่เรื่อย แค่ทำเบาๆ ก็พอแล้ว”

 

 

ขั้นตอนของการหวีและรวบเก็บเป็นมวยผมอย่างเรียบร้อย ก่อนสวมกวานทองคำทุกเช้าล้วนแล้วแต่เจ็บปวด ฮอนถึงเข้าใจว่าเพราะเหตุใดยามสตรีทะเลาะกัน ถึงต้องกระชากผมฝ่ายตรงข้าม ศิลปะการต่อสู้ของเหล่าบุรุษกลายเป็นกระจอกๆ ไปเลยเชียว ไม่ว่าอย่างไรดึงเส้นผมก็เจ็บที่สุดแล้ว ระหว่างค้นพบสัจธรรมไร้สาระของชีวิต เหล่านางในก็เนรมิตให้เขากลายเป็นพระราชาผู้เปี่ยมความสง่างามด้วยการสวมชุดคลุมมังกรทองและสายคาดเอว

 

 

“วันนี้?”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท รีบเสด็จเถิด”

 

 

“มีข้อความมาจากวังจางชุนงั้นหรือ”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮอนไม่ได้มุ่งหน้าไปที่วังจางชุน หรือสะสางราชกิจตอนเช้าแต่อย่างใด ทว่าวันนี้เป็นวันปล่อยตัวเชลยของประเทศข้าศึกนั่นเอง เนื่องจากผู้มีพระคุณจากยอนกุกช่วยชีวิตซอดู ผู้เป็นพ่อตา แม่ทัพและมหาเสนาบดีแห่งแทซากุก ดังนั้นเชลยศึกทั้งหมดของยอนกุกจึงได้รับการปล่อยตัว ด้วยคุณงามความดีของคนเพียงผู้เดียว

 

 

พระราชาอย่างเขาพลันได้ตระหนักว่าพลังของราษฎรผู้เดียวกลับยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ และตั้งใจว่าจะออกไปส่งคนเหล่านั้นด้วยตนเอง รวมถึงส่งทหารคุ้มกันไปด้วย พร้อมกล่าวเสริมทับอีกว่าอย่าได้ลืมบุญคุณของหมอผู้ยากจนจากหมู่บ้านเล็กๆ ริมทะเลเด็ดขาด

 

 

 

 

“กำหนดการวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

ระหว่างขึ้นรถม้ากลับวัง ฮอนก็เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจนัก ขันทีจึงยืนตัวตรง ดูจากภายนอกอาจจะเป็นคำถามปกติทั่วไปไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษ ทว่ามันมีความหมายแฝงซ่อนอยู่อย่างชัดเจน และเป็นไปตามคาด

 

 

“หลังสำรับของว่าง…”

 

 

“ใช่ ต้องมีสำรับของว่างสินะ แต่วันนี้ข้าไม่อยากอาหารเท่าใด ทำอย่างไรดีล่ะ”

 

 

“ฝ่าบาท ไม่ได้…”

 

 

“ใช่ไหมเล่า ไม่ได้จริงๆ”

 

 

ใยครานี้พระองค์ถึงทรงเห็นด้วยง่ายดายนัก จูฮวานมีแต่ความสงสัยจึงเหลือบตามองขึ้นด้านบนแวบหนึ่ง กระทั่งขนบนแผ่นหลังลุกซู่ เพราะพระราชาทรงแย้มสรวลอย่างมีเลศนัยขณะจ้องมองตน

 

 

“ถึงอย่างไรก็ไม่ควรจะงดสำรับของว่างสินะ เช่นนั้นไปที่จวนท่านมหาเสนาบดีแล้วกัน วันนี้ข้าจะรับสำรับของว่างที่นั่น”

 

 

“ฝ่าบาท! ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์แล้วแอบออกไปยังดีเสียกว่า”

 

 

“พูดได้ดี งั้นเจ้ากลับวังแล้วเอาชุดมาให้ข้าเปลี่ยนชุดหนึ่ง ข้าจะนำสำรับของว่างล่วงหน้าไปก่อน อากาศยังร้อนอยู่แท้ๆ แต่กลับต้องมาใส่ชุดหนาๆ เช่นนี้ ร้อนเป็นบ้า”

 

 

“ฝ่าบาท!”

 

 

“เร็วสิ”

 

 

หลังจากไล่ขันทีน่ารำคาญเหมือนแมลงวันแล้ว ฮอนก็ยิ้มแฉ่งและเปลี่ยนทิศทางไปยังจวนท่านมหาเสนาบดีแทน ราษฎรจากทุกหัวมุมถนนที่เสด็จผ่านต่างหมอบกราบ พากันร้องตะโกนว่าฝ่าบาททรงพระเจริญด้วยความจริงใจ ยกย่องเขาว่าเป็นกษัตริย์ผู้มีเมตตาและปรีชาสามารถอย่างแท้จริง ถึงแม้การเข้าทางประตูเล็กแทนประตูหน้าท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้อาจจะแปลกประหลาดเล็กน้อย แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจ ฮอนก้าวตรงเข้าไปทางเรือนด้านใน ระหว่างทางก็ได้รับการทักทายอย่างคุ้นเคยจากคนในจวน เขาเปิดประตูห้องนอนที่มีรยูฮาและลูกทั้งสองคน

 

 

“เสด็จมาแล้วหรือเพคะ”

 

 

“ร่างกายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง แล้วลูกๆ ล่ะ”

 

 

“อยู่ตรงนี้เพคะ”

 

 

รยูฮายิ้มแย้มพลางเบี่ยงตัวเล็กน้อย ด้านหลังมีทารกสองคนนอนคู่กันมองเพดานด้วยดวงตาเป็นประกาย ถึงแม้จะเป็นใบหน้าที่เห็นอยู่ทุกวัน แต่หัวใจก็เต้นตึกตักอย่างควบคุมไม่ได้ทุกครั้งที่ได้เห็น พอรยูฮาอุ้มลูกคนหนึ่ง อีกคนก็ทำท่าเบะปากเหมือนจะร้องไห้ทันที ปากเล็กๆ นั่นน่ารักขนาดนี้ได้อย่างไรกัน ฮอนอมยิ้มพลางมองเข้าไปในห่อผ้า และสุดท้ายก็โดนรยูฮาเอ็ด

 

 

“อย่ามัวแต่ยิ้ม รีบอุ้มลูกสิเพคะ อุ้มแต่ชิน ยอนก็เลยอิจฉา”

 

 

“เด็กตัวเล็กๆ เช่นนี้ก็รู้จักอิจฉาแล้วหรือ”

 

 

อียอน อีชิน คือนามของบุตรทั้งสองที่เพิ่งถือกำเนิด แม้จะเป็นฝาแฝด แต่องค์ชายกลับมีความคล้ายคลึงกับรยูฮา ส่วนองค์หญิงคล้ายฮอน ซึ่งนั่นคือสิ่งที่รยูฮาชอบใจเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับฮอนที่กำลังอุ้มและกล่อมลูกสาว ซึ่งเหมือนตนเป๊ะๆ อย่างชำนาญ

 

 

“พรุ่งนี้หม่อมฉันจะกลับวังแล้ว แต่พระองค์ก็ยังจะเสด็จมาอีกนะเพคะ แถมไม่ยอมเปลี่ยนฉลองพระองค์ด้วย”

 

 

“เพราะข้าคิดถึงจนทนไม่ไหวน่ะสิ ส่วนเสื้อผ้า เดี๋ยวจูฮวานเอามาให้เปลี่ยน”

 

 

แม้จะอยู่ในชุดผ้าฝ้ายและรวบปล่อยปลายผมมาด้านข้างอย่างเรียบง่าย แต่นางก็ยังงดงามจนหาที่เปรียบมิได้ ดวงตาของฮอนขณะจ้องมองรยูฮาเต็มไปด้วยความรักและยกโค้งอย่างสวยงาม

 

 

“แปลกนะเพคะ ยังมีเวลาได้เห็นลูกๆ อีกยาวนานราวกับดวงดาวบนฝากฟ้า”

 

 

“เจ้าหมายถึงอะไร ข้าพูดถึงพระมเหสีของข้าต่างหาก”

 

 

ฮอนเขยิบเข้ามาเล็กน้อยพร้อมเสียงกระซิบหวานซึ้ง ก่อนเคลื่อนใบหน้ามาหยุดตรงหน้ารยูฮา สายตากรุ้มกริ่มแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการสิ่งใด

 

 

“ลูกมองอยู่นะเพคะฝ่าบาท”

 

 

“เช่นนั้นก็ต้องยิ่งแสดงให้ดูสิว่าพ่อแม่รักใคร่กันเพียงใด เร็วเข้า ข้าอุตส่าห์มาถึงนี่เชียวนะ”

 

 

รยูฮายิ้มเล็กน้อยพลางขยับเข้าใกล้ริมฝีปากอีกฝ่าย ทำทีเป็นไม่อาจขัดขืน ทว่าก่อนริมฝีปากของทั้งสองจะแตะสัมผัสกัน

 

 

“อุแว้! อุแว้”

 

 

“อุแว้! อุแว้”

 

 

เสียงร้องไห้กลับดังขึ้นอย่างจริงจังภายในชั่วพริบตา ทำเอาฮอนถูกหลงลืม รยูฮาไม่เหลียวแลเขาเลยสักนิดจนกระทั่งลูกๆ หยุดร้อง

 

 

* * *

 

 

 

 

“พระมเหสี ตื่นบรรทมหรือยังเพคะ”

 

 

รยูฮาตื่นจากการหลับใหลเมื่อได้ยินเสียงเรียกของมารดาในยามเช้ามืด พอมองข้างตัวก็เห็นลูกน้อยทั้งสองคนนอนหลับตาหายใจฟืดฟาดอย่างน่าเอ็นดู ถึงจะอยากนอนด้วยกันสักเพียงใด แต่เมื่อกลับพระราชวังแล้วก็ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้อีก ร่างบางคว้าเสื้อคลุมมาสวมก่อนจะก้าวลงจากเตียง เปิดประตูออกไปด้านนอกอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าลูกจะตื่น

 

 

“ท่านแม่ปลุกลูกเร็วจังเจ้าค่ะ”

 

 

“เดี๋ยวต้องเสวยสำรับเช้าแล้วเสด็จกลับวังนะเพคะ”

 

 

ทั้งสองคนเรียกซังกุงแม่นมจากห้องข้างๆ เพื่อฝากฝาแฝด จากนั้นก็พากันไปเดินเล่นในสวน การได้ออกมาข้างนอกโดยไม่ต้องอาบน้ำก่อนแบบนี้ ทำให้รยูฮาชื่นชอบในอิสระที่ไม่สามารถจินตนาการได้ยามอยู่ในพระราชวัง ทั้งยังชอบสวนสะอาดเรียบร้อยกับการมาเดินเล่นคล้องแขนกับผู้เป็นแม่ทุกเช้าอีกด้วย

 

 

“พอเสด็จกลับพระราชวัง ก็คงจะไม่ได้เจอกันสักพักเลยสินะ”

 

 

นายหญิงตระกูลจองโปรยอาหารปลาที่นำติดตัวมาด้วยลงในสระน้ำขนาดเล็ก พร้อมพูดออกมาเบาๆ ราวกับพึมพำ

 

 

“ท่านแม่ก็เข้ามาหาลูกที่วังบ่อยๆ สิเจ้าคะ”

 

 

“เรื่องนั้นคงไม่ได้หรอก”

 

 

“ถ้าท่านแม่กล่าวว่ามาหาลูกสาว ใครจะว่าอะไรได้หรือ”