แม้คำพูดของรยูฮาจะมีความเข้าอกเข้าใจไม่น้อย แต่นายหญิงตระกูลจองก็ยังมีท่ามีสับสนอยู่นิดหน่อย นางหยุดมือที่กำลังโปรยอาหารปลาแล้วหันกลับไปมองบุตรสาวด้านหลัง
“ยังไม่ได้ยินหรือเพคะว่าท่านใต้เท้าลาออกจากตำแหน่งแล้ว”
“เรื่องนั้นลูกได้ยินแล้วเจ้าค่ะ แต่…”
“แม่ของท่านวางแผนจะออกไปพักผ่อนกับใต้เท้า”
อย่างนี้นี่เองสินะ ไม่ใช่เพราะรยูฮากลับวังถึงไม่ได้เจอ แต่ไม่ได้เจอก็เพราะพวกท่านตั้งใจจะเดินทางท่องเที่ยวต่างหาก
“ออกไปท่องเที่ยว?”
“จะเรียกว่าอย่างนั้นก็มิผิด”
นายหญิงตระกูลจองหันหน้ากลับมาจดจ่อกับปลาไน[1]ที่พากันมารวมกันอยู่ตรงปลายนิ้วของนาง
“แต่พี่ใหญ่ยังไม่ได้แต่งงาน…”
“แม่จะขี่ม้าท่องเที่ยวสองคนกับใต้เท้าสักหน่อย ระหว่างนั้นหากพระองค์ทรงต้องการแม่คนนี้ ก็ขอให้โปรดเข้มแข็งและแก้ปัญหาด้วยองค์เองได้นะเพคะ”
ฟังจากคำพูดแล้ว คงจะตั้งใจไปท่องเที่ยวจริงๆ รยูฮาจึงลองเอ่ยห้ามอีกฝ่ายด้วยความอิจฉาครึ่ง ความเป็นห่วงครึ่งหนึ่งและผสมด้วยความเสียใจเล็กน้อยดูอีกรอบ
“ตอนนี้ท่านแม่ก็มีอายุแล้ว ขี่ม้ามันค่อนข้างเกินไปหน่อย แถมยังอันตรายด้วยไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วง”
ลูกสาวคนเล็กจอมบุ่มบ่ามเติบโตขึ้นถึงขนาดเป็นห่วงแม่เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน นายหญิงตระกูลจองหวนระลึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาพลางหยิบกิ่งไม้ที่ร่วงหล่นอยู่ข้างกายขึ้นมาลับกับหินอย่างหยาบๆ
“อาหารเช้าวันนี้…”
ปลาไนที่ต้องตาต้องใจนายหญิงถูกจับขึ้นมาหนึ่งตัว
เจ้าปลาไนจำไม่ได้เลยว่าตนอาศัยอยู่ในสระน้ำแห่งนี้ตั้งแต่ตอนไหน สีแดงบนตัวมันช่างงดงามราวกับผ้าไหมอันล้ำค่าจนใครๆ ก็อดอุทานไม่ได้ ขณะที่ลำตัวขนาดใหญ่และงดงามเป็นพิเศษดันปลาไนตัวอื่นออกจนแย่งกินอาหารจากสตรีที่กำลังจ้องมองมันได้เยอะที่สุด
ขณะที่เริ่มรู้ว่าสายตานั้นดูแปลก เจ้าปลาไนก็จบชีวิตอันสุขสบายอยู่บนปลายกิ่งไม้ที่สตรีผู้นั้นเสียบลงมา
“แกงปลาไนเพคะ”
นายหญิงตระกูลจองใช้สันมือทุบลงบนหัวของปลาไนที่ดิ้นพราดอยู่บนบก ก่อนจะส่งรอยยิ้มงดงามให้รยูฮา
* * *
เมืองหลวงเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมตั้งแต่เช้า แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ต้องเตรียมตัวและทำความสะอาดโรงเก็บของสำหรับฤดูเก็บเกี่ยวที่ใกล้จะมาถึง แต่ผู้คนมากมายต่างก็วางมือไว้ก่อน รยูฮาผู้เกลียดเรื่องวุ่นวายเป็นที่สุดจึงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงจ้องมองด้านหน้าพร้อมอมยิ้มด้วยความรักและเมตตาในแบบพระมเหสี อย่างเดียวที่ทำให้สบายใจคือการกลับเข้าพระราชวังพร้อมมินอาและคัง
“อุแว้! อุแว้!”
เมื่ออุ้มชินขึ้นราชรถม้าที่มีม่านสีแดงปิดบัง ยอนในอ้อมแขนของซังกุงแม่นมก็ร้องไห้จ้า โธ่ ดูสิร้องไห้อ้อนใหญ่เลย รอยยิ้มชอบอกชอบใจปรากฏบนใบหน้าของทุกคน แต่รยูฮากลับรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกรอบเพราะเสียงร้องไห้นั่น
เจ้าเด็กสองคนนี้ทำไมถึงไม่ร้องทีละคน พอมีคนใดคนหนึ่งร้อง อีกคนก็ต้องร้องตามอยู่เรื่อย และเป็นอย่างที่คาด กระทั่งอยู่ในอ้อมกอดรยูฮาแล้ว ชินก็ยังเบะปากเล็กๆ นั่นออกเพื่อร้องไห้หลังได้ยินเสียงแฝดตนเอง
“ฝ่าบาทเสด็จ!”
ตัวต้นเหตุของการกลับวังอันแสนวุ่นวายอย่างฮอนปรากฏตัวอย่างสง่าผ่าเผยด้วยการทรงม้าสีดำสนิท โชคดีที่การเสด็จของพระราชาทำให้เหล่าราษฎรต่างหมอบกราบหน้าติดพื้น ไม่อย่างนั้นก็คงมีใครบางคนเห็นว่ารยูฮาจ้องมองพระสวามีด้วยสายตาเยือกเย็น
“สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะพระมเหสี”
ฮอนยิ้มร่าและเปิดม่านขึ้นหลังจากขยับเข้ามาประชิดข้างรถม้า ส่งผลให้ชินที่ลืมตัวไปสักพักแล้วว่ากำลังร้องไห้ตกใจจนร้องจ้าขึ้นมาใหม่ รยูฮาหลับตาพลางเงยหน้าขึ้นถอนหายใจอย่างหมดความอดทน
นางตื่นแต่เช้ามืดและตั้งใจเตรียมตัวกลับพระราชวังอย่างเงียบๆ และสบายใจ แต่พอได้เห็นราชรถม้ากับเหล่าทหารคุ้มกันที่เข้ามากะทันหันก็โมโหมาก หากไม่ได้มินอาผู้รู้ทันรั้งเอวไว้จากด้านหลังเสียก่อน พวกทหารคุ้มกันที่โค้งคำนับอย่างนอบน้อมพร้อมกราบทูลว่ามารับเสด็จ ก็คงจะถูกนางถีบล้มไปหมดแล้ว
“เพคะฝ่าบาท กลับวังเถิด”
“ได้ ออกเดินทางจูฮวาน”
ฮอนมองชินและยอนที่แข่งกันร้องไห้ด้วยสีหน้าเอ็นดู ก่อนจะแย้มสรวลแล้วค่อยๆ ขี่ม้าเคียงข้างรถม้าอย่างช้าๆ แต่ถึงอย่างไรสายตาของเขาก็ยังวุ่นกับการแอบมองเข้าไปในม่าน ดังนั้นเมื่อรยูฮากลับไปมองด้านข้างแล้วสบตากับอีกฝ่ายพอดีถึงหลุดยิ้มออกมา
ใครเป็นคนบอกกันนะว่า หากสวามีหล่อเหลา แม้จะทะเลาะกันอยู่ก็ต้องหายโกรธและยิ้มจนได้ ช่างเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องเสียจริง เพราะเพียงแค่เห็นใบหน้าของฮอนยามยิ้มตอบรอยยิ้มนาง ความหงุดหงิดก็มลายหายหมดสิ้น รถม้าเคลื่อนตัวได้ไม่เท่าไหร่ เจ้าสองแฝดก็ผล็อยหลับอีกครั้งจากการแกว่งไกว รยูฮาจึงเดินทางเข้าวังได้อย่างสบายใจขึ้นมาหน่อย
“จะส่งที่วังจานยองหรือ”
“ไม่ใช่ จะพาไปที่วังจางชุนก่อน”
เสด็จย่าคงจะรอคอยด้วยความร้อนอกร้อนใจน่าดู ระหว่างที่นางพักอยู่ในจวนอย่างสบายใจ รยูฮาส่งข้าราชบริพารขนสัมภาระกลับวังจานยอง ส่วนตนเองตรงไปที่วังจางชุนทันที พระหมื่นปีกล่าวทักทายว่าตรงมาหาโดยไม่พักผ่อนเลยหรือ ด้วยใบหน้าเ**่ยวย่นทว่าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มราวกับกำลังรอคอยอยู่
“ไหนดูสิ คังของย่า มานี่มา”
แม้จะเป็นเหลนชายผู้น่ารักเช่นเดียวกัน แต่ก็ช่วยไม่ได้หากจะรักและให้ความสนใจคัง ซึ่งไร้บิดามาเป็นลำดับแรก อีกทั้งตอนนี้คังก็อายุได้หนึ่งชันษาแล้วด้วย น่าจะจำหน้าผู้คนได้พอสมควรถึงหัวเราะร่าเมื่อถูกอุ้มด้วยคนที่เอ็นดูตน
ถึงจะมีเพียงรอยยิ้มบางๆ ราวกับเงาของพระจันทร์ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของมินอาขณะมองลูกชาย แต่ฮอนกับรยูฮาก็รู้ว่านั่นคือสีหน้าสดใสเป็นอย่างมากถ้าเทียบในระดับของคนทั่วไป
“เหลนคนไหนยอน คนไหนชินกันล่ะเนี่ย”
“คนนี้ยอนเพคะเสด็จย่า”
หลังจากอุ้มหยอกเล่นอยู่สักพักและคืนคังให้มินอา พระหมื่นปีก็อุ้มเหลนแฝดทั้งสองให้อยู่ในอ้อมแขนอย่างยากลำบาก
“โอ้ เหลนสาวของย่าหน้าตาเหมือนฝ่าบาทตอนเด็กๆ เป๊ะเลย”
“กระหม่อมน่ารักถึงเพียงนี้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่แล้ว เพราะเจ้าหน้าตาน่ารักมาก ตอนสนมยอนให้กำเนิดองค์ชาย ย่าเคยแกล้งนางด้วยว่าเหตุใดถึงพาหลานสาวมาหา”
ขณะรับฟัง ฮอนก็ใช้นิ้วแตะแก้มของยอนเบาๆ ด้วยความรัก
“ทรงทราบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เหตุผลที่กระหม่อมฝึกฝนการต่อสู้อย่างหนักหน่วง ก็เพราะไม่ชอบที่ใครๆ เห็นกระหม่อมก็เอาแต่ล้อว่าเป็นสตรี”
“แต่พระองค์มีพรสวรรค์ด้านการวาดพู่กันมากกว่าการต่อสู้มิใช่หรือ”
คำโต้ตอบของพระหมื่นปีทำให้รยูฮาหันมองฮอนด้วยความงุนงง
“ทรงวาดรูปได้ด้วยหรือเพคะฝ่าบาท”
“ใช่ แต่ก็ไม่ได้วาดมานานแล้ว”
รยูฮานึกได้ว่าฮอนมักจะวาดรูปแผนที่เหมือนมากเสมอ นางคิดแค่ว่าเขามีความสามารถในการจดจำดีมากถึงจำเส้นทางทั้งหมดได้ แต่ก็วาดรูปเก่งด้วยสินะ ถือว่าใจน้อยเกินไปหรือไม่หากจะรู้สึกเสียใจที่ตนไม่เคยได้รู้เรื่องนี้มาก่อน
“ฝ่าบาทเคยใช้นิ้วเรียวยาววาดภาพย่าคนนี้ด้วย รอประเดี๋ยว”
พระหมื่นปีระลึกความทรงจำที่เก็บใส่พระทัยขึ้นมาก่อนจะลุกขึ้นเพื่อค้นตู้ลิ้นชัก สิ่งที่ปรากฏคือภาพวาดของนางในสมัยยังเป็นพระพันปีซึ่งอ่อนเยาว์กว่าตอนนี้เล็กน้อย คงเป็นช่วงก่อนฮอนจะสูญเสียความทรงจำน่าจะอายุราวๆ เจ็ดชันษาเท่านั้น แต่ความสามารถของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าช่างเขียนภาพฝีมือเลย รยูฮามองดูภาพวาดนั้นด้วยความตกใจ จากนั้นก็หันกลับไปมองซังกุงพร้อมเอ่ยสั่งให้ไปนำกระดาษกับหมึกมา
“อย่าบอกนะว่า ตอนนี้?”
ฮอนผงะพลางขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ถึงจะมีลูกแล้ว แต่นิสัยชอบทำอะไรฉับพลันก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมสินะ ซึ่งนั่นเป็นส่วนหนึ่งของรยูฮาที่เขาชื่นชอบเป็นอย่างมาก
“โปรดทรงเมตตาวาดภาพเสด็จย่า พระชายาและหม่อมฉันสามคนด้วยเถิดเพคะ วันนี้หม่อมฉันเองก็อยากได้ภาพวาดจากฝ่าบาทสักภาพ”
ด้วยเหตุนั้นฮอนจึงกลายเป็นช่างเขียนภาพโดยไม่ทันตั้งตัว และนั่งอยู่ตรงหน้ากระดานวาดรูปซึ่งถูกกางออกอย่างกะทันหัน ส่วนลูกแต่ละคนก็ถูกแม่นมอุ้มออกไปก่อน พระหมื่นปีทรงประทับอยู่ตรงกลาง ข้างขวาเป็นรยูฮา และข้างซ้ายคือมินอาที่เอ่ยปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าไม่เด็ดขาดยืนนิ่งด้วยสีหน้าแข็งทื่อ หลังจากจัดองค์ประกอบภาพอย่างเอาจริงเอาจังไม่นาน ฮอนก็หยิบถือพู่กันขึ้นมาและเริ่มลากเส้นทีละเส้นด้วยความประณีต
การบรรเลงดนตรีเพื่อบรรเทาความเบื่อหน่ายจากเหล่านักดนตรีอยู่ตรงมุมหนึ่งของวังจางชุนดังขึ้นต่อเนื่อง เสียงพู่กันลากผ่านบนภาพวาดเบาๆ และเสียงร้องของจักจั่นผสมผสานกันอย่างรื่นหู สายลมเย็นฉ่ำลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างพัดผ่านเส้นผมของฮอนที่ส่งยิ้มน้อยๆ เป็นครั้งคราว พวกเขาทุกคนต่างมีความสุขในยามบ่ายของฤดูร้อนที่กำลังจะจบลง
* * *
[1] ปลาไน ชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งของปลาคาร์ฟ